Monday, November 2, 2015

TPP กับหุ้น/ โดยดร.นิเวศน์

เรื่องของการเปิดเขตการค้าเสรีของไทยกับประเทศอื่นนั้น  เท่าที่ผ่านมาก็มักจะไม่เป็นประเด็นการโต้แย้งกันมากมายนัก  เหตุผลก็เพราะดูเหมือนว่าจะไม่มีข้อเสียอะไรกับคนไทยที่เป็นคนธรรมดามากนัก  แต่ข้อดีต่อเศรษฐกิจและธุรกิจนั้นค่อนข้างชัดเจนกว่าในแง่ที่ว่าการค้าขายโดยเฉพาะการส่งออกจะมากขึ้นเนื่องจากผู้ส่งออกจะได้รับการยกเว้นหรือลดภาษีการนำเข้าจากประเทศที่เป็นคู่สัญญากับเรา  ทำให้สินค้าของเราได้เปรียบคู่แข่งส่งผลให้สามารถส่งออกไปขายได้มากขึ้น  ในส่วนของการนำเข้าเองนั้น  ก็ดูเหมือนว่าเราก็อาจจะนำเข้าเท่าเดิม  เพียงแต่เปลี่ยนจากการนำเข้าจากประเทศอื่น  เราก็นำเข้าจากประเทศคู่สัญญาแทน  ดังนั้น  การทำสัญญาเปิดการค้าเสรีจึงเป็นสิ่งที่ให้ผลดีและไม่ค่อยจะมีอะไรเสียมากนัก  สถิติการส่งออกไปสู่ประเทศที่มีสัญญากับเราก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการส่งออกไปประเทศอื่น  ตัวอย่างที่ชัดเจนก็เช่นการส่งออกรถยนต์ของไทยไปออสเตรเลียที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังมีสัญญาเปิดการค้าเสรี  นี่ยังไม่พูดถึงจีนและประเทศใน AEC ที่การค้าขายระหว่างกันเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากเรามีข้อตกลงเรื่องการค้าเสรีที่ครอบคลุมกว้างขวาง

การพยายามเปิด “ตลาดเสรี” ของไทยนั้น  ต้องถือว่าเราทำมาตลอดในประวัติศาสตร์  ตั้งแต่สมัย “สุโขทัย” ถ้าเราเชื่อ “ศิลาจารึกหลักที่1” ที่ว่า… “ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว  เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขาย  ใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทอง ค้า” และส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทยก็พบว่ารัฐไทยนั้นค่อนข้าง“เปิด” ในแง่ของการต้อนรับและค้าขายกับต่างชาติมาตลอด  ว่าที่จริงถ้าจะพูดว่าเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในยุค 50-60 ปีหลังที่เติบโตขึ้นมามหาศาลนั้น  เกิดขึ้นจากสาเหตุสำคัญก็คือ  เราเป็นประเทศ “เปิด” ที่เป็นทางเลือกที่สำคัญของนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ต้องการ  “ย้ายฐานการผลิต”  จากประเทศของตนที่มีต้นทุนสูงกว่า  มาสู่ประเทศที่มีต้นทุนต่ำและถูกจำกัดทางด้านการค้าจากประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาน้อยกว่า

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น  การ “เปิด” ประเทศของไทยดูเหมือนว่าจะลดน้อยลง  ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากภาวะทางการเมืองที่ทำให้ไทยไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องที่มีการโต้แย้งในสังคมได้ง่าย  อย่างไรก็ตาม  ที่ผ่านมานั้น  ไทยได้มีสัญญาทางการค้าเสรีกับประเทศอื่นค่อนข้างมากอยู่แล้ว  ดังนั้น  ปัญหาที่เราจะเสียเปรียบคู่แข่งทางด้านการค้าที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน เช่น มาเลเซียที่อยู่สูงกว่าเราเล็กน้อย  และเวียตนามที่อยู่ต่ำกว่าเราเล็กน้อย  ก็ไม่มี  พูดง่าย ๆ  ถึงแม้เราจะห่างเหินจากการเปิดเสรีการค้ากับต่างประเทศมานาน  เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนัก  แต่แล้ว  โดยไม่คาดคิด  กลุ่มการค้าเสรีกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า  TPP หรือ Trans-Pacific Partnership หรือข้อตกลงทางการค้าระดับภูมิภาคทรานส์แปซิฟิกซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาก็กำลังเกิดขึ้นและประเทศไทยไม่ได้เข้าร่วม

