Tuesday, October 7, 2014

สัญญาณ บวก-ลบ ในตลาดหุ้น



      ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์และการเงินนั้น การมองหา “สัญญาณ” หรือ Indicator ที่จะสามารถบอกให้เรารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เหตุผลก็เพราะว่า ถ้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นบวก เราก็สามารถวางแผนหรือกำหนดนโยบายในการจัดสรรทรัพยากรให้รองรับกับสิ่งนั้น หากสัญญาณบอกว่าอนาคตจะเป็นลบ เราก็จะได้เตรียมการแก้ไขไม่ให้มันเลวร้ายลงมากนัก นั่นก็เป็นเรื่องของนักเศรษฐศาสตร์ แต่ในด้านของนักลงทุนหรือคนเล่นหุ้น พวกเขามองหา “สัญญาณ” เพื่อที่จะบอกว่าเขาควรที่จะทำอย่างไรหรือมีกลยุทธ์อย่างไรในการลงทุน พูดง่าย ๆ ก็คือ ควรจะซื้อหรือขายหุ้นตัวไหน สัญญาณในตลาดหุ้นนั้นมีมากมายที่คนเชื่อกันว่าสามารถบอกอนาคตของหุ้นหรือตลาดหุ้นได้แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงก็คือ น่าจะมีสัญญาณน้อยมากที่จะสามารถบอกอนาคตได้อย่างแม่นยำ และที่สำคัญก็คือ โอกาสที่อนาคตจะไม่เป็นไปตามที่คาดก็มีอยู่เสมอ ไม่มีอะไรที่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมิฉะนั้น คนที่เล่นหุ้นตามสัญญาณก็รวยกันหมดแล้ว ซึ่งตามทฤษฎีก็เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เราก็ยังอยากจะดูสัญญาณอยู่ดี มันคงเป็นสัญชาติญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ มาดูกันว่ามีสัญญาณอะไรในตลาดหุ้นที่นักลงทุนสนใจดูกัน

       สัญญาณตัวแรกที่นักเล่นหุ้นจับตาดูกันทุกวันก็คือ ดัชนีดาวโจนส์ นักลงทุนเชื่อกันว่าถ้าดัชนีดาวโจนส์ที่ตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อคืนก่อนปรับตัวขึ้นแรง ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ก็จะปรับตัวขึ้นตาม แต่ถ้าดัชนีดาวโจนส์ตกลงมาอย่างแรง คืนนั้นนักเล่นหุ้นบางคนก็อาจจะ “นอนไม่หลับ” เนื่องจากกังวลว่าหุ้นที่ตนเองถืออยู่มากคงจะตกลงมาแรง บางทีเขาอาจจะคิดว่า “ทำไมเราไม่ขายไปก่อนวะ” ราวกับว่าเขารู้ว่าดาวโจนส์กำลังปรับตัวลงมาอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม สัญญาณดัชนีดาวโจนส์นั้น ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะในนาทีแรกที่ตลาดหุ้นไทยเปิด ราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้น หรือตกหนักลงไปทันที เราไม่มีโอกาสที่จะซื้อหรือขายหนีก่อน ดังนั้น ดัชนีดาวโจนส์จึงเป็นอะไรที่นักวิเคราะห์ใช้ในการอธิบายสาเหตุว่าทำไมหุ้นจึงขึ้นหรือตกอย่างแรงถ้าไม่มีสาเหตุอย่างอื่น มากกว่าที่จะเป็นสัญญาณทำเงิน

