Saturday, November 1, 2014

ลงทุนแบบก้นบุหรี่ (Cigar Butt Investing)

       

    เห็นพูดกันถึงอาจารย์เบนจามิน  เกรแฮม  ทำให้ผมนึกถึงวิธีการลงทุนตามแบบท่านอาจารย์ผู้นี้คือ  แบบก้นบุหรี่จริงๆ แล้วเป็นคำเหน็บแนมของวอร์เรน บัฟเฟตต์ต่อการลงทุนที่ถอดแบบจากท่านเกรแฮม  เขากล่าวว่า  มันเป็นเสมือนการหยิบก้นบุหรี่ที่คนื่นทิ้งไว้ที่พื้น    แต่มันยังคงมียาสูบเหลืออยู่  แล้วเราเก็บมาสูบ  แม้มันจะยังคงมีควันอยู่  แต่มันก็สูบได้อีกครั้งสองครั้งก็ต้องทิ้งแล้ว  แต่มันเป็นของฟรี คับ....


        ผมเองใช้การลงทุนหุ้นVI แบบนี้ก็บ่อยเหมือนกันครับ  สำหรับผมแล้วการลงทุนแบบนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว  แต่ในระยะยาวแล้วจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่นัก   หากไม่ขายหุ้นตัวนั้นออกไปก่อนเมื่อราคาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้เคียงราคาที่แท้จริงในระยะสั้นๆ ในแบบของเกรแฮมจะขายเมื่อราคาปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 50๔  ของราคาที่ซื้อ  แต่สำหรับลูกศิษย์รุ่นต่อๆ มาของเกรแฮมได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากับสถานการณ์มากขึ้นซึ่งได้ผลดีทีเดียว...

         วิธีคิดในการเลือกซื้อหุ้นตามแบบก้นบุหรี่นี้ต้องใช้งบการเงิน  โดยเฉพาะงบดุลเป็นสำคัญ  เพราะเราต้องหา NET-net Asset Value นักลงทุนVI บางท่านเรียกหุ้นแบบนี้ว่า NET-NET Stock อย่าเข้าใจผิดว่าซื้อตอนเช้าจายตอนบ่ายนะคับ NET-NET Stock นี้ซื้อแล้วถือรอราคาปรับตัวขึ้น  ใช้เวลาพอสมควรนะคับ  ไม่เสี่ยงขนาดนั้น  การลดความเสี่ยงของการลงทุนแบบนี้ใช้การวิเคราะห์งบดุลและกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นแบบนี้หลายๆ บริษัท

         สูตรของ NET-NET Asset Value เป็นดังนี้คับ

        NET-NET Asset Value = สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินหมุนเวียน  หนี้สินระยะยาว

        จะเห็นว่า NET-NET Asset Value คือเอาสินทรัพย์หมุนเวียนมาหักเอาหนี้สินทั้งสั้นและยาวออกให้หมด  สังเกตว่าเขาไม่เอาสินทรัพย์คงที่หรือ Fixed Assets มาคิดเลย  ยังไม่พอนะคับ  เราจะต้องซื้อหุ้นแบบนี้ในราคา 1/3 NET-NET Asset Value อีกต่างหาก

       ลำพังหาหุ้นที่ NET-NET Asset Value ต่ำกว่าราคาหุ้นก็ยากอยู่แล้วนี่ต้องหาหุ้นที่ต่ำกว่า NET-NET Asset Value ถึงสามเท่าอีก  ยิ่งไปกันใหญ่  ผมเคยหาตอนตลาดประมาณ 200 - 300 จุด เอาหุ้นที่กำลังซื้อขายได้ก็ยังหาไม่เจอเลยคับ ที่มีอยู่ก็กำลังจะไปไม่รอดแล้วคับ

       เมื่อหาไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร  มีนักลงทุนVI ลูกศิษย์ของอาจารย์เกนแฮมท่านหนึ่งคือ วอลเตอร์  ชลอส  (Walter Scholsse) ได้ใช้หลักการ NET-NET Asset Value ก่อนแต่หลังๆ ใช้ไม่ได้  เขาเลยใช้  สินทรัพย์ที่่จับต้องได้ทั้งหมด หรือ Total ธangible Assets หักด้วยหนี้สินระยะสั้น  นำมาหักลบกัน  แล้วมองหาหุ้นที่ราคาต่ำกว่าค่าหาได้นั้น  ไม่จำเป็นต้องมีราคาต่ำกว่าค่าที่หาได้ถึงสามเท่าคับ ซึ่งก็ใช้ได้ผลดี  เพราะถ้าดูแล้ว (ความคิดเห็นของผู้เขียน)

          เราควรเอาสินทรัพย์ที่มีตัวตนทั้งหมด เช่น โรงงาน เครื่องจักรที่ยังใช้งานได้  สินค้าคงเหลือ  และลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นหนี้สูญเพราะเห็นอยู่ว่ามันมีอยู่จริง  ส่่วนหนี้สินระยะสั้น ต้องตัดออกแน่ๆ เพราะอย่างไรต้องจ่ายเจ้าหนี้ภายในหนึ่งปี  หากไม่มีจ่ายเราไม่ควรไปยุ่งเพราะบริษัทก็คงไม่มีอะไรเหลือจ่ายผู้ถือหุ้นเช่นกัน  ส่วนหนี้สินระยะยาวนั้น เชื่อว่าหากบริษัทยังพอไปได้เจ้าหนี้ก็ยังคงยอมประนอมหนี้ให้ได้ ไม่น่าห่วงนักซึ่งเราก็เห็นกรณีอย่างนี้มากมาย  เช่น แปลงหนี้เป็นทุน ลดหนี้ ตัดดอก เป็นต้น 

