Thursday, April 9, 2015
ฟองสบู่ (เล็ก ๆ) ของอสังหาริมทรัพย์/ดร.นิเวศน์ เหมวชิวรากุล
บทความโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิวรากุล
อาการที่หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นสูงติดต่อกันมายาวนานนั้น ผมคิดว่าเป็นผลมาจากการที่เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดต่อกันมายาวนาน นักลงทุนบางส่วนไม่รู้จะฝากเงินในธนาคารหรือลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้ไปทำไม ดังนั้นพวกเขาจึงนำเงินมาลงทุนในทรัพย์สินอย่างอื่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ใช่ตลาดหุ้นเท่านั้นที่ราคาเพิ่มขึ้น อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่เป็นคอนโดมิเนียมนั้น ผมก็รู้สึกว่ามันมีราคาเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว บางทีอาจจะไม่แพ้ตลาดหุ้นด้วยซ้ำ นอกจากคอนโดมิเนียมแล้ว ผมยังรู้สึกว่าอสังหาริมทรัพย์ “เชิงพาณิชย์” ที่สามารถปล่อยเช่าได้ต่างก็ดูเหมือนว่าจะมีมูลค่าหรือราคาเพิ่มขึ้นมาก และนั่นก็นำมาสู่การขยายตัวของคอนโดมีเนียมและอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ เช่น ช็อบปิ้งมอล และคอมมูนิตี้มอล เป็นต้น ผมเองไม่ได้มีตัวเลขชัดเจนว่าราคาของอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นสูงเกินไปหรือยัง แต่เมื่อมองดูจากอาการต่าง ๆ ที่ปรากฏเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมก็รู้สึกว่า อย่างน้อยอสังหาฯเองก็น่าจะมี “ฟองสบู่” เล็ก ๆ เกิดขึ้นแล้ว และโอกาสที่ฟองสบู่จะ “แตก” ก็อาจจะมี แม้ว่าการแตกของฟองสบู่อสังหาฯอาจจะไม่ได้รุนแรงและราคาอาจจะตกลงมาน้อย แต่การขยายตัวของอสังหาฯในอนาคตก็อาจจะน้อยหรือซบเซาลงมากได้
อาการ “ฟองสบู่” ของอสังหาฯ หรือว่าที่จริงเป็นอาการของทรัพย์สินเกือบทุกอย่างที่กำลังเป็นฟองสบู่นั้นมีหลายเรื่อง อาการแรกก็คือ ในการซื้ออสังหาฯ เช่นคอนโดหรือบ้าน มีการปล่อยกู้สูงมาก คนกู้อาจจะใช้เงินตัวเองเพียง 5-10% อีก 90-95% เป็นเงินกู้ บางครั้งผมได้ยินว่าเราสามารถซื้อบ้านโดยไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์เลย แถมมีเงินให้อีก เราแค่ลงนามในสัญญาเงินกู้แล้วก็คอยผ่อนทุกเดือนหลังจากนั้น การผ่อนก็สบาย ๆ ให้เวลาเป็นหลายสิบปี ดูไปแล้วก็ “ดีกว่าเช่า” เพราะถ้าเช่า เงินก็จะหายไป แต่ถ้าซื้อเงินผ่อน สุดท้ายบ้านก็เป็นของเรา เม็ดเงินปล่อยกู้ในอสังหาฯ เองนั้น ผมก็เห็นว่ามีการปล่อยกู้ออกไปมาก ทั้งในด้านของบ้านที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า สถาบันการเงินเองก็อยากจะปล่อยเงินกู้ในส่วนนี้เพราะคิดว่ามันมีหลักประกันชั้นดีรองรับอยู่ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยจึงค่อนข้างต่ำแม้ว่าอัตราส่วนการกู้ต่อเงินดาวน์จะค่อนข้างสูง
อาการฟองสบู่ข้อต่อมาก็คือ ในภาวะที่เป็นฟองสบู่นั้น คนที่เป็น “มือสมัครเล่น” จะเริ่มเข้ามาในอุตสาหกรรม หรือคนที่ไม่มีความสามารถที่จะมีบ้านได้ก็จะเข้ามาซื้อบ้านได้ ตัวอย่างเรื่องนี้ก็คือ โครงการคอมมูนิตี้มอลที่มีคนเข้ามาทำมากมาย จำนวนมากนั้น ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำมอลมาก่อนเลย แต่เข้ามาทำเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ยาก เขาอาจจะคิดว่าทำเลที่ดีจะทำให้มอลสำเร็จ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ มันเป็นโครงการเล็ก ๆ ที่ต้องการผู้เช่าไม่กี่ราย การบริหารงานก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เราแค่เป็นจุดสะดวกที่คนในท้องถิ่นจะมาหาอะไรรับประทานและเดินเล่นในยามเย็นก็เพียงพอแล้ว ในส่วนของบ้านหรือคอนโดเองนั้น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากและระยะเวลาในการผ่อนส่งที่นานเป็นพิเศษ ทำให้ค่าผ่อนรายเดือนต่ำมากจนคนที่ไม่น่าจะซื้อบ้านได้เนื่องจากรายได้ไม่พอสามารถจะซื้อได้ อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวแล้ว อัตราดอกเบี้ยก็อาจจะเปลี่ยนไปซึ่งอาจจะทำให้เขาไม่สามารถผ่อนต่อได้
