Sunday, February 22, 2015

EQ ของบัฟเฟตต์



โดย ดร.นิเวศน์  เหมวชิรวรากุล

   ถ้าพูดถึงความโดดเด่นของบัฟเฟตต์แล้ว  ผมคิดว่าสิ่งที่มาอันดับแรกคงไม่ใช่ความสามารถในการวิเคราะห์หาหุ้นที่มีราคาถูกเทียบกับคุณสมบัติของบริษัทในแต่ละช่วงเวลา  ยิ่งการ “ขุดหุ้น” หรือค้นหาหุ้นที่ดีแต่ยัง  “ไม่มีคนเห็น” นั้น  บัฟเฟตต์น่าจะไม่ได้ทำมานานมากแล้ว  ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์จะมองแต่ “ภาพใหญ่”  ของบริษัทมากกว่ารายละเอียดลึก ๆ ของการดำเนินงานของบริษัท  เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นคงเป็นเพราะว่าหุ้นที่บัฟเฟตต์จะลงทุนได้แต่ละตัวนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากจน  “รายละเอียด” ไม่ค่อยมีความหมาย  แต่สิ่งที่เป็นความโดดเด่นของบัฟเฟตต์ที่ผมคิดว่ามันยัง “คงทน” และเป็นคุณสมบัติติดตัวที่คนเลียนแบบได้ยากก็คือ  EQ หรือคุณสมบัติด้านอารมณ์และจิตวิทยาของการลงทุน  ว่าที่จริง ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น  “EQ ของบัฟเฟตต์”

  สิ่งแรกที่บัฟเฟตต์ไม่ยอมทำเลยก็คือ เขาจะไม่ลงทุนในสิ่งที่เขาไม่รู้หรือไม่อยู่ใน  “ขอบเขตของความรอบรู้” ของเขา  นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมลงทุนใน “หุ้นไฮเท็ค” เลยทั้ง ๆ  ที่หุ้นไฮเท็คปรากฏขึ้นบนโลกมานานและหุ้นจำนวนมากมีราคาขึ้นไปมโหฬาร  แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผลตอบแทนของบัฟเฟตต์แย่เมื่อเทียบกับคนที่เล่นหุ้นแนวนั้น  เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าหุ้น  “โลว์เท็ค” ของบัฟเฟตต์เองก็ปรับตัวขึ้นเหมือนกันแม้ว่าจะน้อยกว่า  แต่ข้อดีของบัฟเฟตต์ก็คือ  เขาจะไม่ขาดทุนถ้าหุ้นไฮเท็คจำนวนมากนั้นมีราคาตกลงมาอย่างแรงเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านที่เลวร้ายลง สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว  เขาเชื่อว่า  ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมของการลงทุนนั้น  มักจะมาจากธุรกิจธรรมดา ๆ  เช่นเฟอร์นิเจอร์หรือชอคโกแล็ตที่บริษัททำได้ดีมากจนเหนือคู่แข่งมาก

  ข้อสอง  บัฟเฟตต์จะไม่ยอมลงทุนในกิจการหรือโครงการลงทุนที่ “ย่ำแย่”  หรือให้ผลตอบแทนที่ต่ำเมื่อเทียบกับเงินทุนที่ลงไปและเขาจะ  “ไม่ซื้อความหวัง”  เขาต้องการ  “ความจริง” ที่เป็นอยู่  ดังนั้น  เขาจะไม่สนใจหุ้น  “Turnaround” หรือโครงการที่จะช่วย “ฟื้นกิจการ” ของบริษัท  นี่เป็นเหตุให้เขามักจะซื้อแต่หุ้นของบริษัทที่มีกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE ที่สูงลิ่ว  หรือในกรณีที่เป็นบริษัทที่เขาควบคุมกิจการได้  เขาก็มักจะไม่อนุมัติให้เอาเงินสดของบริษัทไปลงทุนในเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ให้ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนที่ต่ำกว่าต้นทุนทางการเงิน  ตัวอย่างเช่นในกรณีของกิจการสิ่งทอของ เบิร์กไชร์ นั้น  เขาไม่ยอมใส่เงินลงไปเพื่อ  “ปรับปรุง” ให้บริษัท  “สามารถแข่งขันได้” กับคู่แข่งในเอเชีย  เพราะเขาคิดว่ายิ่งใส่เงินลงไปก็ยิ่ง “จม”  ดังนั้น  เขาจึงแค่ประคองธุรกิจสิ่งทอไปเรื่อย ๆ  และนำเงินสดที่ได้มาลงทุนซื้อหุ้นที่ดีอื่น ๆ  ซึ่งสร้างผลตอบแทนให้เขามหาศาลจนเป็น  “ตำนาน” ของเบิร์กไชร์ในวันนี้