ความสำคัญของ TPP ก็คือ  มันประกอบด้วยประเทศขนาดใหญ่อันดับ 1 และ 3 ของโลกคืออเมริกาและญี่ปุ่นและประเทศต่าง ๆ  ริมมหาสมุทรแปซิฟิกจำนวน 12 ประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจคิดเป็นประมาณ 40% ของโลก  แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าสำหรับไทยและประเทศที่เป็นคู่แข่งของไทยในเรื่องของการส่งออกก็คือ TPP มีอเมริกาอยู่  การเข้าร่วมใน TPP ก็หมายถึงการที่ได้เข้าถึงตลาดอเมริกาที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมหาศาล  ประเทศที่อยู่ใน TPP เมื่อส่งสินค้าเข้าอเมริกาต่อไปจะไม่เสียภาษีหรือเสียน้อยกว่าประเทศที่อยู่นอก TPP มาก  พูดอย่างหยาบ ๆ ก็คือ  เมื่อ TPP มีผลบังคับใช้  สินค้าไทยก็จะเสียเปรียบสินค้าจากเวียตนามและมาเลเซียมากรายการใหญ่ ๆ  เช่น   สิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกจากไทยอาจจะไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจากเวียตนามและมาเลเซียได้เพราะสินค้าไทยอาจจะต้องเสียภาษีถึง 17% ในขณะที่คู่แข่งไม่เสียภาษีเลย

บางคนอาจจะเถียงว่าทุกวันนี้เราส่งออกไปอเมริกาไม่ได้มากมายนักเพียงแค่ 10% ต้น ๆ  ของสินค้าส่งออกไทยทั้งหมด  ดังนั้น  ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอาจจะไม่มากแม้ว่าไทยอาจจะไม่ได้อยู่ใน TPP แต่ถ้ามองลึกลงไปผมคิดว่าผลกระทบนั้นน่าจะสูงทีเดียว  ประเด็นแรกก็คือ  อเมริกานั้นเป็นประเทศ “ผู้นำเข้าตลอดกาล”  นั่นก็คือ  อเมริกานั้นจะนำเข้าสินค้ามากกว่าส่งออกต่อเนื่องยาวนาน  หรือเป็นผู้นำเข้าสุทธิได้ไปเรื่อย ๆ  โดยไม่มีปัญหาเนื่องจากทุกประเทศต่างก็ต้องการเงินดอลลาร์มาเป็นเงินทุนสำรองของประเทศ  ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ  นั้นมักจะพยายามเป็นผู้ขายหรือผู้ส่งออกไม่อยากเป็นผู้นำเข้าหรือผู้ซื้อเพื่อที่ว่าตนจะได้มีเงินดอลลาร์มาเป็นเงินทุนสำรอง  ดังนั้น  สหรัฐจึงเป็นดินแดนที่คนอยากจะค้าขายด้วย  เพราะขายแล้วมักได้เปรียบดุลการค้า  ซึ่งนั่นรวมถึงไทยและหลาย ๆ  ประเทศในเอเชีย  ดังนั้น  แม้จะขายให้อเมริกา 10%  แต่เราก็ได้เปรียบดุลการค้ามาก ไม่เหมือนขายกับประเทศอื่นที่บางทีเราเสียเปรียบ

