Tuesday, July 15, 2014

การลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือน

   

      สำหรับ “มนุษย์เงินเดือน” ที่ไม่ได้มีเงินจากพ่อแม่หรือมีความสามารถพิเศษในการลงทุนและคิดว่าตนเอง  “ไม่มีปัญญา” ในการที่จะเรียนรู้เทคนิคการลงทุนที่จะทำให้สามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูง ๆ  ได้   ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นกลยุทธ์หรือวิธีการลงทุนระยะยาวที่  “ดีที่สุด” สำหรับเขา  มันจะเป็นการลงทุน  “เพื่อการเกษียณ” ที่จะทำให้เขาสามารถมีเงินใช้จ่ายได้ตามสถานะที่เขาเป็นอยู่แบบเดิมไปได้ตลอดชีวิตหลังเกษียณโดยที่ความเสี่ยงที่จะ “ขาดเงิน” มีน้อยมาก ๆ  สิ่งที่เขาจะต้องทำหรือเงื่อนไขนั้นมีหลักการใหญ่ ๆ สามข้อ  มันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากแต่ต้องอาศัยวินัยและความศรัทธาสูง

            หลักการสามข้อนั้นผมขอเรียกว่าเป็น  “แก้ว 3 ประการ ของการลงทุน”  ที่ผมเคยพูดไว้ในหลาย ๆ  โอกาสซึ่งผมจะทวนอีกครั้งหนึ่งก็คือ  ถ้าหากใครหวังจะรวยหรือประสบความสำเร็จจากการลงทุนสูงนั้น  เขาจะต้องมีแก้วที่ “สุกสว่าง” ทั้ง 3 ดวง  โดยที่แก้วดวงแรกก็คือ  เขาจะต้องมี  “เงินลงทุนเริ่มต้น”  หรือเงินที่ได้จากแหล่งอื่นนอกเหนือจากเงินจากการลงทุน  เช่น  จากเงินเดือน  เงินที่พ่อแม่ให้หรือเงินมรดก เป็นต้น  “แก้ว”  ดวงนี้จะ “สุกสว่าง” มากน้อยนั้น  บางทีก็ขึ้นอยู่กับ  “โชคชะตา” เช่น  คนที่มีพ่อแม่รวยและพ่อแม่แบ่งเงินมาให้ลงทุนมาก  “แก้ว”  ดวงนี้ของเขาก็สุกสว่างมาก  แต่ในอีกด้านหนึ่ง  ความสุกสว่างของแก้วก็อาจจะมากขึ้นได้จากการ  “อดออม”  ของเราเอง  นั่นก็คือ  เราสามารถเพิ่มความสว่างของแก้วของเราได้โดยการบริโภคน้อยลงและเก็บออมแล้วเอามาลงทุนมากขึ้น

            แก้วดวงที่สองคือ  ผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุน  ความสุกสว่างของแก้วดวงนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการวิเคราะห์และลงทุนอย่างถูกต้อง  อย่างไรก็ตาม  ตามทฤษฎีและตามประวัติศาสตร์การลงทุนที่มีการเก็บสถิติมายาวนานนั้นบอกว่า  หุ้นให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดในบรรดาการลงทุนหลักทั้งหลายในระยะยาว  ดังนั้น  แก้วดวงนี้จะสุกสว่างได้นั้น  เราคงต้องลงทุนในหุ้นเป็นหลัก  ในขณะที่การฝากเงินให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด  ถ้าเงินส่วนใหญ่ของเราอยู่ในเงินฝาก  แก้วดวงนี้ของเราก็จะหมองมัว  ส่วนพันธบัตรหรือหุ้นกู้นั้นให้ผลตอบแทนกลาง ๆ   ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงก็คือ  ถ้าเราเน้นซื้อหุ้นลงทุนเป็นรายตัวที่อาจจะทำให้แก้วของเราสว่างที่สุด  มันก็มีโอกาสเช่นกันที่แก้วดวงนี้จะ  “แตก”  และความสว่างจะหายไปกลายเป็นแก้วที่  “มืดมน”   เปรียบเทียบก็คือ  แทนที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงก็อาจจะขาดทุนได้  โชคดีที่ว่าเราสามารถที่จะลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมที่จะให้ผลตอบแทนที่สุกสว่างพอสมควรได้โดยที่ความเสี่ยงที่จะเสียหายมีน้อยในระยะยาว  ดังนั้น  สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญในการเลือกหุ้น  การลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีจึงเป็นทางเลือกที่ดีมาก

