Monday, June 29, 2015

เสาหลักของการลงทุน/ดร.นิเวศน์


  ถ้าจะเป็นนักลงทุนที่ดีนั้นเราจำเป็นต้องรู้อะไรบ้าง?  นี่คือคำถามที่ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนแต่ละคนจะตอบไม่เหมือนกัน—ขึ้นอยู่กับว่าเขามีแนวความคิดและกลยุทธ์การลงทุนแบบไหนและอย่างไร  สำหรับผมซึ่งมีแนวทางการลงทุนระยะยาวที่เน้นพื้นฐานของกิจการเป็นหลัก  ผมคิดว่าความรู้และวิชาต่อไปนี้เป็น  “เสาหลัก”  หรือพื้นฐานที่สำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุน

  เสาที่หนึ่งหรือความรู้พื้นฐานกลุ่มแรกก็คือ  “ทฤษฎีการลงทุน”  นี่คือทฤษฎีเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนโดยเฉพาะที่มีการศึกษาและพิสูจน์ว่ามีความถูกต้องเป็นที่ยอมรับในทางวิชาการแล้ว  หัวใจที่สำคัญก็คือกลุ่มทฤษฎี  “ตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ” และ  “การลงทุนแบบพอร์ตโฟลิโอสมัยใหม่”  ที่บอกว่าตลาดทุนหรือตลาดหลักทรัพย์นั้นมีประสิทธิภาพสูงในการกำหนดราคาหุ้นทุกตัว  พูดง่าย ๆ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะหาหุ้นหรือหลักทรัพย์ราคาถูกหรือราคาแพงได้ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง  ผลตอบแทนที่เราจะได้จากการลงทุนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ “ความเสี่ยง” ของหลักทรัพย์  กล่าวคือหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนสูงก็จะเสี่ยงมาก  ถ้าไม่ต้องการเสี่ยงก็ต้องยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำลงเช่น  ลงทุนในหุ้นกู้  พันธบัตร หรือเงินฝากแบ้งค์  และการลงทุนที่ดีที่สุดก็คือการลงทุนแบบเป็นพอร์ตโฟลิโอที่กระจายการลงทุนในหลาย ๆ กลุ่มหลักทรัพย์ทั้งหุ้น  พันธบัตร เงินฝากและทรัพย์สินอื่น ๆ  ในระดับของ “ความเสี่ยง” ที่เรารับได้

  นอกจากทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพแล้ว  เราก็ควรที่จะต้องเรียนรู้แนวความคิดของการลงทุนในสไตล์ต่าง ๆ  ที่มีการอ้างกันว่าสามารถที่จะทำให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าปกติได้เช่น  การลงทุนแบบ “Value Investing” หรือ VI  หรือการลงทุนแบบ “Growth Investing” หรือการลงทุนในหุ้นโตเร็ว  หรือแม้แต่การลงทุนแนว “Momentum” หรือแนว “เทคนิค”  เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้และเข้าใจว่าแต่ละแนวทางมีข้อดีข้อเสียและข้อจำกัดอย่างไรและเราจะเลือกแนวทางไหนในการลงทุน

  เสาที่สองก็คือ  “ประวัติศาสตร์ของการลงทุน”  นี่คือความรู้ที่มักหาไม่ได้จากหนังสือตำราการลงทุนและมักจะไม่มีการสอนในหลักสูตร MBA  ประวัติศาสตร์การลงทุนนั้นมักกระจายอยู่ในหนังสือพอกเก็ตบุคเกี่ยวกับการลงทุนต่าง ๆ    เรื่องสำคัญที่เราควรจะต้องทำความเข้าใจเวลาอ่านประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นก็คือประวัติผลตอบแทนระยะยาวของหุ้น  ความผันผวนที่เกิดขึ้น  และที่สำคัญมากก็คือ  ประวัติของการเกิดของ “ฟองสบู่” และการแตกของมัน  รวมถึงสถานการณ์ที่ตลาดตกต่ำเนื่องจากความเจ็บปวดจากการลงทุนของนักลงทุนและ “โอกาส” ของการลงทุนที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น

