Monday, May 9, 2016

เรื่องของแต้มต่อ / โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากุล

 
  การได้แชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษของทีมฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้ต้องถือว่าเป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก  คงมีคนที่จะ “วิเคราะห์” และพูดถึงเหตุการณ์นี้จำนวนมาก  คนที่อยู่ในแวดวงฟุตบอลทั่วโลกคงจะพูดถึงเรื่องของการ “ทำทีม” ที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งของเลสเตอร์ซิตี้ที่สามารถนำชัยชนะทั้ง ๆ  ที่ไม่ได้มีดาราระดับซุปเปอร์สตาร์ที่โดดเด่นเลย  บางคนโดยเฉพาะที่เป็นคนไทยก็อาจจะเชื่อว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับ  “สิ่งศักดิ์สิทธ์” ที่เจ้าของสโมสรใช้ “ช่วย” ในการแข่งขันซึ่งก็มักจะเป็น “ปัจจัยสำคัญ” สำหรับคนไทยที่เชื่อในเรื่องเหล่านี้มากกว่าอีกหลาย ๆ  สังคมอยู่แล้ว  เหตุผลก็เพราะว่าก่อนเริ่มฤดูการแข่งขันนั้น  ทีมเลสเตอร์ซิตี้ถูกมองว่าเป็นทีม  “รองบ่อน”  ที่แทบไม่มีโอกาสจะชนะเลยมองจากตัวผู้เล่น  ผลงานในอดีตและอื่น ๆ  ว่าที่จริงปีก่อนหน้านี้ทีมยังแทบจะ “เอาตัวไม่รอด”  จากการที่จะยังสามารถเล่นอยู่ในลีกระดับสูงสุดนี้   ตัวเลขการ “ต่อรอง”  สำหรับคนที่ต้องการพนันว่าเลสเตอร์จะชนะก็คือ  5000-1 ซึ่งก็คล้าย ๆ  กับว่ามีเพียงคนเดียวที่คิดว่าเลสเตอร์จะชนะจาก “ผู้เชี่ยวชาญ” เรื่องฟุตบอล 5000 คน

            ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับฟุตบอลมากนัก  แต่ผมรู้จัก  “แต้มต่อ” ของการพนัน  เพราะเรื่องของแต้มต่อนั้น  เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากถึงมากที่สุดในการที่จะกำหนดว่าเราจะชนะหรือแพ้พนัน—ในระยะยาว   จริงอยู่ที่ผม  “ไม่เล่นการพนัน”  แต่นั่นคือการพนันในความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจเช่น  การเล่นไพ่หรือการเล่นพนันต่าง ๆ  ในคาสิโน  การเล่นม้า  การเล่นพนันฟุตบอล  หรือแม้แต่การเล่นหวยหรือล็อตเตอรี่ ซึ่งสิ่งต่าง  ๆ  เหล่านี้ผมไม่เล่นอยู่แล้ว  เหตุผลก็คือ  ในเกม “พนัน”  เหล่านี้  คนที่เข้าไปเล่นนั้นมักจะแพ้เสมอในระยะยาวโดยเฉพาะคนที่ไม่มีความรู้  ส่วนคนที่ชนะนั้นก็มักจะเป็น  “เจ้ามือ”  ที่เป็นคนกำหนด  “แต้มต่อ”  ของการพนัน  เช่น  เจ้ามือหวยที่กำหนดว่าแทงถูกเลขท้าย 2 ตัวจะจ่าย 60 บาท แต่ถ้าแทงผิดจะถูกกิน  ซึ่งในระยะยาวแล้ว  เจ้ามือก็มักจะกำไร 40 บาทโดยเฉลี่ย  เพราะโอกาสที่จะถูกนั้นอยู่ที่ 1 ใน 100  คนแทง 100 คนจะถูกเพียง 1 คน  ดังนั้นเจ้ามือก็จะกินเงิน 100 บาท แต่จ่ายให้กับคนเพียงคนเดียวที่แทงถูกจำนวน 60 บาท  นี่เป็นเรื่องของสถิติโดยแท้  เพราะตัวเลขหวยที่ออกนั้นไม่มีใครทำนายได้ไม่ว่าจะเป็น “เกจิอาจารย์” สำนักไหน