สัญญาณฟองสบู่ข้อต่อมาก็คือ คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมไม่กลัวความเสี่ยง พวกเขาเชื่อว่าราคาของอสังหาฯ นั้น “ไม่มีวันตก” ว่าที่จริงความคิดนี้แทบจะฝังหัวคนไทยมานาน แม้ว่าในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ราคาอสังหาฯ ตกลงมาพอสมควร แต่หลังจากนั้นแล้วมันก็มีแต่ขึ้นมาตลอด ในช่วงหลัง ๆ นี้ ราคาคอนโดมีการปรับตัวขึ้นมาสูงมากจนน่าตกใจ คอนโดที่โดดเด่นกลางใจเมืองและติดสถานีรถไฟฟ้าหลายแห่งราคาต่อตารางเมตรเท่ากับหลายแสนบาทแล้ว แต่คนก็คิดว่าซื้อไว้ได้ เพราะเดี๋ยวโครงการใหม่ก็จะสูงขึ้นไปอีก ในส่วนของช็อบปิงมอลเองนั้น ก็ยังมีคนเปิดเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ จนผมรู้สึกว่าถึงวันหนึ่งมันจะไม่คุ้มทุนเนื่องจากผู้เช่าจะหายากขึ้นและราคาค่าเช่านั้น วันหนึ่งอาจจะต้องปรับตัวลงถ้าความจริงปรากฏว่าเขาค้าขายไม่ดีอย่างที่คิด
อาการที่จะชี้ว่าอาจจะมีฟองสบู่อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ความซับซ้อนของกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจ ผมจะไม่พูดถึงเรื่องที่ผู้ซื้ออสังหาฯ รายย่อยบางรายอาจจะรู้สึกงง ๆ ที่ต้องลงนามในเอกสารแปลก ๆ เวลาเซ็นต์สัญญาต่าง ๆ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของกองทุนอสังหาฯ หรือกองทุนอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่เป็นอสังหาฯ เราก็อาจจะพบเงื่อนไขหรือรายละเอียดมากมาย เช่น การรับประกันรายได้ในช่วง 2-3 ปีแรก เงื่อนไขในการเช่าของเจ้าของทรัพย์สินเดิมที่ขายทรัพย์สินเข้ากองทุน และน่าจะยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากตามแต่ตัวโครงการแต่ละแห่ง ผมเองคิดว่าเรื่องต่าง ๆ เหล่านั้นค่อนข้างซับซ้อนและเข้าใจได้ยากว่ามันจะมีผลอย่างไรต่อผลตอบแทนของทรัพย์สินในอนาคต อย่างไรก็ตาม นี่คือสัญญาณของฟองสบู่อย่างหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าความซับซ้อนนั้นทำให้คนงงและยอมซื้อของแพง ๆ ก็ได้
สัญญาณสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ เรื่องของสถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้างของบริษัทในอุตสาหกรรม ในยามที่กำลังเกิดฟองสบู่นั้น มันจะโอ่อ่าอลังการที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ในยุคที่สถาบันการเงินรุ่งเรืองสุด ๆ นั้น พวกเขาจะมีสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่เลิศหรูอลังการ บางบริษัทก็มีเครื่องบินส่วนตัวที่เอาไว้ใช้เดินทางอย่างสะดวกสบาย ในเรื่องของอสังหาฯ นั้น ช่วงหลัง ๆ นี้ เราก็เห็นความเลิศหรูของช็อบปิงมอลเกิดขึ้นและหรูขึ้นเรื่อย ๆ คอนโดที่สร้างก็จะหรูขึ้นแพงขึ้นและสูงขึ้นเรื่อย ๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ภาวะเศรษฐกิจของเรากำลังอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่มาก