  เสาที่สามก็คือ  “จิตวิทยาในการลงทุน”  นี่ก็เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ  ในด้านของวิชาการลงทุนที่คนรู้สึกว่าอารมณ์ความรู้สึกของคนนั้นมีส่วนต่อราคาหุ้นมากกว่าเหตุผล  ในระยะหลัง ๆ  นั้น  การศึกษาเรื่องจิตวิทยาที่กระทบกับการลงทุนก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ   ความเข้าใจในเรื่องนี้จะทำให้เราสามารถซื้อขายหุ้นได้ถูกต้องถูกเวลามากขึ้นและอาจจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น  นอกจากนั้น  ผมเองยังคิดว่าจิตวิทยาของคนนั้น  ยังเป็นตัวกำหนดความต้องการสินค้าและบริการที่เขาต้องการ  และอุตสาหกรรมหรือกิจการหรือบริษัทแบบไหนจะเติบโตและแบบไหนจะถดถอย  ในส่วนนี้ผมมักจะศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ผ่านเรื่องของ  “ประวัติศาสตร์ของมนุษย์” และ “ยีนส์” ของมนุษย์ ที่ดูเหมือนว่าจะมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ  ในการกำหนดเรื่องของพฤติกรรมและจิตวิทยาของคน

  เสาที่สี่ก็คือ  “ความรู้ทางธุรกิจ”  นี่คือความรู้และความเข้าใจในเรื่องการทำธุรกิจ  ประการแรกเลยเราจะต้องรู้  “ภาษาธุรกิจ” หรือบัญชี  นั่นก็คือ  เราควรจะสามารถอ่านจากงบการเงินได้ว่าฐานะและผลประกอบการของธุรกิจเป็นอย่างไร  ฐานะการเงินแข็งแกร่งแค่ไหน  บริษัททำกำไรได้ดีหรือไม่  เราอาจจะไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดวิธีการลงบัญชีแต่เราต้องรู้ตัวเลขหลัก ๆ  ที่จะบอกว่าผลงานของบริษัทที่ผ่านมานั้นโดดเด่นหรือเลวร้ายแค่ไหน   ในส่วนนี้คนที่ไม่ได้เรียนทางด้านบัญชีอาจจะกังวลแต่ผมคิดว่ามันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง  หนังสือการอ่านบัญชีสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานนั้นมีมากมายและไม่ได้ใช้เวลามากที่จะเรียนรู้

  ความรู้ทางธุรกิจที่จะช่วยให้เราเข้าใจว่าอุตสาหกรรมหรือบริษัทไหนดีหรือแย่นั้น  ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตลาด  ความรู้ทางด้านการตลาดที่ผมคิดว่าสำคัญสำหรับการเลือกอุตสาหกรรมหรือหุ้นนั้น  จะเป็นเรื่องของ  “ความสามารถหรือกลยุทธ์ในการแข่งขัน” ซึ่งน่าเสียใจว่าส่วนใหญ่มักจะไม่ใคร่ได้สอนกันในชั้นเรียนของ MBA  ดังนั้น  วิธีที่ดีก็คืออ่านจากหนังสือการตลาดที่เกี่ยวกับ  “กลยุทธ์” หรือ  “ตำแหน่ง”  ทางการตลาด  หรือ “Business Model” หรือรูปแบบการทำธุรกิจ  ของบริษัทแต่ละแห่ง  ประเด็นสำคัญก็คือ   สุดท้ายเราควรจะต้องเข้าใจว่าแต่ละธุรกิจนั้นแข่งขันกันด้วยอะไร  มีปัจจัยอะไรที่สำคัญที่จะทำให้บริษัทหนึ่งเอาชนะอีกบริษัทหนึ่งได้  และปัจจัยนั้นจะอยู่ต่อไปอย่างถาวรโดยที่คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบได้  หรืออยู่ได้แค่ชั่วคราว   โดยสรุปแล้ว  ความรู้ทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดก็คือรู้ว่า “คุณภาพ”  ของบริษัทนั้นดีแค่ไหน