             แก้วดวงสุดท้ายก็คือ  ระยะเวลาในการลงทุน  ยิ่งเราลงทุนยาวนานเท่าไร แก้วของเราก็จะสุกสว่างมากขึ้นเท่านั้น  ดังนั้น  คนที่อายุน้อยและแน่วแน่ในการลงทุน  ไม่ออกจากตลาดไม่ว่าในสถานการณ์อะไร  จึงเป็นคนที่มีแก้วที่สุกสว่างอยู่ในมือ 1 ดวงเสมอ  เช่นเดียวกัน  คนที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีก็เป็นคนที่มีแก้วที่สว่างกว่าคนที่อายุสั้นกว่า

            คนที่มีแก้วที่สุกสว่างทั้ง 3 ดวง  และใช้มัน  โอกาสที่เขาจะรวยจากการลงทุนก็จะสูงมาก  คนที่มีแก้วอยู่ในมือแต่ไม่รู้จักใช้ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย  ส่วนคนที่แทบจะไม่มีแก้วที่สุกสว่างเลยซักดวงก็ต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่สามารถรวยจากการลงทุนได้   อย่างไรก็ตาม  คนส่วนใหญ่ที่  “กินเงินเดือน” และอายุยังไม่มากนั้น  หากมีการวางแผนการลงทุนที่ดี  และด้วยการ  “เสียสละ”  การบริโภคในปัจจุบันพอประมาณแต่อยู่ในระดับที่ไม่น่าจะเดือดร้อนนัก  จะสามารถที่จะลงทุนจนมีเงินเพียงพอที่จะใช้ในยามเกษียณได้อย่างสบายโดยที่ความเสี่ยงที่จะทำไม่ได้มีน้อยมาก  มาดูกันว่าทำอย่างไรและเราจะบรรลุเป้าหมายอะไร?

            สมมุติว่าเราอายุ 30 ปี  มีงานประจำที่มั่นคง  มีเงินเดือนตามควรแก่อัตภาพเช่น  เฉลี่ยเดือนละ 50,000 บาท และยังไม่เคยลงทุนอะไรเป็นเรื่องเป็นราว  ข้อเสนอของผมก็คือ  เราต้องเริ่มเก็บออมเงินและลงทุนโดยการหักออกจากเงินรายได้ 15% ทุกครั้งที่ได้รับเงิน  ซึ่งก็คือเดือนละ 7,500 บาท  แล้วนำเงินนั้นลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่อิงดัชนี  SET50 ซึ่งก็คือการลงทุนในหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 50 ตัวโดยไม่มีการเลือกหุ้น  เราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกเดือน  ถ้าเงินเดือนเราสูงขึ้น  เม็ดเงิน 15% ของเราก็สูงขึ้นตามกันไป  เวลาได้เงินพิเศษเช่น โบนัส  เราก็ยังคงต้องหักเงิน 15% ก่อนเพื่อเอาไปลงทุนในหุ้น  การลงทุนในหุ้นทั้งหมดนั้นอาจจะดูว่า  “เสี่ยง”  แต่การที่เราทยอยลงไปเรื่อยเป็นเวลาถึง 30 ปี  ความเสี่ยงจะหายไปมาก  เพราะเราจะซื้อหุ้นเฉลี่ยกันไปทั้งช่วงที่หุ้นถูกและแพง  โอกาสที่เงินออมจะเสียหายมีน้อยมาก  แต่มีโอกาสสูงที่เราจะได้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละประมาณ 10% ตามสถิติที่เป็นมาในอดีต  ถ้าเราทำแบบนี้  ผลที่จะได้รับหลังจากที่เราเกษียณที่ 60 ปีคืออะไร?

