ใครอยากมีชีวิต "สบายวันนี้และสบายในวันหน้า" ต้องลงมือวางแผนการเงินอย่างจริงจัง เพราะสังคมเปลี่ยนไป วิกฤติเกิดขึ้นมากมาย คนเรามีอายุยืนยาวขึ้น สวัสดิการที่รัฐมอบให้ประชาชนทั่วไปไม่สอดคล้องกับคุณภาพชีวิตตามที่แต่ละคนคาดหวัง เราจึงต้องพี่งพาตนเองให้ได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต การวางแผนการเงินที่ดีเท่านั้นที่จะช่วยให้การจัดสรรทรัพยากรทางการเงินของเราเป็นไปอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ แต่ท่ามกลางวิกฤติทางการเงินที่เข้ามารุ่มเร้ารอบด้าน ก็ยังมีโอกาสดีๆ ที่รอให้เราใช้ประโยชน์ได้เสมอ เพราะปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากมายที่จะตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม การวางแผนการเงินจะทำให้เราใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ การสร้างความมั่งคั่งทางการเงินเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สำหรับทุกคน
อาจเพราะคนส่วนใหญ่มองว่า การลงทุนมีความเสี่ยงจึงละเลยประเดนที่ว่า การ "ไม่" ลงทุนก็มีความเสี่ยงไม่ต่างกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ หากเราฝากเงินทั้งหมดไว้กับธนาคารเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ผลตอบแทนที่เราจะได้รับนั้นมีจำนวนเพียงพอให้เราพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต...... เงินฝากในธนาคารของเราอาจจะเป็น "ขาดทุนแบบทบต้น" เมื่อเปรียบเทียบกับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ดังนั้น การจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและยอมรับได้ จึงเป็นเรื่องที่เราควรให้ความสำคัญ และนับเป็นโอกาสดีที่ปัจจุบันเรามีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลาย ลองพิจารณาหาทางเลือกใดที่เหมาะสมกับเรามากที่สุดกันให้พบ เพราะ...ชีวิตมีทางเลือกเสมอ....เราเลือกได้ว่าจะจัดการความเสี่ยงสำหรับอนาคตทางการเงินของตัวเองอย่างไร ... ลองทำดู.... รับรองคุณสามารถทำได้
ลงทุนแบบนี้...มีชัยไปกว่าครึ่ง
ผมเชื่อว่านักลงทุนต่างรู้ดีว่า "ความไม่รู้" คือความเสี่ยง ดังนั้น เมื่อเรา "รู้" คือมีความรู้ มีการศึกษาค้นคว้าจนเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ความไม่รู้ก็จะหมดไป ความเสี่ยงก็จะลดลง ใครไม่เชื่ออยากให้ลองเปรียบเทียบพฤติกรมของนักลงทุนที่ขาดทุนและนักลงทุนที่ได้กำไรจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้มอบหมายให้บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด สำรวจและวิเคราะห์พฤติกรรมของนักลงทุนรายย่อยที่เน้นลงทุนระยะสั้นในตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 พบว่า นักลงทุนรายย่อยที่มีผลกำไรจากการลงทุนมากกว่า 15% และนักลงทุนรายย่อยที่มีผลขาดทุนจากการลงทุนมากกว่า 15% มีพฤติกรรมการลงทุนที่แตกต่างกัน โดยรายงานชิ้นนี้เปิดเผย 10 พฤติกรรมการลงทุนที่จะเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง สำหรับนักลงทุนรายย่อย ไว้ดังนี้
พฤติกรรมที่อาจนำไปสู่ความสำเร็จ
