Wednesday, April 1, 2015

วิชาเทพ-วิชามาร / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากุล

 
    คนที่เคยอ่านหนังสือ “กำลังภายในจีน” ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนยุคก่อนจะต้องรู้จักคำว่า  “วิชามาร” ซึ่งเป็นวิชาความรู้ในการต่อสู้ที่รุนแรง  ร้ายกาจ โหดเหี้ยม  และบางครั้งก็มักจะไม่คำนึงถึง  “จรรยาบรรณ” หรือ “กติกา” ในการต่อสู้  และคนที่ใช้วิชาแบบนี้ก็มักจะเป็นผู้ร้ายหรือเป็น  “มาร”  ส่วนคนที่เป็นพระเอกหรือคนดีที่เป็น  “เทพ”  นั้นก็มักจะใช้วิชาอีกแบบหนึ่งที่มีลักษณะตรงกันข้ามในเรื่องของรูปแบบ  เช่น  ไม่รุนแรงโหดเหี้ยม  แต่อาจจะอาศัยแรงของคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขา  “แพ้ภัยตัวเอง”  วิชาเทพนั้นมักจะ  “อ่อนโยนและสงบนิ่ง” กว่า  นอกจากนั้นก็มักจะต้องยึดถือ “จรรยาบรรณ”  ในการต่อสู้  ไม่คดโกงหรือลอบกัดฝ่ายตรงข้าม  การต่อสู้ระหว่างมารและเทพนั้น  แม้ว่าในระยะแรกดูเหมือนมารจะได้เปรียบ  แต่ในท้ายที่สุดแล้ว  เทพก็มักจะเป็นฝ่ายชนะ

  ผมเองนั้นไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือกำลังภายในเลย  อย่างไรก็ตาม  แนวคิดเรื่องวิชาเทพ-วิชามารนั้น  ผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องของการลงทุนได้ดี  สิ่งที่จะต้องประกาศไว้ก่อนเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดก็คือ  ในเรื่องของการลงทุนนั้น  “วิชามาร” ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสิ่งที่เลวร้าย  และคนที่ใช้มันก็ไม่ใช่คนที่ไม่ดีเสมอไป  เช่นเดียวกัน  “วิชาเทพ”  เองก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป  และคนที่ใช้ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่ดีเสมอไป   เช่นเดียวกัน  คนที่ใช้วิชาเทพมากก็ไม่ใช่ว่าจะต้องชนะ  และผู้ที่ใช้วิชามารเป็นหลักก็ไม่ใช่ว่าจะต้องแพ้  บ่อยครั้งมันอาจจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์เช่นเดียวกับความสามารถของผู้ใช้  เหนือสิ่งอื่นใด  มีนักลงทุนน้อยคนที่จะใช้เฉพาะวิชามารหรือวิชาเทพเพียงอย่างเดียวในการลงทุน  ในบางโอกาส  แม้แต่คนที่ยึดถือวิชาเทพเป็นหลักมาก ๆ  ก็ยังใช้วิชามารเข้าเล่นด้วย  เช่นเดียวกัน  คนที่ดูเหมือนจะใช้วิชามารเป็นส่วนใหญ่ก็มักจะงัดวิชาเทพออกมาใช้  ดังนั้น  ความหมายที่ผมต้องการสื่อก็คือ  วิชาก็คือวิชา  มันเป็นกลาง  มันเป็นเสมือนอาวุธและลีลาที่ใครจะนำไปใช้ก็ได้ที่จะทำให้เขา  “ชนะ”

  ในเรื่องของการลงทุนนั้น  นิยามกว้าง ๆ  ที่ผมจะกำหนดว่าแบบไหนเป็นวิชามารและแบบไหนเป็นวิชาเทพนั้นจะล้อไปกับเรื่องของกำลังภายใน  หลัก ๆ  ก็คือ  ถ้าเป็นเรื่อง  “รุนแรง”  นั่นก็คือ  ลงทุนแล้วได้เสียมากและเร็วมาก  ก็จะถือว่าเป็น  “วิชามาร”  นั่นคือข้อแรก  ข้อสอง  ถ้าเป็นเรื่องที่ “ร้ายกาจ”  นั่นคือ  เข้าไปเล่นหุ้นตัวใดตัวหนึ่งแล้ว  เรา “ชนะ”  คือสามารถทำกำไรได้มโหฬาร  แต่คนที่ “แพ้” คือคนที่เล่นหุ้นตัวเดียวกันต้องขาดทุนอย่างหนัก  พูดง่าย  ๆ  คนที่ชนะ “กินเงินจากผู้แพ้”  แบบนี้ถือว่าเป็นวิชามาร  ตรงกันข้าม  ถ้าคนที่ชนะไม่ได้ได้เงินจากนักลงทุนคนอื่น   แต่ได้จากการที่บริษัทสามารถทำกำไรได้มากขึ้นมากทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปมากและไม่ตกลงมาที่ทำให้คนอื่นขาดทุน