  ข้อสามที่เป็นความคิดและอารมณ์ที่มั่นคงของบัฟเฟตต์ก็คือ  เขาเชื่อใน “ความจริง”  และสนใจใน “ข้อมูลรายงาน” น้อยกว่า    ความหมายก็คือ  เขาจะไม่ถูก “ลวง” ให้เชื่อโดยตัวเลขรายงานที่ถูก “จัดการ”  ให้ดูดีกว่าความเป็นจริง  ตัวอย่างเช่น  ถ้าบริษัทมีการตัดค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรหรือทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนต่ำกว่าที่ควรเป็น  เขาก็จะไม่เชื่อในตัวเลขกำไรที่จะออกมาดีกว่าปกติ  นอกจากนั้น  ถ้าเป็นกิจการที่เขาควบคุมเองได้  เขาก็จะไม่ยอมทำอะไรก็ตามที่อาจจะทำให้ดูดีในวันนี้แต่สุดท้ายแล้วก็จะแย่ภายหลัง  ตัวอย่างเช่น  ในช่วงหนึ่ง  เขาปฏิเสธที่จะขายประกันในราคาถูกเพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้  เพราะเขาคิดว่าราคานั้นไม่คุ้ม  เขายอมให้กำไรของบริษัทในช่วงนั้นลดลงดีกว่าจะแสดงให้เห็นว่าบริษัทขายประกันได้มากและมีกำไรแต่ในที่สุดแล้วก็จะเสียหายเมื่อผู้ซื้อประกันกลับมาเคลมประกันที่มากกว่ารายรับในภายหลัง    การที่เขาทำแบบนั้นทำให้ธุรกิจประกันของเบิร์กไชร์มีกำไรและแข็งแกร่งมาตลอด  ในขณะที่บริษัทประกันอื่นนั้นมักจะเสียหายจากการที่พยายามแข่งขันกันแบบ “ฆ่าตัวตาย”

  ข้อสี่ที่เป็น  “วินัย”  ที่เข้มแข็งมากของบัฟเฟตต์ก็คือ  เขาเป็นคนที่มีมีความ “อดทนต่อสิ่งยั่วเย้า”สูงมาก  เขาจะไม่ซื้อหุ้นเพียงเพราะมันอาจจะทำกำไรได้อย่างรวดเร็วและง่าย ๆ  แต่เป็นหุ้นที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนและสามารถเติบโตไปได้เรื่อย ๆ ยาวนานมาก ๆ นอกจากนั้นแล้ว  หุ้นของเขาจะต้องเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่พอที่เขาจะลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ  และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ  ราคาที่จะซื้อนั้นต้องสมเหตุผล  มี Margin of Safety หรือมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะทำให้เขาไม่ขาดทุนในระยะยาวถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น  การวิเคราะห์ของเขาเพื่อที่จะหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการนั้น  ดูเหมือนว่าจะเน้นไปที่เรื่องของกระแสเงินสดมากกว่าตัวเลขกำไรที่เป็นข้อมูลทางด้านบัญชีที่อาจจะไม่สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริงเต็มที่  และนี่เป็นเหตุผลที่เขาชอบบริษัทที่มีกระแสเงินสดดีและต้องการเงินลงทุนในการขยายธุรกิจต่ำ   และด้วยเหตุผลที่ต้องการหาหุ้นที่สมบูรณ์แบบดังกล่าวทำให้เขาลงทุนในหุ้นน้อยตัวมาก  พูดง่าย ๆ  ถ้าไม่เข้าเกณฑ์ที่เขาต้องการ  เขายินดีรอไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทำอะไรทั้ง ๆ ที่มีเงินสดที่พอกพูนขึ้นมามากมายตลอดเวลาจากการจ่ายปันผลของบริษัทที่เขาถืออยู่

