Thursday, April 9, 2015

ฟองสบู่ (เล็ก ๆ) ของอสังหาริมทรัพย์/ดร.นิเวศน์ เหมวชิวรากุล


บทความโดย ดร.นิเวศน์  เหมวชิวรากุล

อาการที่หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นสูงติดต่อกันมายาวนานนั้น  ผมคิดว่าเป็นผลมาจากการที่เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดต่อกันมายาวนาน  นักลงทุนบางส่วนไม่รู้จะฝากเงินในธนาคารหรือลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้ไปทำไม  ดังนั้นพวกเขาจึงนำเงินมาลงทุนในทรัพย์สินอย่างอื่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   แต่ไม่ใช่ตลาดหุ้นเท่านั้นที่ราคาเพิ่มขึ้น  อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่เป็นคอนโดมิเนียมนั้น  ผมก็รู้สึกว่ามันมีราคาเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว  บางทีอาจจะไม่แพ้ตลาดหุ้นด้วยซ้ำ  นอกจากคอนโดมิเนียมแล้ว  ผมยังรู้สึกว่าอสังหาริมทรัพย์  “เชิงพาณิชย์”  ที่สามารถปล่อยเช่าได้ต่างก็ดูเหมือนว่าจะมีมูลค่าหรือราคาเพิ่มขึ้นมาก  และนั่นก็นำมาสู่การขยายตัวของคอนโดมีเนียมและอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ เช่น  ช็อบปิ้งมอล  และคอมมูนิตี้มอล เป็นต้น  ผมเองไม่ได้มีตัวเลขชัดเจนว่าราคาของอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นสูงเกินไปหรือยัง  แต่เมื่อมองดูจากอาการต่าง ๆ  ที่ปรากฏเมื่อเร็ว ๆ  นี้  ผมก็รู้สึกว่า  อย่างน้อยอสังหาฯเองก็น่าจะมี  “ฟองสบู่”  เล็ก ๆ  เกิดขึ้นแล้ว  และโอกาสที่ฟองสบู่จะ “แตก” ก็อาจจะมี  แม้ว่าการแตกของฟองสบู่อสังหาฯอาจจะไม่ได้รุนแรงและราคาอาจจะตกลงมาน้อย  แต่การขยายตัวของอสังหาฯในอนาคตก็อาจจะน้อยหรือซบเซาลงมากได้

  อาการ  “ฟองสบู่” ของอสังหาฯ  หรือว่าที่จริงเป็นอาการของทรัพย์สินเกือบทุกอย่างที่กำลังเป็นฟองสบู่นั้นมีหลายเรื่อง   อาการแรกก็คือ  ในการซื้ออสังหาฯ เช่นคอนโดหรือบ้าน  มีการปล่อยกู้สูงมาก  คนกู้อาจจะใช้เงินตัวเองเพียง 5-10%  อีก 90-95% เป็นเงินกู้  บางครั้งผมได้ยินว่าเราสามารถซื้อบ้านโดยไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์เลย  แถมมีเงินให้อีก  เราแค่ลงนามในสัญญาเงินกู้แล้วก็คอยผ่อนทุกเดือนหลังจากนั้น  การผ่อนก็สบาย ๆ  ให้เวลาเป็นหลายสิบปี  ดูไปแล้วก็  “ดีกว่าเช่า”  เพราะถ้าเช่า  เงินก็จะหายไป  แต่ถ้าซื้อเงินผ่อน  สุดท้ายบ้านก็เป็นของเรา  เม็ดเงินปล่อยกู้ในอสังหาฯ เองนั้น  ผมก็เห็นว่ามีการปล่อยกู้ออกไปมาก  ทั้งในด้านของบ้านที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า  สถาบันการเงินเองก็อยากจะปล่อยเงินกู้ในส่วนนี้เพราะคิดว่ามันมีหลักประกันชั้นดีรองรับอยู่  ดังนั้น  อัตราดอกเบี้ยจึงค่อนข้างต่ำแม้ว่าอัตราส่วนการกู้ต่อเงินดาวน์จะค่อนข้างสูง