  นิยามข้อสุดท้ายก็คือ  เรื่องของความ “โหดเหี้ยม” และ/หรือ “ไร้จรรยาบรรณ”  นั่นก็คือ  การ “ปั่นหุ้น”  และการ  “ใช้ข้อมูลภายใน”  ในการลงทุน  นี่ถือว่าเป็น “วิชามาร”  ขั้นสุดยอดจริง ๆ  และคนที่เล่นแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็น  “มาร”  จริง ๆ  ในแง่ที่เป็นคนไม่ดี  และกรณีที่ทำมากจนเข้าข่ายผิดกฎหมายก็เสี่ยงที่จะต้องถูกลงโทษทางอาญา  แต่สำหรับนิยามของผมเองนั้น  การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นผิดกฎหมายก็ต้องถือว่าเป็น “วิชามารขั้นสูง” ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้  และนิยามการปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในนั้นเอง  ก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นสีเทา ๆ นั่นก็คือ  ถ้ามีการใช้กระบวนการในการปล่อยข่าวและ/หรือสร้างกระแสหรือภาพลักษณ์ของกิจการหรือหุ้นมากมายโดยที่มันไม่ใช่ความจริงหรือมีความไม่แน่นอนสูงเพื่อที่จะทำให้คนสนใจเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อที่จะผลักดันราคา  หรือมีการซื้อขายหุ้นนำเพื่อทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปรุนแรงเพื่อที่จะดึงดูดให้คนสนใจเข้ามาร่วมวงซื้อขายอะไรทำนองนี้  แม้ว่าโดยนิยามทางกฎหมายอาจจะไม่ใช่การปั่นหุ้น  แต่โดยนิยามของผมแล้วมันก็คือการใช้วิชามาร

  มาดูกันว่าพฤติกรรมแบบไหนในการลงทุนที่เข้าข่ายการใช้ “วิชามาร” กันบ้าง  เบื้องต้นก็คือตามนิยามข้อแรกที่น่าจะเป็นวิชามารอย่างอ่อน  ผมคิดว่า  การลงทุนหรือเล่นหุ้นที่มีการใช้มาร์จินนั้น  เป็นการใช้วิชามารเพื่อที่จะเร่งผลตอบแทน  ยิ่งใช้มาร์จินสูงก็จะมีความรุนแรงหรือความผันผวนของผลตอบแทนการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น  เช่นเดียวกัน  การกู้ยืมเงินจากพ่อแม่พี่น้องหรือญาติมาลงทุนรวมถึงการนำสินทรัพย์เช่นบ้านมาค้ำประกันเพื่อกู้เงินมาลงทุนต่าง ๆ  เหล่านี้ก็เป็นเรื่องการใช้วิชามารทั้งสิ้น  นอกจากนั้น  การลงทุนในตราสารการเงินที่มีความผันผวนสูงมาก ๆ  เนื่องจากลักษณะตราสารเองไม่ใช่ลักษณะของกิจการ  ตัวอย่างเช่นวอแร้นต์ที่ราคาแปลงสภาพสูงกว่าราคาของหุ้นแม่มาก  หรือการเล่นคอมโมดิตี้หรือพวกฟิวเจอร์หรือออปชั่นที่มีการวางเงินเพียงเล็กน้อยแต่มีระดับของการ  “พนัน”  สูงมาก  ผมก็ถือว่าเรากำลัง  “เล่นกับไฟ”  และดังนั้นมันจึงเป็นการใช้วิชามาร  ว่าที่จริง  การเข้าไปเล่นหุ้น IPO ในวันที่หุ้นเข้าตลาดในวันแรกในช่วงเร็ว ๆ นี้นั้น  ผมเองคิดว่ามันก็ไม่ห่างจากวิชามารมากนัก

