Thursday, March 5, 2015

เสือสองตัวในถ้ำเดียวกัน / โดย คนขายของ



เป็นที่รู้กันดีว่าสองมหาเศรษฐีนักลงทุนของโลก George Soros และ Warren Buffett ถึงแม้ว่าจะเกิด เดือนเดียวปีเดียวกัน แต่แนวการลงทุนของทั้งสองท่านแตกต่างกันมากทีเดียว Soros นั้นเน้นการเก็งกำไร โดยอาศัยทั้งหลักเศรษฐศาสตร์ การเมืองและจิตวิทยามวลชน แต่ Buffett จะเน้นแนวที่เรียก กันว่า Value Investing หากหันมาดูพอร์ตลงทุนของทั้งสองจะพบว่า หุ้นที่ Soros ถือมากที่สุดในพอร์ตตอนนี้คือหุ้น สุดยอดบริษัทขายของทางอินเตอร์เนตของจีนชื่อ Alibaba ซึ่งเป็นหุ้นแนวเทคโนโลยี โดยให้น้ำหนักถึง 5% ของพอร์ต แต่ Buffett กลับเลือกที่จะถือหุ้นธนาคาร Wells Fargo ซึ่งโมเดลการทำธุรกิจแทบจะไม่ เปลี่ยนแปลงจากในอดีต โดยให้น้ำหนักถึง 23% ของพอร์ต ถึงแม้ว่า แนวการลงทุนจะแตกต่างกัน หลังจาก ศึกษาหุ้นที่ทั้งสองนักลงทุนเอกของโลกถือครองอยู่ ณ ตอนสิ้นปี 2014 กลับพบว่ามีหุ้นอยู่ทั้งหมดเจ็ดตัวที่ทั้ง Buffett และ Soros ถือเหมือนกัน ซึ่งในบทความนี้ขอยกมา 3 ตัวเพื่อศึกษาว่ากิจการเหล่านี้มีดีอย่างไร



บริษัทที่หนึ่ง General Motor (GM) บริษัทผลิตรถยนต์ของอเมริกาซึ่งมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน Buffett ถือ GM อยู่ 1.3% ของพอร์ตในขณะที่ Soros ถือ GM อยู่ 1.5% ทำไมทั้งสองคนถึงสนใจลงทุน ในหุ้นบริษัทรถยนต์แห่งนี้ ทั้งๆที่ GM เคยมีประวัติในการสร้างผลประกอบการที่ย่ำแย่? นักวิเคราะห์ ต่างชาติหลายคนประเมินว่า หลังจากการเพิ่มทุนครั้งใหญ่หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ฐานะทางการเงินของ GM เปลี่ยนไปอย่างมาก ในตอนนี้ GM มีมูลค่ากิจการ 60,000 ล้านเหรียญ แต่บริษัทถือครองเงินสดไว้ราว 28,000 ล้านเหรียญตั้งแต่ปี 2010 เรื่อยมา เรียกว่าถ้าซื้อ GM ทั้งบริษัทแล้วเอาเงินสดออกมา GM จะมี มูลค่าแค่ 32,000 ล้านเหรียญ ซึ่งถูกกว่า Ford คู่แข่งหลักราว 50% แต่ GM มีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงกว่า นอกจากนั้นในตอนนี้ยังมีการเรียกร้องจากกองทุนที่ถือหุ้นของ GM ให้บริษัทนำเงินสดส่วนเกินมาซื้อหุ้นคืน ในตลาด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น หากมองกันตามที่นักวิเคราะห์ต่างประเทศได้ว่ามา ผมก็เชื่อว่า ไม่ใช่แต่ Buffett เท่านั้น Soros เองก็มีมุมมองของ “Value Investing” อยู่ในการเลือกหุ้นด้วยเหมือนกัน