ฟองสบู่อสังหาฯ ถ้ามีอยู่แล้วตามที่ผมคิดก็อยู่ในภาวะที่น่าจะอันตรายพอสมควรเนื่องจากอาจจะเริ่มมีสัญญาณบางอย่างที่บอกว่ามันอาจจะกำลังค่อย ๆ ยุบตัวลง โดยที่อาจจะเริ่มต้นจากอสังหาฯ ที่มี “พื้นฐาน” ไม่ใคร่ดีนัก ตัวอย่างเช่น คอนโดในต่างจังหวัดที่เริ่มขายยากขึ้นมากจนบางโครงการอาจจะต้องล้มเลิกคืนเงินให้กับคนจองทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นโครงการคอนโดต่างจังหวัดบางแห่งนั้นขายได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกัน คอนโดในกรุงเทพที่ทำเลไม่ดีไม่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าก็มีการขายที่ช้ามาก
ค่าเช่าที่จะได้จากการปล่อยเช่าคอนโดนั้น ดูเหมือนว่าจะต่ำลงมาเรื่อย ๆ และประเด็นที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การหาคนเช่าดูเหมือนว่าจะยากขึ้นและยากขึ้น ผมรู้จักคนที่ทำอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าราคาถูกเองก็เริ่มบ่นว่า “ไม่คุ้ม” กับการลงทุนแล้ว เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่ามีอพาร์ทเม้นท์เกิดเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการ ดังนั้น พวกอพาร์ทเม้นท์เก่าจึงอยู่ลำบากเนื่องจากคนเช่าจะสนใจในอาคารที่ใหม่กว่าแต่ราคาอาจจะพอ ๆ กัน
คอมมูนิตี้มอลเองนั้น เราก็เริ่มเห็นแล้วว่าบางแห่งนั้น “เหงา” มาก อนาคตไม่สดใสและอาจจะไปไม่รอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการขึ้นค่าเช่าที่มักจะวางกันไว้ว่าจะขึ้นทุก 3 ปี ปีละประมาณ 5% โดยเฉลี่ย แม้แต่ช็อบปิงมอลขนาดใหญ่ที่ดำเนินการโดยบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำนั้น ในต่างจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ ผมเองเคยไปเดินดูก็พบว่าคนค่อนข้างน้อยแม้ในวันหยุด และดังนั้นผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเพิ่มค่าเช่าได้แค่ไหนเมื่อถึงปีที่จะต้องปรับค่าเช่าเพิ่ม
ในกรุงเทพและหัวเมืองท่องเที่ยวเองนั้น แม้ว่าชอบปิงมอลขนาดใหญ่ส่วนมากดูเหมือนว่าจะยังสามารถปรับค่าเช่าได้ซึ่งทำให้มันมีมูลค่าสูง แต่จำนวนมอลใหม่ที่เพิ่มขึ้นและหรูเลิศอลังการมากขึ้นโดยที่ความต้องการนั้นดูจากภาพใหญ่แล้วก็ไม่น่าจะมากขึ้นมาก ผมเองก็ยังสงสัยว่าในอนาคตอันไม่ยาวนักจะสามารถเพิ่มค่าเช่าตามแนวที่เคยใช้มายาวนานหรือไม่
โดยรวมแล้ว ข้อสรุปของผมก็คือ อสังหาฯ เองนั้น มีอะไรหลายอย่างคล้าย ๆ หุ้น นั่นคือ ราคาปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องยาวนานและมีราคาแพงเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้จากค่าเช่า อาการต่าง ๆ หลายอย่างบอกว่ามันอาจจะมีฟองสบู่เล็ก ๆ เกิดขึ้นและมีโอกาสที่มันจะ “ฝ่อ” คือ การเติบโตต่อไปนับจากวันนี้อาจจะช้าลงมาก
Wednesday, April 1, 2015
หน้ามือ-หลังมือ / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คนที่ “ผ่านโลกมามาก” ทั้งที่เป็นประสบการณ์โดยตรง และการอ่านและศึกษาประวัติศาสตร์ในหลาย ๆ ด้านอย่างผมนั้น มักจะมองอะไรต่าง ๆ อย่าง “ปลงอนิจจัง” มากกว่าคนที่ยังมีอายุน้อยและผ่านประสบการณ์ทั้งโดยตรงและทางอ้อมน้อยกว่า เหตุผลก็เพราะผมเห็นความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ มากกว่า ความเปลี่ยนแปลงที่ผมเห็นนั้น จำนวนมากเป็นเรื่องของรสนิยมและแฟชั่นฉาบฉวยที่เปลี่ยนรวดเร็วแค่ข้าม “ฤดู” ไม่กี่เดือนหรือปีสองปีและทุกคนก็เชื่อว่ามันก็ต้องเป็นอย่างนั้น บางเรื่องเป็นเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปีที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปและคนบางส่วนก็เชื่อว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นแม้ว่าคน “รุ่นเก่า” บางส่วนอาจจะ “ไม่ยอมรับ” และเรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องของความเชื่อที่ถูก “ปลูกฝัง” ลงในสมอง “ส่วนลึก” ที่คนทุกคนต่างก็เชื่ออย่างมั่นคงว่ามันเป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอนไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้นั้น ผมก็เห็นมันเปลี่ยนไป บางครั้ง จาก “หน้ามือเป็นหลังมือ” ดังนั้น เวลาที่มีคนมาบอกว่าโลกหรือประเทศไทยหรือบริษัทหรืออะไรก็แล้วแต่ จะต้องหรือจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อย่างจริงแท้แน่นอน ด้วยเหตุผลที่ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือ มีหลักฐาน เป็น “วิทยาศาสตร์” บางครั้งผมก็จะไม่ค่อยเชื่อ หรือไม่ก็ไม่นำมาเป็นประเด็นที่จะใช้มันในการตัดสินใจหรือประกอบการวิเคราะห์อย่าง “เอาเป็นเอาตาย” ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ครั้งหนึ่งคนคิดและเชื่ออย่างหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันกลับเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม
ย้อนหลังไปแค่ 3-4 ปี ที่ราคาน้ำมันดิบโลกวิ่งขึ้นไปสูงมากร้อยกว่าดอลลาร์ต่อบาร์เรล คนก็เริ่มพูดว่าน้ำมันจะต้องมีราคาสูง “ตลอดกาล” โอกาสที่จะเห็นราคาน้ำมันต่ำกว่าร้อยเหรียญนั้น “ลืมไปได้เลย” เหตุเพราะบ่อน้ำมันจะค่อย ๆ แห้งลง การขุดหาบ่อใหม่จะมีต้นทุนสูงขึ้นเรื่อย ๆ เหนือสิ่งอื่นใด โลกไม่ได้เจอบ่อน้ำมันขนาดใหญ่มาหลายสิบปีแล้ว โลกประสบกับ “Peak Oil” หรือปริมาณน้ำมันที่ขุดได้สูงสุดแล้วและกำลังลดลงเรื่อย ๆ ในขณะที่การใช้น้ำมันก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดยักษ์อย่างจีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย เป็นต้น
แต่แล้วราคาน้ำมันดิบก็ “ดิ่งลงเหว” เหลือแค่ 50-60 เหรียญในเวลาอันสั้นในปีนี้ เหตุผลก็เพราะ อเมริกาสามารถขุดน้ำมันบนบกด้วยวิธีใหม่ที่เรียกว่า Fracking ซึ่งทำให้ได้น้ำมันมากด้วยต้นทุนต่ำ และทำให้อเมริกากลายเป็นผู้ผลิตขนาดใหญ่ที่ทำให้ปริมาณการผลิตโลกมากกว่าความต้องการใช้ และนี่ทำให้ราคาน้ำมันลดลง แต่ประเด็นสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ มีความเชื่อกันใหม่ว่า โอกาสที่จะเห็นราคาน้ำมันขึ้นไปสูงอย่างเดิมนั้นเป็นเรื่องที่ยาก เพราะโลกอาจจะเริ่มเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนอย่างอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ รถยนต์ที่ใช้น้ำมันในอนาคตจะเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรีหรือใช้ไฮโดรเจน การปั่นไฟเพื่อใช้ในบ้านและอุตสาหกรรมก็จะเปลี่ยนไปใช้พลังแสงแดดหรือลมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต้นทุนที่ต่ำลงเนื่องจากเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ดังนั้น อนาคตของน้ำมันจึงกำลัง “ริบหรี่” ตลอดกาล
แม้แต่บัฟเฟตต์เองก็อาจจะเคยจับประเด็นเรื่องราคาน้ำมันที่อาจจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีลงและเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันเมื่อหลายปีก่อน แต่ผมเข้าใจว่าตอนนี้เขาถอนการลงทุนไปหมดแล้ว หลายคนอาจจะมีความเชื่อใหม่ที่มั่นคงว่า “พลังงานทางเลือก” ไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากชีวมวล พลังงานแสงแดดและลม จะเป็นสิ่งที่จะเติบโตไปไม่มีหยุดเนื่องจากมันคือแหล่งพลังงานที่ใช้ได้ “ไม่มีวันหมด” และดังนั้น การลงทุนกับมันจะเป็นสิ่งที่ได้ผลตอบแทนสูง ส่วนตัวผมเองนั้นคิดว่า นี่คือเรื่องของ “อนิจจัง” เรื่องใหม่ เป็นไปได้ที่อีกร้อยปีข้างหน้า โลกจะใช้พลังงานดังกล่าวมาก แต่เส้นทางที่ไปและกิจการที่จะรุ่งเรืองนั้น อาจจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เราคิดอย่างสิ้นเชิงก็ได้