  นิยามในข้อสองคือเรื่องของความ  “ร้ายกาจ” นั้น  ถ้าเกิดจากความตั้งใจของการเข้าไปไล่ราคาหุ้นเพื่อที่จะ “ปล่อยของ”  อย่างรวดเร็ว  นั่นก็คือการทำราคาหุ้นให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยวิธีการต่าง ๆ  เพื่อที่ตนเองจะได้ขายในราคาสูงโดยที่รู้ว่าพื้นฐานของราคาหุ้นต่ำกว่านั้นมาก  ผลก็คือ  นักลงทุนคนอื่นที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้อง  “บาดเจ็บ”  อย่างหนักเนื่องจากเข้าไปซื้อหุ้นที่แพงเกินพื้นฐานไปมากและต้องขายขาดทุนหนักหรือต้องติดหุ้นไปยาวนานมาก  ลักษณะแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการใช้วิชามารอย่างชัดเจน  อย่างไรก็ตาม  ยังมีการซื้อหุ้นและขายทำกำไรมากแต่คนอื่นขาดทุนอย่างหนักโดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ตั้งใจ  นี่ก็คือการที่นักลงทุนเข้าไปเล่นหุ้นที่มีผลประกอบการที่มีความไม่แน่นอนสูงหรือมีวัฏจักรรุนแรง  พอเข้าไปแล้วราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปสูงมากอย่างรวดเร็ว   ซึ่งอาจจะเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของธุรกิจและ/หรือผลจากการซื้อหุ้นของเขาเอง  เขาจึงตัดสินใจขายหุ้นทิ้งอย่างรวดเร็วทำกำไรงดงามและทำให้ราคาตกลงอย่างหนักและทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเสียหาย  ในกรณีแบบนี้ก็อาจจะถือได้ว่าเป็นเรื่องของวิชามารเหมือนกันแม้ว่าดีกรีจะอ่อนกว่าแบบแรก

  สุดท้ายคือนิยามของความโหดเหี้ยมและ/หรือไร้จรรยาบรรณในการลงทุน  นี่ก็คือการเล่นหุ้นในแบบที่อาจจะเป็นการเอาเปรียบคนอื่นอย่างชัดเจนเช่นการปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในไม่ว่าจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือไม่ นอกจากนั้น  การเล่นหุ้นที่ใช้  “วิศวกรรมการเงิน” แบบวิชามาร  เช่น  การซื้อหุ้น PP หรือหุ้นใหม่ของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก ๆ   การให้วอแร้นต์ฟรีจำนวนมาก ๆ  ที่จะไดลูทหรือทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีสัดส่วนในบริษัทน้อยลงมากในอนาคต  การแตกพาร์โดยไม่สมเหตุผล  และอื่น ๆ อีกมาก  แบบนี้ผมถือว่ามันเป็นเรื่องของการใช้วิชามารในการลงทุนหรือเล่นหุ้นทั้งสิ้น

  ถ้าจะถือว่าเซียนหุ้นระดับโลกคนไหนใช้วิชามารมากนั้น  ผมคิดว่า จอร์จ โซรอส เป็นคนหนึ่ง  เพราะการทำกำไรของโซรอสนั้น  บ่อยครั้งทิ้ง “หายนะ” ให้กับคนอื่น ๆ  อีกหลายคน  ส่วนคนที่ใช้วิชาเทพมากนั้น แน่นอน คือ วอเร็น บัฟเฟตต์  ที่ทำเงินโดยการเติบโตของกิจการที่เขาไปลงทุน  มีหุ้นน้อยมากที่บัฟเฟตต์ซื้อและขายทำกำไรได้งดงามแต่ในที่สุดคนที่ซื้อตามเจ๊ง  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  บัฟเฟตต์ซื้อแล้วเขาแทบจะไม่เคยขายอย่างรวดเร็ว  จำนวนมากเขาถือมันไว้ตลอดชีวิต  บัฟเฟตต์นั้นได้เงินจากบริษัท  ไม่ได้ได้จากผู้ถือหุ้นคนอื่น

  ในตลาดหุ้นไทยนั้น  ผมไม่รู้ว่าระหว่างคนที่ใช้วิชาเทพหรือคนที่ใช้วิชามารอย่างมีประสิทธิภาพนั้น  ใครทำกำไรหรือได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่า  เป็นไปได้ว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นร้อนแรงและราคาหุ้นขึ้นเป็นกระทิงยาวนานนั้น  คนที่ใช้วิชามารเก่ง ๆ  น่าจะทำกำไรได้ดีกว่า  อย่างไรก็ตาม  ในระยะยาวที่ตลาดหุ้นมักมีการขึ้นลงและมักจะมีช่วงที่เลวร้ายเป็นระยะ ๆ  คนที่ใช้วิชาเทพก็อาจจะสามารถทำผลงานเฉลี่ยได้ดีกว่าเช่นเดียวกัน  เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์