  อาการฟองสบู่ข้อต่อมาก็คือ  ในภาวะที่เป็นฟองสบู่นั้น  คนที่เป็น  “มือสมัครเล่น” จะเริ่มเข้ามาในอุตสาหกรรม  หรือคนที่ไม่มีความสามารถที่จะมีบ้านได้ก็จะเข้ามาซื้อบ้านได้  ตัวอย่างเรื่องนี้ก็คือ โครงการคอมมูนิตี้มอลที่มีคนเข้ามาทำมากมาย  จำนวนมากนั้น  ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำมอลมาก่อนเลย  แต่เข้ามาทำเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ยาก  เขาอาจจะคิดว่าทำเลที่ดีจะทำให้มอลสำเร็จ  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  มันเป็นโครงการเล็ก ๆ  ที่ต้องการผู้เช่าไม่กี่ราย  การบริหารงานก็ไม่ต้องทำอะไรมาก   เราแค่เป็นจุดสะดวกที่คนในท้องถิ่นจะมาหาอะไรรับประทานและเดินเล่นในยามเย็นก็เพียงพอแล้ว   ในส่วนของบ้านหรือคอนโดเองนั้น  อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากและระยะเวลาในการผ่อนส่งที่นานเป็นพิเศษ  ทำให้ค่าผ่อนรายเดือนต่ำมากจนคนที่ไม่น่าจะซื้อบ้านได้เนื่องจากรายได้ไม่พอสามารถจะซื้อได้   อย่างไรก็ตาม  ในระยะยาวแล้ว  อัตราดอกเบี้ยก็อาจจะเปลี่ยนไปซึ่งอาจจะทำให้เขาไม่สามารถผ่อนต่อได้

  สัญญาณฟองสบู่ข้อต่อมาก็คือ  คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมไม่กลัวความเสี่ยง  พวกเขาเชื่อว่าราคาของอสังหาฯ นั้น  “ไม่มีวันตก”  ว่าที่จริงความคิดนี้แทบจะฝังหัวคนไทยมานาน  แม้ว่าในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ราคาอสังหาฯ ตกลงมาพอสมควร  แต่หลังจากนั้นแล้วมันก็มีแต่ขึ้นมาตลอด  ในช่วงหลัง ๆ  นี้  ราคาคอนโดมีการปรับตัวขึ้นมาสูงมากจนน่าตกใจ  คอนโดที่โดดเด่นกลางใจเมืองและติดสถานีรถไฟฟ้าหลายแห่งราคาต่อตารางเมตรเท่ากับหลายแสนบาทแล้ว  แต่คนก็คิดว่าซื้อไว้ได้  เพราะเดี๋ยวโครงการใหม่ก็จะสูงขึ้นไปอีก  ในส่วนของช็อบปิงมอลเองนั้น  ก็ยังมีคนเปิดเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ  จนผมรู้สึกว่าถึงวันหนึ่งมันจะไม่คุ้มทุนเนื่องจากผู้เช่าจะหายากขึ้นและราคาค่าเช่านั้น  วันหนึ่งอาจจะต้องปรับตัวลงถ้าความจริงปรากฏว่าเขาค้าขายไม่ดีอย่างที่คิด

  อาการที่จะชี้ว่าอาจจะมีฟองสบู่อีกเรื่องหนึ่งก็คือ  ความซับซ้อนของกระบวนการต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจ  ผมจะไม่พูดถึงเรื่องที่ผู้ซื้ออสังหาฯ รายย่อยบางรายอาจจะรู้สึกงง ๆ ที่ต้องลงนามในเอกสารแปลก  ๆ เวลาเซ็นต์สัญญาต่าง ๆ  แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของกองทุนอสังหาฯ หรือกองทุนอื่น ๆ  ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่เป็นอสังหาฯ  เราก็อาจจะพบเงื่อนไขหรือรายละเอียดมากมาย  เช่น  การรับประกันรายได้ในช่วง 2-3 ปีแรก  เงื่อนไขในการเช่าของเจ้าของทรัพย์สินเดิมที่ขายทรัพย์สินเข้ากองทุน  และน่าจะยังมีเรื่องอื่น ๆ  อีกมากตามแต่ตัวโครงการแต่ละแห่ง  ผมเองคิดว่าเรื่องต่าง ๆ  เหล่านั้นค่อนข้างซับซ้อนและเข้าใจได้ยากว่ามันจะมีผลอย่างไรต่อผลตอบแทนของทรัพย์สินในอนาคต  อย่างไรก็ตาม  นี่คือสัญญาณของฟองสบู่อย่างหนึ่ง  บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าความซับซ้อนนั้นทำให้คนงงและยอมซื้อของแพง ๆ  ก็ได้

  สัญญาณสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  เรื่องของสถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้างของบริษัทในอุตสาหกรรม   ในยามที่กำลังเกิดฟองสบู่นั้น  มันจะโอ่อ่าอลังการที่สุด  ยกตัวอย่างเช่น  ในยุคที่สถาบันการเงินรุ่งเรืองสุด ๆ  นั้น  พวกเขาจะมีสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่เลิศหรูอลังการ  บางบริษัทก็มีเครื่องบินส่วนตัวที่เอาไว้ใช้เดินทางอย่างสะดวกสบาย  ในเรื่องของอสังหาฯ นั้น  ช่วงหลัง ๆ  นี้  เราก็เห็นความเลิศหรูของช็อบปิงมอลเกิดขึ้นและหรูขึ้นเรื่อย ๆ   คอนโดที่สร้างก็จะหรูขึ้นแพงขึ้นและสูงขึ้นเรื่อย ๆ  นี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้ง ๆ  ที่ภาวะเศรษฐกิจของเรากำลังอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่มาก

  ฟองสบู่อสังหาฯ ถ้ามีอยู่แล้วตามที่ผมคิดก็อยู่ในภาวะที่น่าจะอันตรายพอสมควรเนื่องจากอาจจะเริ่มมีสัญญาณบางอย่างที่บอกว่ามันอาจจะกำลังค่อย ๆ  ยุบตัวลง  โดยที่อาจจะเริ่มต้นจากอสังหาฯ ที่มี “พื้นฐาน” ไม่ใคร่ดีนัก  ตัวอย่างเช่น  คอนโดในต่างจังหวัดที่เริ่มขายยากขึ้นมากจนบางโครงการอาจจะต้องล้มเลิกคืนเงินให้กับคนจองทั้ง ๆ  ที่ก่อนหน้านั้นโครงการคอนโดต่างจังหวัดบางแห่งนั้นขายได้อย่างรวดเร็ว   เช่นเดียวกัน  คอนโดในกรุงเทพที่ทำเลไม่ดีไม่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าก็มีการขายที่ช้ามาก

  ค่าเช่าที่จะได้จากการปล่อยเช่าคอนโดนั้น  ดูเหมือนว่าจะต่ำลงมาเรื่อย ๆ  และประเด็นที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  การหาคนเช่าดูเหมือนว่าจะยากขึ้นและยากขึ้น  ผมรู้จักคนที่ทำอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าราคาถูกเองก็เริ่มบ่นว่า  “ไม่คุ้ม”  กับการลงทุนแล้ว  เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่ามีอพาร์ทเม้นท์เกิดเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการ  ดังนั้น  พวกอพาร์ทเม้นท์เก่าจึงอยู่ลำบากเนื่องจากคนเช่าจะสนใจในอาคารที่ใหม่กว่าแต่ราคาอาจจะพอ ๆ  กัน

  คอมมูนิตี้มอลเองนั้น  เราก็เริ่มเห็นแล้วว่าบางแห่งนั้น “เหงา” มาก  อนาคตไม่สดใสและอาจจะไปไม่รอด  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการขึ้นค่าเช่าที่มักจะวางกันไว้ว่าจะขึ้นทุก 3 ปี ปีละประมาณ 5% โดยเฉลี่ย  แม้แต่ช็อบปิงมอลขนาดใหญ่ที่ดำเนินการโดยบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำนั้น  ในต่างจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ  ผมเองเคยไปเดินดูก็พบว่าคนค่อนข้างน้อยแม้ในวันหยุด  และดังนั้นผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเพิ่มค่าเช่าได้แค่ไหนเมื่อถึงปีที่จะต้องปรับค่าเช่าเพิ่ม

  ในกรุงเทพและหัวเมืองท่องเที่ยวเองนั้น  แม้ว่าชอบปิงมอลขนาดใหญ่ส่วนมากดูเหมือนว่าจะยังสามารถปรับค่าเช่าได้ซึ่งทำให้มันมีมูลค่าสูง  แต่จำนวนมอลใหม่ที่เพิ่มขึ้นและหรูเลิศอลังการมากขึ้นโดยที่ความต้องการนั้นดูจากภาพใหญ่แล้วก็ไม่น่าจะมากขึ้นมาก  ผมเองก็ยังสงสัยว่าในอนาคตอันไม่ยาวนักจะสามารถเพิ่มค่าเช่าตามแนวที่เคยใช้มายาวนานหรือไม่

  โดยรวมแล้ว  ข้อสรุปของผมก็คือ  อสังหาฯ เองนั้น  มีอะไรหลายอย่างคล้าย ๆ  หุ้น นั่นคือ  ราคาปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องยาวนานและมีราคาแพงเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้จากค่าเช่า  อาการต่าง ๆ  หลายอย่างบอกว่ามันอาจจะมีฟองสบู่เล็ก ๆ  เกิดขึ้นและมีโอกาสที่มันจะ “ฝ่อ”  คือ การเติบโตต่อไปนับจากวันนี้อาจจะช้าลงมาก