            คำตอบอย่างที่ทำให้เราเข้าใจได้ง่ายที่สุดก็คือ  หลังจากเกษียณแล้ว  เราก็จะสามารถใช้เงินได้เดือนละเท่าเดิมเท่ากับช่วงที่เราทำงานอยู่โดยที่เราไม่ต้องทำงานต่อไปอีก 30 ปี เช่น ถ้าเราได้เงินเดือนในช่วงแรกที่อายุ 30 ปี เป็นเงิน 50,000 บาท ในวันที่เราเกษียณเดือนแรกเราก็สามารถใช้เงินได้เดือนละ 50,000 บาทเช่นกันหลังจากคำนึงถึงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว  ที่จริงก็คือใช้ได้ประมาณ 120,000บาท ต่อเดือนซึ่งมีค่าเท่ากับ 50,000ในวันนี้)  และถ้าในช่วงที่เราอายุ 40 ปี  เรามีรายได้เดือนละ 100,000 บาท และเรากันเงิน 15% ซึ่งเท่ากับ 15,000 บาทไว้ลงทุน  ในช่วงที่เรามีอายุ 70 ปี  เราก็จะสามารถใช้เงินได้เดือนละ 100,000 บาทเช่นกันหลังคำนึงถึงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว

           มองอีกด้านหนึ่งก็คือ  เงินเพียง 15% นั้น  ถ้าเรากันไว้ลงทุนในหุ้นในวันนี้  มันจะโตขึ้นเป็น 100% หลังหักอัตราเงินเฟ้อแล้ว  ภายในเวลา 30 ปี  ดังนั้น  เงินเพียง 15% ของทุกเดือนที่เราลงทุนไปในวันนี้  อีก 30 ปี มันก็จะกลับมาเลี้ยงเราเต็มจำนวน  ถ้าเราลงทุนตั้งแต่อายุ 25 ปี  โอกาสที่เราจะเกษียณอย่างสบายก็จะสูง  ถ้าเราลงทุนหลังจากอายุ 30 ปีไปแล้ว เช่น เริ่มลงทุนเมื่ออายุ 40 ปี ถ้าจะให้เราสามารถใช้เงินได้เท่าเดิมหลังเกษียณ  เราก็อาจจะต้องกันเงินไว้มากกว่า 15% ของเงินเดือนเพื่อที่จะลงทุน  ภาระก็จะหนักขึ้น หรือถ้ายังรักษาระดับที่ 15%  ในวันที่เกษียณเราก็มีเวลาลงทุนแค่ 20 ปี ซึ่งก็จะทำให้เงินที่เราจะได้นั้นไม่ถึง 100%  ซึ่งก็แปลว่า  ในวันเกษียณ  เราอาจจะต้องลดระดับความเป็นอยู่ลง

             คนอายุ 30 ปี ที่เริ่มกันเงินถึง 15% ของเงินเดือนเพื่อลงทุนแต่เขาเน้นไปที่การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้หรือกองทุนผสมที่มีหุ้นน้อย  ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะต่ำ  ซึ่งก็อาจจะทำให้เขาไม่สามารถใช้เงินได้เท่าเดิมหลังเกษียณ  และนี่สำหรับผมแล้ว  เป็นการลงทุนที่ไม่เหมาะสม  ในระยะสั้น ๆ  นั้น  ความรู้สึกมั่นคงและ “ไม่เสี่ยง”  จากการลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝากนั้น  ไม่คุ้มกับการเสียโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจากการลงทุนในหุ้น  ว่าที่จริง  ในระยะยาวตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป  หุ้นโดยรวมนั้นมีความเสี่ยงน้อยมาก  โอกาสที่หุ้นจะให้ผลตอบแทนรวมต่ำกว่าตราสารหนี้หรือเงินฝากนั้นผมคิดว่าน่าจะอยู่แค่ในช่วง 5-10 ปีแรกเท่านั้น  หลังจากนั้นแล้วหุ้นก็จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลอด  ดังนั้น  อย่ากลัวที่จะลงทุนหุ้นเต็มที่ถ้าเราจะลงระยะยาวมาก

           สุดท้ายที่ผมอยากจะเพิ่มเติมสำหรับคนที่ต้องเสียภาษีรายได้สูงนั้น  การลงทุนในกองทุน LTF และ RMS ในอัตราที่สูงได้ถึง 15% ของรายได้นั้น  ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ผมกล่าวถึงมาทั้งหมด  แต่ยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลด้วย  ดังนั้น  ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เหมาะสมและดีที่สุดที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนควรทำ

cr. ดร.นิเวศน์  เหมวชิรวรากุล