บริษัทที่สอง Direct TV (DTV) เป็นบริษัทบริการรายการทีวีส่งตรงถึงบ้านผ่านระบบดาวเทียม มีแพ็กเกจ หลากหลายให้เลือกทั้งในสหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้ โดยในสหรัฐมีฐานสมาชิกถึง 20 ล้านคน คู่แข่งหลัก โดยตรงกับ Direct TV มีอยู่รายเดียวคือ Dish Network แต่ DTV ทำอัตรากำไรสุทธิได้ดีกว่า กิจการทีวี แบบบอกรับสมาชิกสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมหาศาล ซึ่งกระแสเงินสดจากการดำเนิน งานของ DTV สูงกว่ากำไรสุทธิราว100%ตั้งแต่ปี 2010 ทำให้เงินสดในงบดุลของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในรอบ ห้าปีที่ผ่านมา Berkshire Hathaway ของ Buffett เข้าไปถืออยู่ 2.5% ของพอร์ต และ Soros Fund ถืออยู่ 0.29% ถึงแม้ว่าคนเลือก DTV เข้าพอร์ตของ Berkshire น่าจะเป็น Todd Combs มือขวา Buffett มากกว่าที่จะเป็นตัว Buffett เอง แต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่ Berkshire เริ่มสนใจในบริษัทที่ต้องใช้ เทคโนโลยีในการประกอบธุรกิจนอกเหนือจากหุ้นธนาคารและอุปโภคบริโภคที่เป็นหุ้นหลักของบริษัท ส่วน Soros เองเขาถือหุ้นเทคโนโลยีเป็นเรื่องปกติ ในพอร์ตของเขามีทั้ง Alibaba, Facebook และ Yahoo

บริษัทที่สาม Phillips 66 (PSX) ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิ่งลงปลายปีที่ผ่านมา ทั้ง Buffett และ Soros ต่างก็ ขายหุ้นบริษัท Exxon Mobil ทิ้งออกจากพอร์ต แต่ทั้งสองคนยังเก็บหุ้นPhillip 66ไว้ นอกจากนั้น Buffett ยังซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาหลังจากที่ขายไปบางส่วนตอนต้นปี2014 PSX ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันและ ปิโตรเคมีแต่ไม่มีธุรกิจสำรวจและขุดเจาะ โดยเน้นกลางน้ำและปลายน้ำ มีธุรกิจท่อส่งก๊าซ รถขนส่ง และปั๊ม น้ำมัน ความสามารถในการแข่งขันของ PSX อยู่ที่โครงสร้างพื้นฐานทั้งโรงกลั่นและระบบ ขนส่งเป็นของ ตัวเอง การค้นพบ Shale Gas และ Shale Oil ปริมาณมหาศาลในแถบตอนกลางของอเมริกาเหนือ ทำให้ บริษัทมีต้นทุนน้ำมันดิบในการผลิตที่ต่ำลง ผลิตภัณฑ์ปิโตเลียมของบริษัทสามารถแข่งขันกับของยุโรปที่ใช้ น้ำมันดิบอ้างอิงราคาBrent ซึ่งปกติราคาสูงกว่าได้เป็นอย่างดี ถึงแม้กำไรจากการ ดำเนินงานจะ สูงๆต่ำๆ ตามแบบหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์แต่ Buffet ก็ยังถือหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ปี 2012และSorosเริ่มซื้อมาตั้งแต่ปี 2013

ถึงแม้ว่า Soros จะมีการลงทุนที่เน้นการเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่า อย่างหุ้น APPLE ก็ซื้อๆขายๆ ตลอด แต่ Buffett ลงทุนในหุ้น IBM มีแต่ซื้อเข้าอย่างเดียวทุกปีตั้งแต่ปี 2011 ไม่มีเล่นรอบเลย จากการศึกษาหุ้นที่ ทั้งสองกูรูลงทุนโลกเลือกลงทุน เห็นได้ว่าหุ้นแต่ละตัวผ่านการพิจารณาทั้งในเรื่องการเปลี่ยนแปลงใน อุตสาหกรรม, ความสามารถในการแข่งขัน และอัตราส่วนทางการเงินมาเป็นอย่างดี ตอนนี้ความมั่งของทั้ง สองคนก็อยู่ในระดับเกิน 20,000 ล้านเหรียญ แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะลงทุนแบบเล่นรอบหรือถือลงทุนยาว นักลงทุนสามารถสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองได้ แต่การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนนั้นนักลงทุนต้องใช้ “ความรู้” ในการวิเคราะห์กิจการ และมีความเข้าใจในธุรกิจที่บริษัททำอยู่พอสมควร ไม่ใช้การคิดนึกคาดเดาเอาเอง เป็นหลัก หลายคนเล่นหุ้นเน้นเฉพาะการเก็งกำไรแบบไม่มีความรู้เป็นพื้นฐาน รู้จักแค่ตัวย่อ, ชื่อหุ้น และ ราคาหุ้น หากเราใส่ความพยายามลงไปเพียงเท่านั้นขนาดของกำไรที่พอคาดหวังได้ก็คงไม่ต่างกัน

อดทนไว้ กำไรยั่งยืน