- ศึกษาหาความรู้ก่อนการลงทุนทั้งความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และความรู้เกี่ยวกับการซื้อขายใจตลาดหลักทรัพย์ เช่น วิธีการส่งคำสั่งซื้อขาย การขึ้นเครื่องหมายในการซื้อขาย กระบวนการรับเงินปันผล เป็นต้น
- กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น เช่น พันธบัตร ตราสารหนี้ กองทุนรวม ทองคำ เป็นต้น
- วางหลักเกณฑ์หรือแนวทางในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไว้ล่วงหน้า เช่น กำหนดอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน กำหนดประเภทของหลักทรัพย์ที่ต้องการลงทุน เป็นต้น
- กำหนดระดับอัตราผลขาดทุนที่ยอมรับได้จากการลงทุนในแต่ละหลักทรัพย์ซึ่งนักลงทุนที่มีผลกำไรส่วนใหญ่ กำหนดอัตราผลขาดทุนที่ยอมรับได้อยู่ที่ร้อยละ 1-5
- ปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้าหรือมีวินัยในการลงทุน เพื่อเป้าหมายการลงทุนที่ได้กำหนดไว้
- ใช้ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในระดับที่มาก โดยมีการพิจารณาปัจจัยด้านภาวะเศรษฐกิจและการเมือง ปัจจัยด้านภาวะอุตสาหกรรม ปัจจัยด้านบริษัทที่ลงทุน ปัจจัยที่เกี่ยวกับภาวะตลาดหลักทรัพย์โดยรวม
- ทยอยซื้อหลักทรัพย์ โดยผู้ลงทุนที่มีผลกำไรส่วนใหญ่ทยอยซื้อหลักทรัพย์แต่ละหลักทรัพย์ จำนวน 2-3 ครั้ง และในช่วงตลาดขาขึ้น ไม่ซื้อขายหลักทรัพย์บ่อยเกินไป
- มีรูปแบบในการซื้อขายหลักทรัพย์ อย่างเช่น ซื้อหุ้นเพิ่มเติมเมื่อ SET Index มีแนวโน้วว่าจะขึ้นจากการประเมินด้านเทคนิค ซื้อหุ้นตามแนวเส้่นค้าเฉลี่ย (Moving Average) ขายหุ้นเมื่อ SET Index มีแนวโน้มว่าจะลง ขายหุ้นตามแนวต้านหรือเมื่อหลุดแนวรับ เป็นต้น
- บันทึการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างสม่ำเสมอ
- ติดตามข้อมูลของบริษัท ที่ลงทุนและคาดว่าจะลงทุน รวมถึงสภาวะตลาดเป็นประจำ
พฤติกรรมที่อาจนำไปสู่ความผิดพลาด (ควรหลีกเลี่ยง)
- ไม่ศึกษาหาความรู้ก่อนการลงทุน
- ไม่กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงแตกต่างกัน
- ไม่วางแผน หรือแนวทางในการลงทุน
- ไม่มีการกำหนดระดับอัตราผลขาดทุนที่ยอมรับได้ จากการลงทุนในแต่ละหลักทรัพย์
- ไม่มีวินัยในการลงทุน ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามแผนการลงทุนที่วางไว้
- ใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคค่อนข้างน้อย แต่มักซื้อหุ้นตามข่าวลือ
- ไม่มีการทยอยซื้อหุ้น มักจะซื้อขายหุ้นบ่อยครั้งในช่วงตลาดขาขึ้น
- มีรูปแบบในการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น ซื้อหุ้นที่มีปริมาณซื้อขายมาก หรือซื้อหุ้นตอนหุ้นวิ่งแต่ราคาไม่ปรับตัวขึ้นเลยขาย
- ไม่จดบันทึกกาซื้อขาย
- ไม่ติดตามข้อมูลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ประกอบไปด้วยนักลงทุนทุกเพศทุกวัย ทั้งนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุน จนถึงนักลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนมากกว่า 10 ปี มีทั้งวัยรุ่น คนหนุ่มสาว วัยกลางคน จนถึงวัยเกษียณ และมีอาชีพที่หลากหลายทั้งนักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ แม้บ้าน ผู้บริหาร พนักงาน บริษัทเอกชนและรัฐวิสาหกิจ เจ้าของกิจการ ผู้ว่างาน ตลอดจนคุณตาคุณยายวัยเกษียณ ฯลฯ