Monday, February 8, 2016

สามคำสามปี โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากุล


วิธีการลงทุนที่ผมคิดว่าง่ายและปลอดภัยพอสมควรและได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีในระยะยาวก็คือ  การลงทุนใน “ซุปเปอร์สต็อก” คือซื้อหุ้นของบริษัทที่  “ดีเยี่ยม”  ในด้านของการตลาด  เช่น  เป็นบริษัทที่ขายสินค้าได้มากเป็นอันดับหนึ่งและมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าคู่แข่งอันดับรองลงมาเป็นเท่าตัว  หรือมีสินค้าที่เป็นที่นิยมของผู้ใช้มากกว่าคู่แข่งมากจนทำให้ลูกค้ายินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นพอสมควรเพื่อใช้สินค้าของบริษัท  หรือเป็นบริษัทที่ยังไงผู้บริโภคหรือลูกค้าก็ต้องใช้เนื่องจากเป็นกิจการที่ “ผูกขาด” ธุรกิจในพื้นที่นั้น  เป็นต้น  ในด้านของการเงินเองนั้น  บริษัทก็มีฐานะและผลประกอบการที่ดีมาก  มีกำไร  “งดงาม” เมื่อเทียบกับคู่แข่งและเงินลงทุนของตนเอง มีงบการเงินที่  “แข็งแกร่ง”  เนื่องจากธุรกิจนั้นสร้างกระแสเงินสดได้ดีและไม่ต้องลงทุนในเครื่องจักรอุปกรณ์มาก  และสุดท้าย  เราสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ถูกหรือ  “ไม่แพง” คิดจากค่า PE และ PB ที่ไม่สูงเกินไป  และ ปันผลตอบแทนที่ไม่ต่ำเกินไป  หรือในกรณีของบริษัทที่ยังไม่ค่อยมีกำไรเนื่องจากกำลังขยายตัวเราก็จะต้องดูเรื่องของ Market  Cap. ที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับศักยภาพของบริษัทในอนาคต

หลังจากที่ซื้อหุ้นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกแล้ว  โดยปกติเราก็ไม่ต้องทำอะไรมาก  สิ่งที่ต้องทำก็คือ  ติดตามดูสถานะของบริษัทไปเรื่อย ๆ  ว่ามันยังเป็นบริษัทที่ดีเยี่ยมอยู่หรือเปล่า  คู่แข่งเข้ามาแย่งชิงลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน  ถ้าพบว่าบริษัทเริ่มจะ  “เพลี่ยงพล้ำ”  และไม่มีท่าทีว่าจะแก้ไขได้  หรือมีการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม เช่น มีเทคโนโลยีใหม่หรือรูปแบบการทำธุรกิจใหม่เข้ามาแข่งกับธุรกิจเดิม แบบนี้เราก็อาจจะต้องขายหุ้นทิ้ง  แต่ถ้าไม่ใช่  เราก็ไม่ต้องทำอะไร  ไม่ต้องสนใจว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงยกเว้นว่าหุ้นจะขึ้นไปมากจนค่า PE อาจจะขึ้นไปถึง 50-60 เท่า ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็อาจจะพิจารณาขายหุ้นทิ้งเพราะมันอาจจะแพงเกินไปจริง ๆ อาจจะเนื่องจากเหตุผลพิเศษเช่นตลาดหุ้นกลายเป็นกระทิงหรือมีการเก็งกำไรในหุ้นที่รุนแรงเกินไป  ส่วนในกรณีที่หุ้นตกลงมานั้น  เรามักจะไม่ขายซุปเปอร์สต็อกเลย

หลายคนบอกว่าตนเองนั้นอยากลงทุนในซุปเปอร์สต็อกเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนเป็นซุปเปอร์สต็อกจริง ๆ   หรือรู้ว่าน่าจะเป็นซุปเปอร์สต็อกแต่ก็ไม่รู้ว่ามันแพงเกินไปหรือเปล่า  นอกจากนั้น  บางคนถือหุ้นที่น่าจะเป็นซุปเปอร์สต็อกแต่ก็ไม่รู้ว่าจะขายเมื่อไร  บ่อยครั้งก็รีบขายเกินไป  บ่อยครั้งก็ถือยาวเกินไป  สุดท้ายก็พลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีใน “ระยะยาว”  ซึ่งก็ไม่รู้ว่ายาวแค่ไหน  ความไม่เข้าใจหรือความสับสนต่าง ๆ  เหล่านี้มักทำให้การลงทุนในซุปเปอร์สต็อกของหลายคนนั้น  ทำไม่ได้!  และนั่นทำให้หลักการและวิธีการลงทุนง่าย ๆ  แบบนี้กลายเป็นของยาก  เพราะเหตุว่าคนส่วนใหญ่  “ทำใจไม่ได้” เวลาที่เห็นราคาหุ้นขึ้นลงผันผวนรุนแรงทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี

วิธีที่จะ “เอาชนะ” จิตวิทยาของเราเองนั้น  ผมคิดว่าเราควรที่จะท่องคำว่า  “สามคำสามปี”  ไว้ในใจตลอดเวลา  สามคำที่ว่าก็คือ  “รายได้เพิ่ม  กำไรเพิ่ม  ปันผลเพิ่ม”  นั่นก็คือ  เราต้องคิด  วิเคราะห์  และมั่นใจว่ากิจการหรือบริษัทนั้นจะมีรายได้ในปีปัจจุบันเพิ่มขึ้น  คำว่ามั่นใจนั้นแปลว่าโอกาสที่รายได้จะเพิ่มขึ้นนั้นสูงมาก  อย่างน้อยอาจจะ 80% ขึ้นไป  โอกาสที่รายได้จะไม่เพิ่มขึ้นนั้นน้อยมากไม่ถึง 20%  การวิเคราะห์ของเราจะต้องไม่ลำเอียงและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน  อย่าไปเชื่อการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่มักจะลำเอียงในทางที่รายได้สูงกว่าความเป็นจริงและมักไม่พูดถึงโอกาสความเป็นไปได้  พวกเขามักจะวิเคราะห์อย่างมั่นใจแต่ก็จะมีอักษรตัวเล็ก ๆ  กำกับไว้ตอนท้ายของบทวิเคราะห์ว่า  ที่พูดมาทั้งหมดนั้นตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่….  ซึ่งทำให้การคาดการณ์ต่าง ๆ  ที่กล่าวมานั้น  ไม่ผิด!  ในตอนที่พูด  แต่อาจจะผิดจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นภายหลัง  แต่เมื่อถึงเวลานั้น  ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้วสำหรับคนที่เชื่อบทวิเคราะห์ซื้อหรือขายหุ้น

คำต่อมาก็คือ  กำไรเพิ่ม  นี่ก็เช่นเดียวกัน  เราต้องมีเหตุผลประกอบอย่างชัดเจนและโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้นก็ต้องสูงเป็น 80% ขึ้นไป  โอกาสที่กำไรจะลดลงนั้นน้อยมาก    พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ  เรามีความมั่นใจมากว่าเมื่อยอดขายเพิ่มขึ้น  ยอดขายนั้นจะก่อให้เกิดกำไรมากขึ้นเนื่องจากบริษัทจะสามารถรักษา Profit Margin หรือกำไรต่อยอดขายเท่ากับปีก่อนหรือสูงขึ้นอย่างแน่นอน  ไม่ใช่ยอดขายเพิ่มขึ้นแต่กำไรต่อยอดขายลดลง  ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเราก็อาจจะไม่มีกำไรเพิ่ม   การรักษากำไรต่อยอดขายไว้ได้นั้น  เหตุผลต้องชัดเจนและมีโอกาสเกิดขึ้นสูง  เช่น  สินค้าของเรานั้นสามารถตั้งราคาได้เองไม่ใช่เป็นราคาตลาดโลกที่เราควบคุมไม่ได้เป็นต้น

คำที่สามก็คือ  ปันผลเพิ่มขึ้น  นี่ก็ต่อมาจากคำแรกและคำที่สองที่ว่ารายได้เพิ่มขึ้น  และกำไรเพิ่มขึ้น  ซึ่งโดยปกติถ้าเป็นอย่างนั้นและบริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี  อาจจะเนื่องจากว่าบริษัทขายสินค้าส่วนใหญ่เป็นเงินสดแต่มักซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ  หรือบริษัทไม่ต้องลงทุนในการซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์มากมายในการทำงานหรือขยายงาน   การจ่ายปันผลก็ควรที่จะเพิ่มขึ้น  ถ้าบริษัทไม่จ่ายปันผลเพิ่มทั้ง ๆ  ที่มีกำไรเพิ่ม  เราก็ต้องดูเหตุผลว่าเพราะอะไร  บางครั้งบริษัทอาจจะจ่ายปันผลเท่าเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิมมากเนื่องจากกำไรที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่มาก  แบบนี้เราก็อาจจะ  “พอทน”  ยอมรับได้