       สำหรับตัวอย่างที่ผมจะยกมาให้ดูกันนั้นเป็นตัวอย่างในอดีตทั้งนั้นครับ เพราะเพื่อไม่ให้เกิดการชี้นำ เป็นเพื่อการยกตัวอย่างเป็นกรณีศึกษาจริงๆ ผมขอยกกรณีหุ้น ATC ในอดีตที่เศรษฐกิจดีราคาสูงมาก แต่เมื่อเกิดวิกฤติราคาร่วงเอาร่วงเอา จนราคามาอยู่แถวๆ 3 – 5 บาท แต่ถ้าเราไปดูสินทรัพย์แล้วพบว่ามีมากเอาการ แต่หนี้สินก็ไม่น้อย แต่อย่าลืมว่า บริษัทนี้ตั้งมาได้ไม่นานเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ ก็ยังคงมีสภาพดีอยู่ แถมบริษัทนี้มีการดำเนินธุรกิจแบบเป็นรอบ ที่ราคา 3-5 บาท ถือว่าต่ำมากๆ เอาจำนวนหุ้นคูณราคาแล้ว สร้างโรงงานขนาดนี้ไม่ได้แน่ พอราคาผ่านไปไม่นานประมาณ ปีสองปี ราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นแบบไม่เคยให้เห็นเลขหลักเดียวอีกเลย ขณะนี้ราคาก็อยู่ 60 กว่าบาท(ขณะเขียนต้นฉบับ) ใครซื้อไว้แล้วใจแข็งถือมาจนทุกวันนี้รวยไม่รู้เรื่องครับ ผมเองรับสารภาพว่าซื้อแถว 3 – 5 บาท แต่จากหลักการก้นบุหรี่แล้วคาบไว้นานไม่ได้เลยคายเร็วไปหน่อยเลยอดรวยเลย และนี่คือจุดอ่อนของหลักการแบบนี้

      อีกตัวอย่างหนึ่งค่อนข้างคลาสสิกมากครับ กรณีหุ้น APRINT เมื่อหลายปีก่อนราคาร่วงมาแถวๆ 7 – 10 กว่าบาท ในขณะที่ Book Value ก็สูงกว่าราคามาก แถมบริษัทมีกำไรและจ่ายปันผลตลอดไม่เคยขาดเลย ราคาหุ้นแม้จะปรับตัวสูงขึ้นแต่ก็ยังต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีมาหลายปีแต่เนื่องจากเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยหวือหวาจึงไม่ค่อยมีคนสนใจ ปรากฏว่าเวลาผ่านไปราคาก็สะท้อนมูลค่าจนได้ เป็นกรณีคลาสสิกอย่างไรหรือครับ ก็ตรงที่ว่าเป็นบริษัทที่ดีไม่ขาดทุนจ่ายปันผลตลอด มูลค่าตามบัญชีสูงกว่าราคาหุ้นมาก จัดว่าเป็นบริษัทที่ไม่วิกฤติเลยแต่ราคาวิกฤติมากจริงๆ ใครซื้อแล้วถือไว้สบายใจไม่ต้องระแวง ลุ้นปันผลอย่างเดียวครับ

        ว่าไปแล้วถ้าขยันหาเราจะพบหุ้นก้นบุหรี่มากมายในช่วงวิกฤติ และหากถือมาจนปัจจุบันเราก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ราคาปรับตัวขึ้นเอง แต่ในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าหายากมากครับ ถึงมีก็ถือได้สั้นๆ ไม่ยาวจนราคาปรับตัวขึ้นหลายเท่าตัว และเราต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะมีนวัตกรรมใหม่ทางการเงินและการบัญชีมากมาย ตบแต่งบัญชีได้แนบเนียนมาก การปล่อยข่าวลือ การปั่นหุ้น สารพัดวิธีการจนผมเองก็งงไปหมด หากมีโอกาสจะเอามาคุยให้ฟังคับ

        การลงทุนVI แบบก้นบุหรี่นี้ค่อนข้างใช้ได้ผลดีในยามเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้หุ้น ราคาตกมากเกินกว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่ควรจะเป็น แต่จุดอ่อนของมันก็คือเราไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลเชิงคุณภาพของมัน ทำให้บางครั้งเราอาจพลาดท่าได้ หรือเราอาจขายออกเร็วเกินไปได้ หากเราตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ครับ อีกอย่างหนึ่งคือจิตใจต้องมั่นคงไม่หวั่นไหวง่ายๆ แม้ซื้อแล้วราคาจะลงมาอีก เราต้องตรวจดูให้ชัดยิ่งขึ้นว่าเป็นอย่างที่เราคิดหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากที่วิเคราะห์ไว้ราคาลงมาถือเป็นการลดราคาท้า วิกฤติครับ รีบตะครุบด่วน