Monday, March 2, 2015

Scenario Investing /ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากุล





ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากุล

ในการลงทุนนั้น  ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ของภาวะเศรษฐกิจ  การเมือง  และสังคมของประเทศหรือตลาดที่เราลงทุนอยู่หรือที่เราจะเข้าไปลงทุนตลอดเวลา  ถ้าเรามีข้อจำกัดว่าเราคงต้องลงทุนในประเทศไทยเป็นหลักเนื่องจากเหตุผลบางประการ เช่น เรายังมีความรู้ไม่พอในตลาดของประเทศอื่น  สิ่งที่เราจะต้องดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็คือ  ภาพของประเทศไทยในอนาคตทั้งระยะสั้นและระยะยาว  หลังจากนั้นก็จะต้องดูว่าดัชนีหุ้นอาจจะเป็นอย่างไรในอนาคต  อาจจะซัก 4-5 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย  นอกจากนั้น  เราก็ต้องดูว่าหุ้นในพอร์ตที่เราถืออยู่นั้นจะขึ้นหรือลงในสถานการณ์อย่างนั้น  ในการวิเคราะห์นั้น  เพื่อที่จะให้เห็นภาพที่กว้างและไม่ให้เรา “ติดยึด” ว่ามันเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างจริงแท้แน่นอนซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมากในการลงทุน  เราก็ควรที่จะ  “วาดภาพในอนาคต” เป็นหลาย ๆ  ภาพหรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่าหลาย ๆ   Scenario แล้วก็ดูถึง  “โอกาสความเป็นไปได้” ของแต่ละภาพ  เสร็จแล้วเราก็จะต้องกำหนดกลยุทธการลงทุนของเรา

  สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ  สังคม  และการเมืองของเราในปัจจุบันนั้น  ต้องบอกว่าอยู่ในอาการที่ไม่ดี  หรือถ้าจะพูดว่าเลวร้ายพอสมควรก็ไม่น่าจะผิดนัก  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเราต่ำมากเกือบ 0% ในปีที่แล้วทั้ง ๆ ที่ไม่มีภาวะวิกฤติในระดับโลก  นี่เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก  ผมเองยังจำได้ว่าถ้าเป็นในสมัยก่อนที่ผมยังหนุ่มและเศรษฐกิจไทยกำลังโตวันโตคืนเฉลี่ยปีละถึง 7% นั้น  ปีที่ไทยโต 4% ถือว่าเป็นปีที่แทบจะเรียกได้ว่าเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ  คนเดือดร้อนกันไปทั่ว  ข้ออ้างที่ว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดีทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ไปด้วยในช่วงนี้นั้นก็พอฟังได้บ้าง  แต่มันก็ไม่สามารถหักล้างข้อเท็จจริงที่ว่า  เศรษฐกิจไทยอาจจะกำลังเริ่มชะลอตัวอย่างถาวรด้วยเหตุผลทางด้านโครงสร้าง เช่น อายุของประชากรหรือความสามารถในการแข่งขันของประเทศ  ที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะว่าประเทศที่กำลัง “โตวันโตคืน” อย่างพม่าหรือ  เวียตนามนั้น  แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะแย่และคนเวียตนามจะบ่นว่า เศรษฐกิจในประเทศ “ตกต่ำ” นั้น  ปีที่แล้วเขาก็ยังโตกว่า 5%

  สถานการณ์ทางด้านสังคมและการเมืองของไทยเองนั้นก็อยู่ในภาวะที่ไม่ดี  ความแตกแยกกันทางความคิดมีอยู่สูงกว่าช่วงปกติ  ทางด้านการเมืองนั้นเองก็ยังอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติ  ถ้าจะเปรียบเทียบกับโลกแล้ว  เราน่าจะอยู่ในกลุ่มท้าย ๆ ของตารางทางด้านของพัฒนาการทางสังคมและการเมืองทั้ง ๆ ที่เราเคยได้รับการมองว่าเป็นประเทศและสังคมที่ค่อนข้างจะเปิดและปรับตัวเข้ากับโลกได้ดีประเทศหนึ่ง