            แต่จริง ๆ  แล้วผมเป็น  “นักการพนัน”  ตัวยงก็ว่าได้  เพราะผมลงทุนในตลาดหลักทรัพย์  ผม “พนัน” ว่าหุ้นที่ผมซื้อไว้ในราคาหนึ่งนั้น  จะมีราคาเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปนานพอ  อัตราการเพิ่มขึ้นรวมถึงการจ่ายปันผลจะสูงในระดับที่น่าพอใจเช่นปีละ 10-15% โดยเฉลี่ยแบบทบต้นในอีกไม่น้อยกว่า 5 ปีข้างหน้า  โดยที่ผมกล้าพนันแบบนั้นก็เพราะว่าผมวิเคราะห์แล้วผมเชื่อว่าบริษัทจะมีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่องไปอีก 5 ปี กำไรของบริษัทจะเติบโตขึ้นเร็วถึงปีละ 10%  แบบทบต้น  และบริษัทจะเข้มแข็งที่ทำให้บริษัทอื่นไม่สามารถแย่งธุรกิจไปจากบริษัทได้  เป็นต้น

            คำถามก็คือ  แล้วใครมา “พนัน” กับผม  คำตอบก็คือ  “ตลาดหุ้น”  ซึ่งก็คือนักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นคนอื่นทั้งหมดรวมกัน  คนทุกคนที่เข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดนั้น  จริง ๆ  แล้วเขากำลัง “พนัน” กับคนทั้งตลาดว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้องกว่าคนอื่น ๆ  ทั้งหมดรวมกัน  คนเล่นหุ้นหรือลงทุนนั้นมักคิดว่าเขา  “เก่ง”  และ  “รู้ดีกว่า”  คนอื่น ๆ  ทั้งหมดที่ “ร่วมกัน” มาเล่นหุ้นแข่งกับเขา  เพียงแต่ว่าคนที่รวมกันเหล่านั้นไม่ได้ปรึกษากันเป็นทางการ   พวกเขาใช้วิธี  “โหวต”  ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์  โดยที่แต่ละคนนั้นก็มีข้อมูลความรู้และความเข้าใจต่อตัวหุ้นที่หลากหลาย  บางทีก็ขัดแย้งกัน  แต่สุดท้ายแล้วเมื่อ  “นับเสียง”  ของแต่ละคนก็จะได้ข้อสรุปว่าหุ้นตัวนั้นพวกเขาให้ราคาเท่าไร  พูดอย่างย่อและเข้าใจง่ายที่สุดก็คือ  เมื่อเราเข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็เท่ากับว่าเราเข้ามา  “พนัน” กับคนอื่นทุกคนว่าหุ้นตัวนั้นจะขึ้นหรือลงในอนาคต  คำถามต่อมาก็คือ  “แต้มต่อ”  อยู่ตรงไหน?

            นี่ก็ต้องกลับไปที่การเลือกหุ้นที่จะลงทุนซื้อข้างต้น   นั่นคือ  ผมอาจจะคาดการณ์ถูกต้องว่ากำไรของบริษัทก็เติบโตเป็นไปตามคาด  แต่ราคาหุ้นแทนที่จะขึ้นไปและให้ผลตอบแทน 10-15% ต่อปีนั้นกลับไม่ไปไหน  เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นตัวนั้นมีค่า PE ในขณะที่ผมซื้อที่ 50 เท่า เวลาที่ผ่านไปนั้นแม้ว่ากำไรบริษัทจะเพิ่มขึ้นจริงแต่ค่า PE ของหุ้นกลับลดลงส่งผลให้ราคาหุ้นไม่ปรับตัวขึ้น  เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  จนครบ 5 ปี  ค่า PE อาจจะลดลงมาจนเหลือ 20 เท่าโดยที่ราคาหุ้นไม่ขึ้นเลยแม้ว่าผลประกอบการจะดีขึ้นโดยตลอด  และนี่ก็คือสิ่งที่วงการหุ้นมักพูดว่า  แม้บริษัทจะดีมากแต่ถ้าซื้อในราคาที่แพงเกินไป PE 50 เท่า) คุณก็  “แพ้”  เพราะ  “แต้มต่อ”  ในกรณีนี้ก็ต้องเรียกว่า  “ต่ำมาก”

            ตรงกันข้าม  หุ้นบางตัวนั้นกิจการดูแล้ว  “แย่”  โอกาสทำกำไรเท่าที่เราดูแล้วต่ำมาก  บริษัทคู่แข่งก็มีเพียบแถมเก่งกว่า  โอกาสชนะในธุรกิจของบริษัทน้อยมาก  แต่ราคาหุ้นตัวนี้ถูกมาก  คิดเป็นค่า PE แล้วก็แค่ 5 เท่า  หรือเรียกว่า  “แต้มต่อ” สูงมาก  นี่ก็อาจจะคล้าย ๆ  กับทีมฟุตบอลลีกรองบ่อนที่ไม่มีคนสนใจและไม่มีใครคิดว่าจะชนะได้  ในกรณีแบบนี้  ถ้าเรามีข้อมูลและมีความสามารถวิเคราะห์ได้ว่าบริษัทจะดีขึ้นอย่างโดดเด่นในอนาคต  เราก็อาจจะ  “พนัน” กับ “ตลาด” ที่มองว่าบริษัทนั้นไม่ดีและมีโอกาสชนะน้อยได้