  ข้อห้า บัฟเฟตต์นั้นเห็นว่าการมองโลกในแง่ร้ายและความหดหู่ของคนในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนซึ่งทำให้หุ้นตกลงมารุนแรงนั้น  เป็นโอกาสที่งดงามในการซื้อหุ้น  ในขณะที่ช่วงที่สังคมของนักลงทุนกำลังมองโลกในแง่ดีสุด ๆ จนแทบจะเคลิบเคลิ้มซึ่งทำให้หุ้นขึ้นไปอย่างไร้เหตุผลนั้น  เป็นเวลาที่จะต้องขายหุ้น  เหตุการณ์ช่วงวิกฤติในตลาดหุ้นอเมริกาในปี 2009 นั้น  บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นจำนวนมากที่ดูเหมือนว่ากำลังจะ “ล่มสลาย” และในตลาดนั้น  นักลงทุนต่างก็กำลังหนีตายและไม่มีเงินสดที่จะซื้อหุ้นเป็นพยานที่ยืนยันความมั่นคงในจิตใจของบัฟเฟตต์เป็นอย่างดี  ในทางตรงกันข้าม  บัฟเฟตต์เคยขายหุ้นทิ้งเกือบหมดพอร์ตในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 เนื่องจากหุ้นขึ้นเป็นกระทิงและราคาสูงมาก  เช่นเดียวกัน  เขาเคยซื้อหุ้นปิโตรเคมีของจีนและขายออกไปเมื่อราคาขึ้นไปสูงลิ่วอย่างไร้เหตุผลส่วนหนึ่งเนื่องจากบัฟเฟตต์เข้าไปซื้อมัน

  ข้อหกซึ่งใกล้เคียงกับข้อห้าก็คือ  ทุกครั้งที่เกิด “วิกฤติ” กับหุ้นที่ “ยิ่งใหญ่” และบัฟเฟตต์คิดว่ามันเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวครั้งเดียวและสามารถแก้ไขได้  เขาจะเข้าไปลงทุนอย่างหนักในหุ้นตัวนั้นเสมอ  ตัวอย่างมีมากมาย  เช่นกรณีที่เขาลงทุนในบริษัทอเมริกันเอ็กซเพรสเมื่อเกิดกรณีฉ่าวโฉ่เรื่องน้ำมันสลัดที่มีการฉ้อฉลกันในบริษัทแต่ตัวกิจการหลักที่เป็นบัตรเครดิตนั้นไม่ถูกกระทบ  เป็นต้น  ว่าที่จริง  หุ้นที่ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยนั้นถูกซื้อโดยบัฟเฟตต์ในช่วงที่มันมีราคาตกลงมาผิดปกติในยามที่เศรษฐกิจหรือบริษัทมีปัญหาที่  “แก้ไขได้”  หรือ “กำลังดีขึ้น” อย่างแน่นอน  และนี่ก็เป็นวิธีทำเงินที่สำคัญมากของบัฟเฟตต์

  สุดท้ายก็คือ  ระยะเวลาของการลงทุน  บัฟเฟตต์มองการลงทุนว่าคือการเข้าเป็นเจ้าของธุรกิจ  ดังนั้น  เมื่อซื้อแล้ว  เขาก็มักจะไม่มีความคิดว่าจะขาย  โดยเฉพาะบริษัทที่เขาคิดว่ามันเป็น ซุปเปอร์สต็อกหรือบริษัทที่จะโตต่อไปได้เรื่อย ๆ  เนื่องจากมันเป็นธุรกิจที่จะเติบโตไปได้เรื่อย ๆ  ยาวนานและบริษัทมีความได้เปรียบที่ยั่งยืนและธรรมชาติของผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ล้าสมัยและหาสิ่งอื่นมาทดแทนได้ยาก  การที่ไม่คิดว่าจะขายในแทบทุกกรณีทำให้เขาไม่ติดตามราคาหุ้นแบบนักลงทุนทั่วไปที่ต้องติดตามบางทีทุกนาทีหรือทุกวัน  บัฟเฟตต์เองนั้นไม่มีจอดูราคาหุ้นด้วยซ้ำ  ดังนั้น  ราคาหุ้นที่ขึ้นลงผันผวนรายวันหรือรายเดือนจึงไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของบัฟเฟตต์เลย  ถ้าจะมีบ้างก็คือ  ถ้าหุ้นตกลงมามาก  มันอาจจะเป็นโอกาสลงทุนสำหรับบัฟเฟตต์  แต่ก็เฉพาะที่เป็นหุ้นที่ดีมากที่บัฟเฟตต์ยังไม่ลงทุนเนื่องจากราคามันยังแพงเกินไปเท่านั้น