ครั้งหนึ่ง อาจจะซัก 30-40 ปีที่แล้ว คนกลัวเรื่องเงินเฟ้อกันมาก เพราะเงินเฟ้อบางทีสูงถึงปีละ 10% ก็มี เงินเฟ้อเป็น “ปีศาจ” ที่หลอกหลอนคนทุกชาติ การต่อต้านเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ทำกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะเงินเฟ้ออาจจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศและโลกล่มสลาย แต่คนก็เชื่อกันว่าเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ต้อง “อยู่กับโลก” เป็นไปไม่ได้ที่เงินจะไม่เฟ้อ “คนรุ่นพ่อใช้เงินกันวัน 1 บาทแต่เดี๋ยวนี้ 100 บาทนั้นกาแฟหรูซักแก้วก็ยังซื้อไม่ได้” แต่เดี๋ยวนี้ คนกลับกลัวว่าเงินจะไม่เฟ้อ หลายประเทศต้องพยายามทำให้เงินเฟ้อเพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ การที่จะให้เงินเฟ้อถึง 2-3% นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับหลายประเทศ หลายคนเชื่อว่าโอกาสที่โลกจะกลับมามีเงินเฟ้อสูง ๆ นั้นเป็นไปไม่ได้อีกแล้วสำหรับประเทศที่เจริญและไม่ใช่เศรษฐกิจปิดยกเว้นแต่ประเทศจะเกิดวิกฤติรุนแรงและเงินท้องถิ่นหมดค่าลง
ความคิดเรื่องของคนหรือประชากรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พลิก “หน้ามือเป็นหลังมือ” สมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นนั้น ทุกคนบอกว่า “ลูกมากจะยากจน” นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลแต่เป็นเรื่องของประเทศและเศรษฐกิจ การลดการมีลูกหรือมีเด็กเกิดใหม่นั้นเป็น “ภารกิจสำคัญ” ของประเทศกำลังพัฒนารวมถึงประเทศไทย เพราะ “ประเทศจะพัฒนาไปไม่ได้ถ้ายังมีคนเกิดมาก ๆ” ประเทศจีนเองถึงกับเป็นนโยบายของรัฐบาลที่บังคับให้ทุกครอบครัวมีลูกได้เพียงคนเดียว เดี๋ยวนี้เราบอกว่าประเทศที่จะเติบโตได้เร็วนั้นก็คือประเทศที่มีประชากรมาก มีคนหนุ่มสาวหรือเด็กมาก ประเทศที่คนแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและมีเด็กเกิดใหม่น้อยนั้น โอกาสที่จะโตจะยากและในที่สุดก็จะลดลง ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นและประเทศในยุโรปตะวันตก สิงคโปร์เองตอนนี้ต้องส่งเสริมให้คนมีลูกมากขึ้น ตอนนี้มีแต่คนคิดว่าเป็นเรื่องที่ “เป็นไปไม่ได้” ที่ประเทศที่คนแก่ตัวลงแล้วจะมีประชากรเกิดใหม่มากขึ้น
เรื่องของสุขภาพเองนั้น เรามีความเชื่อที่ “ฝังหัว” มานานมากว่าคลอเรสเตอรอลทำให้เป็นโรคหัวใจ และดังนั้น เราควรจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารมันและอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูงโดยเฉพาะที่เป็นคนสูงอายุ ดังนั้น เวลาผมดื่มนมผมจึงมักเลือกนมพร่องมันเนย ผมจะจำกัดการกินไข่ไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ฟอง ผมหลีกเลี่ยงเนื้อมัน ๆ และหนังไก่ ผมหลีกเลี่ยงกะทิ ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ผมชอบกิน แต่คลอเรสเตอรอลผมก็ยังสูงกว่ามาตรฐานอยู่ดี ดังนั้นผมต้องกินยาลดคลอเรสเตอรอลทุกวันเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคเส้นเลือดอุดตัน แต่ล่าสุดมี “ผลการศึกษา” ที่พบว่าการกินอาหารไม่มีอะไรเกี่ยวกับระดับของคลอเรสเตอรอลในกระแสเลือดของเรา เพราะคลอเรสเตอรอลส่วนใหญ่นั้นถูกผลิตขึ้นภายในร่างกายของเราอยู่แล้ว พูดง่าย ๆ อยากกินอะไรก็กินไป มันไม่ได้เพิ่มหรือลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด ที่จริง การกินไข่วันละหลาย ๆ ฟองเป็นสิ่งที่ดี มันมีสารอาหารที่วิเศษที่ช่วยการทำงานของร่ายกายและลดการเป็นอัลไซเมอร์ แต่ถึงวันนี้ผมเองก็ยังสงสัยว่า “ผลการศึกษา” เก่ามันผิดหรืออย่างไร? อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ยังไม่กล้ากินไข่หรืออาหารมันมากนัก เพราะยังกลัวว่าอาจจะมี “ผลการศึกษา” ใหม่กว่าที่จะทำให้ผมต้อง “ช๊อก” เพราะเราเป็นโรคหัวใจเนื่องจาก “กินไม่ระวัง” เพราะเชื่อการศึกษาใหม่