ประเด็นที่สองและอาจจะสำคัญยิ่งกว่าก็คือ  การได้ขายเข้าไปในตลาดอเมริกาได้มากกว่าคู่แข่งมากนั้น  จะทำให้บริษัทในมาเลเซียและเวียตนามมียอดขายที่สูงซึ่งจะก่อให้เกิดEconomies of Scale ซึ่งก็คือทำให้ต้นทุนต่อหน่วยของสินค้าที่ผลิตต่ำลง  และนั่นจะทำให้บริษัทเหล่านั้นสามารถแข่งขันได้ดีขึ้นในตลาดอื่นนอกเหนือจากอเมริกาด้วย  ผลก็คือ ข้อแรก  สินค้าไทยจะส่งออกได้น้อยลงในตลาดอื่นด้วย  และข้อสองที่ตามมาก็คือ   บริษัทข้ามชาติต่าง ๆ  ที่เป็นผู้ผลิตสินค้าขายทั่วโลกต่างก็จะอยากเข้าไปลงทุนในเวียตนามและมาเลเซียมากขึ้นแทนที่จะมาลงทุนในประเทศไทย  ดังนั้นการลงทุนในประเทศไทยก็จะน้อยลงและที่จะแย่ขึ้นไปอีกก็คือ  บริษัทที่มีฐานการผลิตอยู่ในไทยอยู่แล้วก็อาจจะย้ายฐานไปอยู่ในประเทศทั้งสอง  ตัวอย่างที่เห็นก็เช่น บริษัทซัมซุงที่ได้ย้ายโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่จากไทยไปเวียตนามแล้ว  เช่นเดียวกับอีกหลายบริษัทที่ย้ายไปอยู่มาเลเซีย  ผลก็คือ  การจ้างงานและการส่งออกของไทยก็จะลดลงและจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ไม่ใช่แค่ว่าเศรษฐกิจจะไม่โตขึ้นแต่อาจจะกลายเป็นติดลบก็เป็นได้

ล่าสุดดูเหมือนว่าอินโดนีเซียจะประกาศแล้วว่าจะขอเข้าร่วม TPP และต่อไปฟิลิปปินส์ก็อาจจะตามมา  แต่ดูเหมือนว่าไทยจะยังไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เนื่องจากยังมีคนคัดค้านและระบบภายในประเทศของเราก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใคร่พร้อมซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยต่อเนื่องกันมาน่าจะเกือบ 10 ปีมาแล้ว  สิ่งที่ไทยควรจะเข้าใจก็คือ  ประเทศในอาเซียนเกือบทั้งหมดนั้นต่างก็เป็นคู่แข่งกันหรือกำลังจะเป็นคู่แข่งกันในเกือบทุกอุตสาหกรรมในด้านของการส่งออกเพราะเราต่างก็มีวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจที่คล้ายกันนั่นก็คือ  เราต่างก็อาศัยการลงทุนของบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกเป็นหลัก  ในอดีตที่ผ่านมานั้น  มาเลเซียและไทยได้เปรียบเนื่องจากเรา  “เปิดประเทศ” และต้อนรับนักลงทุนต่างชาติมากกว่าเราจึงก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมากกว่าเพื่อนบ้านใน AEC แต่ในขณะนี้ดูเหมือนว่าเราจะเริ่ม  “ล้าหลัง” ซึ่งถ้าเราไม่รีบปรับตัวเราก็อาจจะ  “แพ้”  สิ่งนี้ประกอบกับการที่ประชากรของเราแก่ตัวลงมากกว่าประเทศคู่แข่งมากทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของเราถดถอยลงอย่างน่าใจหาย หลายปีมานี้เราน่าจะเติบโตช้าที่สุดในอาเซียนอย่างมีนัยสำคัญ  ตัวเลขคาดการณ์การเติบโตในอนาคตก็ดูเหมือนว่าเราจะยัง “รั้งท้าย” อยู่   ยิ่งถ้าเราไม่เข้าร่วม TPP เราก็อาจจะยิ่งถูก  “ทิ้ง”  ไว้ข้างหลัง  และไม่แน่ว่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้าเราอาจจะกลายเป็น  “คนป่วยแห่งเอเซีย”  อย่างที่ครั้งหนึ่งฟิลิปปินส์เคยเป็นก็เป็นได้

ที่พูดมาทั้งหมดนี้  ผมก็หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น  แต่อย่างไรก็เป็นข้อกังวลลึก ๆ  ในฐานะของนักลงทุนระยะยาวที่ผลตอบแทนและอนาคตภาพใหญ่ของการลงทุนผูกติดอยู่กับภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศ  ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือในฐานะของคนไทยที่อย่างไรก็ยังต้องอยู่และตายในประเทศนี้  ผมก็หวังที่จะเห็นประเทศไทยที่ยังเติบโตและก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ  เพราะนั่นจะทำให้เป็นสังคมที่คนอยู่กันอย่างมีความสุข  สังคมที่เศรษฐกิจ “ถดถอย” นั้น  มักจะก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ  มากมายและจะหาความสงบได้ยาก  เพราะเศรษฐกิจและสังคมนั้น  จริง ๆ แล้วก็แทบเป็นเรื่องเดียวกันในโลกยุคปัจจุบัน