            โดยทั่วไปแล้ว  ในตลาดหุ้นที่  “พัฒนาแล้ว”  ตลาดจะมีความสามารถสูงมากในการ  “พนัน”  เหตุผลก็เพราะว่าตลาดนั้นประกอบไปด้วย  “ผู้เชี่ยวชาญ” จำนวนมากที่เอาข้อมูลและความสามารถในการวิเคราะห์มา “ร่วมกัน” กำหนดแต้มต่อของหุ้นแต่ละตัว   ราคาหุ้นที่จะ “รับพนัน”  กับเราจึงมักเป็นราคาที่ตลาดจะทำกำไรได้มากกว่าเรา  ตลาดนั้นรู้ว่าบริษัทไหนมีความสามารถในการทำธุรกิจสูงและได้กำไรดีและรู้ด้วยว่า  “แต้มต่อ” หรือราคาหุ้นที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไร  อย่างไรก็ตาม  ในตลาดที่ยังไม่พัฒนามาก  หรือในหุ้นที่มีขนาดเล็กที่ตลาดยังไม่สนใจที่จะลงทุน  ราคาหุ้นที่ตลาด  “รับพนัน”  ก็อาจจะมี “แต้มต่อ”  ที่ผิดพลาด  และอาจจะทำให้เราที่อาจจะ “รู้มากกว่า”  สามารถทำกำไรจากการพนันในตลาดหรือตัวหุ้นได้

            กรณีของทีมเลสเตอร์ซิตี้นั้น  ในมุมมองของ “การพนัน” ผมไม่คิดว่าจะมีอะไรมหัศจรรย์  ผมเองไม่แน่ใจว่าจะมีใครหรือเม็ดเงินมากแค่ไหนที่พนันเลสเตอร์ตั้งแต่ต้นฤดูการแข่งขันที่มีแต้มต่อ 5000-1  แต่คิดว่าคงมีน้อยมาก  และผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครที่จะรวยจากการแทงเลสเตอร์ด้วยเพราะคงไม่มีใครกล้าลงเงินมาก ๆ  เพราะโอกาสที่จะชนะนั้นต่ำมากและโอกาสที่จะสูญเงินมีสูง  อย่างไรก็ตาม  โอกาสนั้นก็เกิดขึ้นแล้ว  แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตมันจะมีโอกาสเกิดสูงขึ้น  ทีมเลสเตอร์เองในฤดูกาลหน้าแต้มต่อก็คงลดลงมาก  อาจจะเหลือแค่ 4 หรือ 5 ต่อ 1 ซึ่งก็อาจจะทำให้ไม่คุ้มที่จะเสี่ยง

            ในตลาดหุ้นเองนั้น  หุ้นที่อาจจะมีแต้มต่อสูง ๆ หรือสูงลิ่วก็มีอยู่ตลอดเวลา  เช่นหุ้นของบริษัทที่เข้าข่าย “ใกล้ล้มละลาย”  หรือกิจการไม่สามารถทำธุรกิจต่อไปได้ที่  “แต้มต่อ” สูงลิ่วเป็นประเภท  “100-1”  คิดจากราคาหุ้นที่อาจจะเหลือต่ำกว่า 3-4 สตางค์ต่อหุ้นและ Market Cap. เหลือไม่ถึง 100 ล้านบาท  จากธุรกิจที่เคยทำเป็น 1,000 ล้านบาท  แต่แล้ว  “ปาฏิหาริย์”  ก็เกิดขึ้น  บริษัทฟื้นตัวและราคาหุ้นกลับมามีราคาเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าในเวลาเพียงไม่กี่ปีส่งผลให้คนที่กล้าเข้าไปซื้อและถือต่อเนื่องร่ำรวยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ  บางคนก็กลายเป็น  “เซียนหุ้น Turnaround”  อย่างไรก็ตาม  หลายคนนั้นอาจจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องของความสามารถและไม่ใช่ปาฏิหาริย์  เขาอาจจะ  “เล่นต่อ”  และก็พบว่าโอกาสที่หุ้นหรือการพนันที่มีแต้มต่อสูงมากจะ “ชนะ”  นั้น  มันน้อยจริง ๆ  และทำให้เขาเสียหายอย่างหนัก  และดังนั้น  เราจึงไม่ควรจะ “เล่น” หรือเล่นมาก   ผมเองคิดว่าถ้าอยากจะเล่น  เราควรจะทำคล้าย ๆ  เอาเงินไปซื้อลอตเตอรี่รางวัลแจ็คพ็อตหรือโยกสล็อตแมชินที่เราพร้อมเสียเงินเพื่อ “ความบันเทิง” เท่านั้น