คำทั้งสามที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น  ผมต้องขอเพิ่มเงื่อนไขอีกหนึ่งข้อเพื่อไม่ให้เราหลงผิดคิดว่าบริษัทเข้าเกณฑ์หมด  เงื่อนไขที่ว่าก็คือ  รายได้  กำไร และปันผลที่เพิ่มขึ้นนั้น  จะต้องเป็นรายได้  กำไร  และปันผล “ปกติ”  จากการดำเนินงานตาม “ปกติ”  ไม่ใช่รายได้พิเศษ  กำไรพิเศษ  และปันผลพิเศษหรือปันผลเป็นหุ้น ที่  “เกิดขึ้นครั้งเดียว”  เช่น  จากการขายที่หรือขายทรัพย์สินอื่นรวมถึงการขายทรัพย์สินเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นบ่อย   ในกรณีดังกล่าวนั้น  เราต้องตัดรายการพิเศษออกและคำนวณดูว่า  รายได้  กำไร  และปันผลที่มาจากการดำเนินงานปกติของบริษัทเป็นอย่างไร

เมื่อเราพบว่า  รายได้  กำไร และปันผลของบริษัทเพิ่มขึ้นหรือคาดว่าเพิ่มขึ้นแน่ด้วยความเป็นไปได้ถึง 80% ขึ้นไปในปีปัจจุบันแล้ว  สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือ  เราต้องวิเคราะห์และคาดการณ์ต่อไปอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้าว่า  บริษัทจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ในอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้า  นี่ก็ต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน  ถามตัวเองว่าอีก 3 ปี กิจการจะโตขึ้นไหมเพราะอะไร  ใครเป็นคู่แข่งและจะมีคู่แข่งใหม่ที่น่ากลัวไหม  เทคโนโลยีใหม่จะเข้ามาแย่งลูกค้าจากเราไหม  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้จะต้องถูกนำมาคิดอย่างไม่ลำเอียง  โอกาสที่เราจะพลาดสูงแค่ไหน  ถ้าคำตอบก็คือ  มีโอกาส 50-50 ที่ยอดขายเราอาจจะไม่เพิ่มขึ้น 3 ปีหลังจากนี้เนื่องจากเหตุผลอะไรก็ตาม  นั่นก็แสดงว่า  เราไม่ผ่านเกณฑ์ 3 ปี  ผมเองคิดว่าถ้าจะให้ผ่านเกณฑ์นี้  โอกาสความเป็นไปได้ควรจะเป็นอย่างน้อย 70-75% ขึ้นไป  ซึ่งนั่นหมายความว่าเรามีความมั่นใจสูงที่ รายได้  กำไร  และปันผลใน 3 ปีข้างหน้านั้นจะเพิ่มขึ้น  เราต้องมั่นใจว่าธุรกิจของบริษัทนั้นจะยังเติบโต  ไม่มีใครมาทำอะไรมันได้  และ ไม่เปลี่ยน  ในอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้า

ถ้าเราถือหุ้นที่เข้าเกณฑ์  “สามคำสามปี”  ดังที่กล่าว  เราก็มักไม่ต้องทำอะไร  บางทีไม่ต้องไปคิดด้วยว่าตกลงมันเป็นซุปเปอร์สต็อกจริง ๆ  หรือเปล่า  สิ่งที่ต้องทำก็คือ  คอยติดตาม  ทบทวนและวิเคราะห์กิจการไปเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะตอนสิ้นปี  ถ้าผลออกมาบริษัททำได้คือ  มีรายได้เพิ่ม  กำไรเพิ่มและจ่ายปันผลเพิ่ม  เราก็สรุปว่ามันเป็นอย่างที่คาดไว้ในตอนต้นปี  แต่หลังจากนั้นเราก็ต้องวิเคราะห์และคาดการณ์ต่อไปข้างหน้าอีก 3 ปี   ถ้าคำตอบก็เป็นอย่างเดิม  นั่นก็คือ  บริษัทก็จะยังมีรายได้  กำไร  และปันผลเพิ่ม  เราก็จะยังคงถือหุ้นไว้  แต่ถ้าไม่ใช่  เราก็อาจจะต้องทำอะไรบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับเกณฑ์นี้