  สุดท้ายของเรื่องธุรกิจก็คือ  เราควรจะต้องศึกษาเกี่ยวกับมูลค่าที่ควรเป็นของกิจการ  พูดง่าย ๆ  แต่ละบริษัทที่เราสามารถกำหนด “คุณภาพ” ได้แล้ว  เราควรจะซื้อในราคาเท่าไร  เช่น  จะให้ค่า PE ค่า PB ปันผลตอบแทน  และมูลค่าตลาดของหุ้นหรือ Market Cap. เท่าไร  ซึ่งในส่วนนี้ประเด็นสำคัญก็คือ  เราต้องมั่นใจว่าเรารู้จักคุณภาพของมันเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับการประเมินเรื่องของราคา  คำเตือนของผมก็คือ  หุ้นส่วนใหญ่นั้น  เรามักจะไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ถูกต้องเนื่องจากตัวธุรกิจผันผวนเกินไป

  เสาหลักสุดท้ายที่เราควรรู้ก็คือ  “ธุรกิจของการลงทุน”  นี่ก็คือคนที่ให้บริการและเกี่ยวข้องกับการลงทุนทั้งหลาย  ซึ่งรวมถึงโบรกเกอร์  ผู้จัดการกองทุนรวม  ตลาดและกลต. นักวิเคราะห์หุ้น  หนังสือพิมพ์  เวบไซ้ต์ ไลน์ และรายการวิทยุและทีวีเกี่ยวกับหุ้น  บุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ  เหล่านี้ต่างก็มี  “Agenda” หรือ  “วาระ”  ของตนเอง  ซึ่งส่วนใหญ่ก็อาจจะไม่ตรงกับนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรหรือได้ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน  นอกจากนั้น  บางคนอาจจะมีวัตถุประสงค์ตรงกันข้ามกับเรานั่นคือ  เขาต้องการทำเงินจากเราโดยการพูดให้เราเชื่อและทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเขา  การศึกษาในเรื่องนี้นั้นผมคิดว่าเราต้องวิเคราะห์ถึง “แรงจูงใจ”  ของแต่ละคนโดยดูว่าผลประโยชน์ของเขาอยู่ตรงไหน   เช่นเดียวกัน  ในด้านของบริษัทจดทะเบียนเองนั้น  ผู้บริหารหรือเจ้าของเองบางทีเราก็อาจจะกล่าวได้ว่าเขาก็มีแรงจูงใจหรือมีวาระของตนเองที่อาจจะไม่สอดคล้องกับเรา  ดังนั้น  เราก็ต้องศึกษาให้เข้าใจว่าการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ  เช่น  การขายหุ้น IPO  การออกตราสารเช่น วอแร้นต์  การลดพาร์  และอื่น ๆ  นั้น  เขาทำเพื่ออะไร  เป็นประโยชน์และทำให้มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเพิ่มขึ้นหรือไม่

  หลังจากที่ได้ศึกษาความรู้พื้นฐานทั้งห้ากลุ่มแล้ว  การลงทุนของเราก็จะอยู่บนแนวทางที่เหมาะสมและปลอดภัยมากขึ้น  ถ้าเรารู้ลึกซึ้งจริง ๆ  ก็เป็นไปได้ที่เราจะประสบความสำเร็จสูงกว่า “ปกติ”  หรือในกรณีที่เราขาดความสามารถบางอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถเป็นนักลงทุนที่โดดเด่นได้  อย่างน้อยเราก็น่าจะปลอดภัยกว่าคนที่มีพื้นฐานน้อยกว่า  แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากที่คนจะเริ่มลงทุนหลังจากเรียนรู้ทุกอย่างแล้ว  แต่อย่างน้อย  คนที่ลงทุนอยู่  รวมถึงคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงก็ควรที่จะศึกษาความรู้เหล่านี้ต่อไปเรื่อย ๆ  ซึ่งจะทำให้ความรู้ “แน่น” ขึ้นซึ่งจะช่วยการลงทุนต่อไปในอนาคต  จำไว้เสมอว่าการเรียนรู้นั้น  เราไม่สามารถหยุดได้ตลอดชีวิต  เพราะถ้าหยุด  นั่นก็แปลว่าเราจะถอยหลัง  และนั่นอาจจะกลายเป็นหายนะได้ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จมามากเพียงใด