ในชีวิตเรานั้น ผมคิดว่าเราถูกข้อมูลข่าวสาร “ล้างสมอง” ทุกวันตั้งแต่เด็กจนถึงแก่ ข้อมูลบางอย่างก็ไม่ได้มีความลำเอียงอะไรแต่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง มันถูกประกาศหรือปล่อยออกมาโดยความรู้เท่าไม่ถึงการแต่หลังจากนั้นมันก็อาจจะ “ติด” จนคนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน ข้อมูลหลายอย่างก็อาจจะถูกปล่อยออกมาโดยมีความตั้งใจเพื่อให้คนเชื่อด้วยเหตุผลที่มันเป็นประโยชน์ต่อคนปล่อยและมันก็ทำให้เราและสังคมเชื่อ ผมเองคิดว่านักลงทุนจำเป็นที่จะต้องแยกแยะว่าอะไรเป็นของจริงแท้แน่นอน ซึ่งนี่ก็ควรเป็นเรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ อะไรที่อาจจะไม่จริงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเชื่ออย่างไม่มีคำถาม นี่ก็คือสิ่งที่มักจะเป็นวิทยาศาสตร์ผสมกับศิลปะซึ่งก็มักจะรวมถึงเรื่องการแพทย์หรือสุขภาพ และอะไรที่อาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงเท่ากันซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องของศิลปะมากกว่าวิทยาศาสตร์ซึ่งน่าจะรวมถึงพฤติกรรมขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และสุดท้ายคือเรื่องที่เปลี่ยนไปได้แค่ข้ามคืนซึ่งก็คือเรื่องที่เป็นศิลปะล้วน ๆ เช่นเรื่องของแฟชั่นหรือความเห่อของคน
วิชาเทพ-วิชามาร / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากุล
คนที่เคยอ่านหนังสือ “กำลังภายในจีน” ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนยุคก่อนจะต้องรู้จักคำว่า “วิชามาร” ซึ่งเป็นวิชาความรู้ในการต่อสู้ที่รุนแรง ร้ายกาจ โหดเหี้ยม และบางครั้งก็มักจะไม่คำนึงถึง “จรรยาบรรณ” หรือ “กติกา” ในการต่อสู้ และคนที่ใช้วิชาแบบนี้ก็มักจะเป็นผู้ร้ายหรือเป็น “มาร” ส่วนคนที่เป็นพระเอกหรือคนดีที่เป็น “เทพ” นั้นก็มักจะใช้วิชาอีกแบบหนึ่งที่มีลักษณะตรงกันข้ามในเรื่องของรูปแบบ เช่น ไม่รุนแรงโหดเหี้ยม แต่อาจจะอาศัยแรงของคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขา “แพ้ภัยตัวเอง” วิชาเทพนั้นมักจะ “อ่อนโยนและสงบนิ่ง” กว่า นอกจากนั้นก็มักจะต้องยึดถือ “จรรยาบรรณ” ในการต่อสู้ ไม่คดโกงหรือลอบกัดฝ่ายตรงข้าม การต่อสู้ระหว่างมารและเทพนั้น แม้ว่าในระยะแรกดูเหมือนมารจะได้เปรียบ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เทพก็มักจะเป็นฝ่ายชนะ
ผมเองนั้นไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือกำลังภายในเลย อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องวิชาเทพ-วิชามารนั้น ผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องของการลงทุนได้ดี สิ่งที่จะต้องประกาศไว้ก่อนเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดก็คือ ในเรื่องของการลงทุนนั้น “วิชามาร” ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสิ่งที่เลวร้าย และคนที่ใช้มันก็ไม่ใช่คนที่ไม่ดีเสมอไป เช่นเดียวกัน “วิชาเทพ” เองก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป และคนที่ใช้ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่ดีเสมอไป เช่นเดียวกัน คนที่ใช้วิชาเทพมากก็ไม่ใช่ว่าจะต้องชนะ และผู้ที่ใช้วิชามารเป็นหลักก็ไม่ใช่ว่าจะต้องแพ้ บ่อยครั้งมันอาจจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์เช่นเดียวกับความสามารถของผู้ใช้ เหนือสิ่งอื่นใด มีนักลงทุนน้อยคนที่จะใช้เฉพาะวิชามารหรือวิชาเทพเพียงอย่างเดียวในการลงทุน ในบางโอกาส แม้แต่คนที่ยึดถือวิชาเทพเป็นหลักมาก ๆ ก็ยังใช้วิชามารเข้าเล่นด้วย เช่นเดียวกัน คนที่ดูเหมือนจะใช้วิชามารเป็นส่วนใหญ่ก็มักจะงัดวิชาเทพออกมาใช้ ดังนั้น ความหมายที่ผมต้องการสื่อก็คือ วิชาก็คือวิชา มันเป็นกลาง มันเป็นเสมือนอาวุธและลีลาที่ใครจะนำไปใช้ก็ได้ที่จะทำให้เขา “ชนะ”