  อย่างไรก็ตาม  สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสถานะปัจจุบันก็คืออนาคต   ภาพหรือ Scenario ที่คนส่วนใหญ่มองก็คือ  ใช่!  เรากำลังแย่ทุกด้าน  แต่ทุกอย่างก็อาจจะกำลังดีขึ้น  เศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น  สังคมและการเมืองก็น่าจะปรับตัวดีขึ้น  และเนื่องจากมันแย่มาก  ดังนั้น  มันก็จะดีขึ้นมาก  เศรษฐกิจจะเติบโตขึ้นถึงประมาณ 4%  สังคมและการเมืองก็กำลังถูก “ปฏิรูป” ให้ดีขึ้น  ดังนั้น  ภาพอนาคตก็จะดีขึ้นไม่ใช่แย่ลง  แต่นั่นสำหรับผมก็เป็นเพียง Scenario หรือภาพหนึ่ง  เราจำเป็นต้องคิดถึงภาพอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้  อาจจะเป็นภาพที่  “ทรง ๆ”  คือเศรษฐกิจไม่ได้โตขึ้นขนาดนั้นเช่นเดียวกับสังคมและการเมือง  หรืออาจจะเป็นภาพที่  “แย่ลงไปอีก”  คือเศรษฐกิจก็ยังไม่โตและสังคมและการเมืองก็ไม่ดีขึ้นในอนาคตอย่างน้อย 2-3 ปีข้างหน้า  แม้ว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นอาจจะไม่มากนัก

  ประเด็นต่อมาก็คือเรื่องของดัชนีหุ้นในอนาคต  ซึ่งโดยทั่วไปนั้นก็ควรจะปรับตัวล้อไปกับภาวะเศรษฐกิจ สังคม  การเมืองในอนาคต  และความถูกความแพงของหุ้นในปัจจุบัน  ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นมากในอนาคตและหุ้นในปัจจุบันมีราคาถูกมาก  โอกาสก็เป็นไปได้มากว่าดัชนีหุ้นในอนาคตจะปรับตัวขึ้นไปได้ดีมาก  และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจของไทยหลังปี 2542-43  และอีกครั้งหนึ่งหลังวิกฤติของอเมริกาในปี 2009  แต่ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นมากในอนาคตแต่หุ้นในปัจจุบันแพง  ดัชนีก็อาจจะยังปรับตัวขึ้นได้แม้ว่าการปรับตัวขึ้นอาจจะไม่มากนักอาจจะซักปีละ 10% ใน 2-3 ปีข้างหน้า  อย่างไรก็ตาม  ถ้าหากภาพใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมืองไม่ได้ดีขึ้นในอนาคตแต่หุ้นในปัจจุบันแพง  ดัชนีตลาดหุ้นก็อาจจะนิ่งหรือตกลงมารุนแรงได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าภาพใหญ่แย่ลงไปอีก

  ในความรู้สึกของผมเองนั้น  ผมคิดว่าหุ้นไทยในปัจจุบันนั้นค่อนข้างแพง  ดังนั้น  แม้ว่าภาพใหญ่ของเศรษฐกิจในอนาคตจะดีขึ้น  โอกาสที่หุ้นจะให้ผลตอบแทนสูงมากอย่างในอดีตก็อาจจะยาก  ผมเองคิดว่าดัชนีหุ้นโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 10% ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าน่าจะเป็นจุดสูงสุดที่เราจะคาดได้  และนี่ก็คือ Scenario ที่ดีที่สุดของผม

  ภาพที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นไปได้มากกว่าก็คือ  ภาพใหญ่ของไทยนั้น  อาจจะไม่ค่อยสดใสนัก  เศรษฐกิจก็โตขึ้นบ้างแต่ไม่สูงในอนาคตหลายปีข้างหน้า  แต่เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยในปัจจุบันค่อนข้างสูงโอกาสก็เป็นไปได้ว่าหุ้นในอีกหลายปีข้างหน้าก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวแม้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  อย่างช้า ๆ  สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ  ค่า PE ของหุ้นจะลดลงจากระดับ 20 เท่าในปัจจุบันเหลือเพียง 10 เท่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้า  นั่นก็คือสิ่งที่เราจะเห็น  อย่างไรก็ตาม  จากวันนี้ถึงอีก 4 ปี ข้างหน้า  ดัชนีหุ้นอาจจะวิ่งขึ้นลงผันผวนทุกปีแต่สุดท้ายก็ไปไม่ไกลเนื่องจากพื้นฐานและราคาของหุ้นไม่เอื้ออำนวย  ตลาดแบบนี้เราเรียกว่า  Sideway Market  นักลงทุนระยะยาวทำกำไรได้ยาก