ในเรื่องของการลงทุนนั้น นิยามกว้าง ๆ ที่ผมจะกำหนดว่าแบบไหนเป็นวิชามารและแบบไหนเป็นวิชาเทพนั้นจะล้อไปกับเรื่องของกำลังภายใน หลัก ๆ ก็คือ ถ้าเป็นเรื่อง “รุนแรง” นั่นก็คือ ลงทุนแล้วได้เสียมากและเร็วมาก ก็จะถือว่าเป็น “วิชามาร” นั่นคือข้อแรก ข้อสอง ถ้าเป็นเรื่องที่ “ร้ายกาจ” นั่นคือ เข้าไปเล่นหุ้นตัวใดตัวหนึ่งแล้ว เรา “ชนะ” คือสามารถทำกำไรได้มโหฬาร แต่คนที่ “แพ้” คือคนที่เล่นหุ้นตัวเดียวกันต้องขาดทุนอย่างหนัก พูดง่าย ๆ คนที่ชนะ “กินเงินจากผู้แพ้” แบบนี้ถือว่าเป็นวิชามาร ตรงกันข้าม ถ้าคนที่ชนะไม่ได้ได้เงินจากนักลงทุนคนอื่น แต่ได้จากการที่บริษัทสามารถทำกำไรได้มากขึ้นมากทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปมากและไม่ตกลงมาที่ทำให้คนอื่นขาดทุน
นิยามข้อสุดท้ายก็คือ เรื่องของความ “โหดเหี้ยม” และ/หรือ “ไร้จรรยาบรรณ” นั่นก็คือ การ “ปั่นหุ้น” และการ “ใช้ข้อมูลภายใน” ในการลงทุน นี่ถือว่าเป็น “วิชามาร” ขั้นสุดยอดจริง ๆ และคนที่เล่นแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็น “มาร” จริง ๆ ในแง่ที่เป็นคนไม่ดี และกรณีที่ทำมากจนเข้าข่ายผิดกฎหมายก็เสี่ยงที่จะต้องถูกลงโทษทางอาญา แต่สำหรับนิยามของผมเองนั้น การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นผิดกฎหมายก็ต้องถือว่าเป็น “วิชามารขั้นสูง” ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ และนิยามการปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในนั้นเอง ก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นสีเทา ๆ นั่นก็คือ ถ้ามีการใช้กระบวนการในการปล่อยข่าวและ/หรือสร้างกระแสหรือภาพลักษณ์ของกิจการหรือหุ้นมากมายโดยที่มันไม่ใช่ความจริงหรือมีความไม่แน่นอนสูงเพื่อที่จะทำให้คนสนใจเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อที่จะผลักดันราคา หรือมีการซื้อขายหุ้นนำเพื่อทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปรุนแรงเพื่อที่จะดึงดูดให้คนสนใจเข้ามาร่วมวงซื้อขายอะไรทำนองนี้ แม้ว่าโดยนิยามทางกฎหมายอาจจะไม่ใช่การปั่นหุ้น แต่โดยนิยามของผมแล้วมันก็คือการใช้วิชามาร
มาดูกันว่าพฤติกรรมแบบไหนในการลงทุนที่เข้าข่ายการใช้ “วิชามาร” กันบ้าง เบื้องต้นก็คือตามนิยามข้อแรกที่น่าจะเป็นวิชามารอย่างอ่อน ผมคิดว่า การลงทุนหรือเล่นหุ้นที่มีการใช้มาร์จินนั้น เป็นการใช้วิชามารเพื่อที่จะเร่งผลตอบแทน ยิ่งใช้มาร์จินสูงก็จะมีความรุนแรงหรือความผันผวนของผลตอบแทนการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกัน การกู้ยืมเงินจากพ่อแม่พี่น้องหรือญาติมาลงทุนรวมถึงการนำสินทรัพย์เช่นบ้านมาค้ำประกันเพื่อกู้เงินมาลงทุนต่าง ๆ เหล่านี้ก็เป็นเรื่องการใช้วิชามารทั้งสิ้น นอกจากนั้น การลงทุนในตราสารการเงินที่มีความผันผวนสูงมาก ๆ เนื่องจากลักษณะตราสารเองไม่ใช่ลักษณะของกิจการ ตัวอย่างเช่นวอแร้นต์ที่ราคาแปลงสภาพสูงกว่าราคาของหุ้นแม่มาก หรือการเล่นคอมโมดิตี้หรือพวกฟิวเจอร์หรือออปชั่นที่มีการวางเงินเพียงเล็กน้อยแต่มีระดับของการ “พนัน” สูงมาก ผมก็ถือว่าเรากำลัง “เล่นกับไฟ” และดังนั้นมันจึงเป็นการใช้วิชามาร ว่าที่จริง การเข้าไปเล่นหุ้น IPO ในวันที่หุ้นเข้าตลาดในวันแรกในช่วงเร็ว ๆ นี้นั้น ผมเองคิดว่ามันก็ไม่ห่างจากวิชามารมากนัก
นิยามในข้อสองคือเรื่องของความ “ร้ายกาจ” นั้น ถ้าเกิดจากความตั้งใจของการเข้าไปไล่ราคาหุ้นเพื่อที่จะ “ปล่อยของ” อย่างรวดเร็ว นั่นก็คือการทำราคาหุ้นให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อที่ตนเองจะได้ขายในราคาสูงโดยที่รู้ว่าพื้นฐานของราคาหุ้นต่ำกว่านั้นมาก ผลก็คือ นักลงทุนคนอื่นที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้อง “บาดเจ็บ” อย่างหนักเนื่องจากเข้าไปซื้อหุ้นที่แพงเกินพื้นฐานไปมากและต้องขายขาดทุนหนักหรือต้องติดหุ้นไปยาวนานมาก ลักษณะแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการใช้วิชามารอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังมีการซื้อหุ้นและขายทำกำไรมากแต่คนอื่นขาดทุนอย่างหนักโดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ตั้งใจ นี่ก็คือการที่นักลงทุนเข้าไปเล่นหุ้นที่มีผลประกอบการที่มีความไม่แน่นอนสูงหรือมีวัฏจักรรุนแรง พอเข้าไปแล้วราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปสูงมากอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของธุรกิจและ/หรือผลจากการซื้อหุ้นของเขาเอง เขาจึงตัดสินใจขายหุ้นทิ้งอย่างรวดเร็วทำกำไรงดงามและทำให้ราคาตกลงอย่างหนักและทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเสียหาย ในกรณีแบบนี้ก็อาจจะถือได้ว่าเป็นเรื่องของวิชามารเหมือนกันแม้ว่าดีกรีจะอ่อนกว่าแบบแรก
สุดท้ายคือนิยามของความโหดเหี้ยมและ/หรือไร้จรรยาบรรณในการลงทุน นี่ก็คือการเล่นหุ้นในแบบที่อาจจะเป็นการเอาเปรียบคนอื่นอย่างชัดเจนเช่นการปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในไม่ว่าจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือไม่ นอกจากนั้น การเล่นหุ้นที่ใช้ “วิศวกรรมการเงิน” แบบวิชามาร เช่น การซื้อหุ้น PP หรือหุ้นใหม่ของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก ๆ การให้วอแร้นต์ฟรีจำนวนมาก ๆ ที่จะไดลูทหรือทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีสัดส่วนในบริษัทน้อยลงมากในอนาคต การแตกพาร์โดยไม่สมเหตุผล และอื่น ๆ อีกมาก แบบนี้ผมถือว่ามันเป็นเรื่องของการใช้วิชามารในการลงทุนหรือเล่นหุ้นทั้งสิ้น
ถ้าจะถือว่าเซียนหุ้นระดับโลกคนไหนใช้วิชามารมากนั้น ผมคิดว่า จอร์จ โซรอส เป็นคนหนึ่ง เพราะการทำกำไรของโซรอสนั้น บ่อยครั้งทิ้ง “หายนะ” ให้กับคนอื่น ๆ อีกหลายคน ส่วนคนที่ใช้วิชาเทพมากนั้น แน่นอน คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ทำเงินโดยการเติบโตของกิจการที่เขาไปลงทุน มีหุ้นน้อยมากที่บัฟเฟตต์ซื้อและขายทำกำไรได้งดงามแต่ในที่สุดคนที่ซื้อตามเจ๊ง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บัฟเฟตต์ซื้อแล้วเขาแทบจะไม่เคยขายอย่างรวดเร็ว จำนวนมากเขาถือมันไว้ตลอดชีวิต บัฟเฟตต์นั้นได้เงินจากบริษัท ไม่ได้ได้จากผู้ถือหุ้นคนอื่น
ในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมไม่รู้ว่าระหว่างคนที่ใช้วิชาเทพหรือคนที่ใช้วิชามารอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ใครทำกำไรหรือได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่า เป็นไปได้ว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นร้อนแรงและราคาหุ้นขึ้นเป็นกระทิงยาวนานนั้น คนที่ใช้วิชามารเก่ง ๆ น่าจะทำกำไรได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวที่ตลาดหุ้นมักมีการขึ้นลงและมักจะมีช่วงที่เลวร้ายเป็นระยะ ๆ คนที่ใช้วิชาเทพก็อาจจะสามารถทำผลงานเฉลี่ยได้ดีกว่าเช่นเดียวกัน เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์
Subscribe to:
Posts (Atom)