  ถ้าภาพใหญ่ของไทยเลวร้ายลงอีกในหลายปีข้างหน้า  และด้วยดัชนีหุ้นที่ค่อนข้างแพง  ก็เป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่ภาวะตลาดหมี  คือหุ้นจะลดลงในระยะยาวอีก 3-4 ปีข้างหน้า  คนที่ลงทุน  ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือยาวก็จะ “เจ็บตัว” อย่างหนัก  ความสนใจในหุ้นของคนไทยก็จะหมดไป  ปริมาณการซื้อขายที่สูงลิ่วในปัจจุบันก็จะหายไปและถูกแทนที่ด้วยความซบเซาของการซื้อขายหุ้น  การลงทุนในหุ้นก็จะเป็นเรื่องของคนที่  กล้าได้กล้าเสียและกล้าเสี่ยงไม่ใช่เรื่องของคนธรรมดาที่ลงทุนเพื่อชีวิตที่มั่นคงอย่างที่อาจจะเป็นบ้างในช่วงนี้

  แน่นอนว่ามี Scenario อื่นอีกหลายอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ผมเองดูว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยจึงไม่ได้พูดถึง  นักลงทุนคงต้องวิเคราะห์เอง  ส่วนตัวผมนั้นมองว่าโอกาสที่เป็นไปได้สูงก็คือ  ดัชนีหุ้นไทยถ้ามองไปข้างหน้า 3-4 ปี อาจจะไปได้ไม่ไกล  ในระหว่างทางนั้น  ในภาพหนึ่งก็คือ ดัชนีไป Sideway ไม่ได้ขึ้นหรือลงหนักมาก  ในอีกภาพหนึ่งก็คือ  ดัชนีหุ้นตกหนักมากแม้ว่าอาจจะไม่ถึงกับวิกฤติเนื่องด้วยเหตุการณ์บางอย่างที่คาดการณ์ไม่ได้  อย่างไรก็ตาม  ในที่สุดหุ้นก็ปรับตัวกลับขึ้นมาใกล้เคียงกับดัชนีในวันนี้ใน 3-4 ปีข้างหน้า  และนี่ต้องบอกอีกครั้งหนึ่งว่ามันเป็นการ “คาดเดา”


  กลยุทธการลงทุนของผมนั้น  แน่นอน  ไม่ได้มองเฉพาะตลาดหุ้น  เพราะผมเองไม่มีความสามารถในการลงทุนได้ทั่วโลก  ดังนั้น  ผมต้องดูสถานการณ์การลงทุนอย่างอื่นเช่น ดอกเบี้ย  พันธบัตร หุ้นกู้ หรือการลงทุนทางเลือกอย่างอื่นในประเทศไทยด้วย  น่าเสียใจที่ว่าการลงทุนทางเลือกอย่างอื่นนั้น  มีสภาพที่แย่พอ ๆ กับการลงทุนในตลาดหุ้นหรือแย่กว่า  นี่ก็เป็นความลำบากและ “อึดอัด” ใจของผมในการลงทุนในช่วงนี้  ผมคิดว่าการลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องที่อันตรายและโอกาสได้ผลตอบแทนสูงทำได้ยาก  ในขณะเดียวกัน  การลงทุนในสิ่งอื่นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน  ดังนั้น  ผมจึงเลือกที่จะ “รอ” โดยเตรียมเงินสดเอาไว้บ้างเพื่อที่จะได้ “ฉกฉวยโอกาส”  ในกรณีที่เกิดเหตุหรือสถานการณ์ที่ทำให้หุ้นตกลงมาจนคุ้มที่จะลงทุน  แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดหรือไม่  และถ้าเวลาผ่านไปนาน ๆ  ต้นทุนในการถือเงินสดก็จะ “ท่วม” คิดแล้วก็รู้สึกอิจฉาเพื่อนนักลงทุนต่างชาติของผมบางคนที่เขาสามารถไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้อย่างไม่มีข้อจำกัด