       สัญญาณตัวที่สองที่นักเล่นหุ้นติดตามกันมากก็คือ กลุ่มผู้ซื้อ-ขาย สุทธิในตลาดหุ้นประจำวัน ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็นกลุ่มนักลงทุนสถาบัน หรือคือกลุ่มที่เป็นกองทุนต่าง ๆ เช่น กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการเป็นต้น กลุ่มนี้โดยธรรมชาติก็เป็นนักลงทุนที่ลงทุนระยะยาวกว่ากลุ่มอื่น และก็เป็นกลุ่มที่มีการซื้อขายน้อยที่สุด กลุ่มที่สองคือกลุ่มโบรกเกอร์ที่เข้ามาเล่นหุ้นโดยใช้เงินของบริษัทเอง นี่เป็นกลุ่มที่มีการซื้อขายค่อนข้างเร็วและน่าจะมีการเก็งกำไรสูง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าไม่เสียค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขาย กลุ่มที่สามคือกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่มีปริมาณการซื้อขายมากเป็นอันดับสองในตลาดหุ้นไทย และเป็นกลุ่มที่นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นจับตามองมากที่สุด เหตุผลก็คือ นักลงทุนเชื่อว่าถ้า “ฝรั่ง” ซื้อสุทธิ มาก ๆ แนวโน้มก็คือ ตลาดหุ้นจะขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าฝรั่งขายหนัก ๆ เรา “ถอยดีกว่า” เพราะนักลงทุนเชื่อในเรื่องของ “Fund Flow” นั่นคือ เงินต่างชาตินั้นมีมาก และพวกเขาจะเข้ามาซื้อหุ้นตัวใหญ่ ๆ ทำให้ดัชนีและตลาดโดยรวมปรับตัวขึ้นอย่างแรงและเร็ว สุดท้ายก็คือ กลุ่มนักลงทุน “รายย่อย” ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเรียกว่า “นักลงทุนส่วนบุคคล” มากกว่า เพราะในปัจจุบันนี้ จำนวนมากเป็น “นักลงทุนรายใหญ่” ซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายของกลุ่มสูงที่สุดและมักจะมากกว่า 50% ของตลาดโดยรวม ประเด็นก็คือ อิทธิพลของ “ฝรั่ง” นั้น ผมคิดว่าลดลงเมื่อเทียบกับในสมัยก่อนที่ตลาดหุ้นไทยมีแต่นักลงทุนรายย่อยจริง ๆ ที่เล่นเก็งกำไร กับต่างชาติที่รอบรู้กว่า แต่ปัจจุบันไม่ใช่

        สัญญาณตัวที่สามคือ การซื้อ-ขายหุ้นของผู้บริหาร ถ้าเชื่อตามที่ ปีเตอร์ ลินช์ พูดก็คือ การขายหุ้นของผู้บริหารนั้น ไม่ได้หมายความว่าบริษัทคงจะมีผลประกอบการที่ไม่ดีหรือหุ้นจะแพงเกินไปแล้วเสมอไป ผู้บริหารอาจจะมีภาระหรือความจำเป็นต้องใช้เงินก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพบว่าผู้บริหารหลาย ๆ คนต่างก็ขายหุ้นพร้อมหรือใกล้เคียงกันในจำนวนมาก แบบนี้ก็อาจจะต้องคิดเหมือนกันว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ผู้บริหารต่างก็ต้องการใช้เงินพร้อมกัน ในกรณีอย่างนี้เราคงต้องวิเคราะห์และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่ามันเป็น “สัญญาณลบ” ที่ทำให้เราขายหุ้นหรือไม่ ตรงกันข้าม ปีเตอร์ ลินช์ บอกว่า เหตุผลในการซื้อหุ้นของผู้บริหารนั้นมีเพียงประการเดียวนั่นคือ เขาคิดว่าหุ้นมีราคาถูกคุ้มค่าและเขาสามารถทำกำไรได้จากการลงทุน ดังนั้น ผู้บริหารซื้อหุ้นจึงเป็นสัญญาณบวก อย่างไรก็ตาม ในกรณีของตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะที่ผู้บริหารกับเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นรายเดียวกัน การซื้อหุ้นของผู้บริหารก็อาจจะไม่ใช่สัญญาณบวกก็ได้ เหตุผลก็คือ มันอาจจะเป็นการ “ส่งสัญญาณลวง” ให้นักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อให้ราคาหุ้นวิ่งสูงขึ้นไปหรือพยุงราคาหุ้นไว้เพื่อให้ตนเองสามารถขายหุ้นได้สะดวก เพราะในกรณีแบบนี้ หุ้นที่เขาซื้อนั้น เป็นเพียงส่วนน้อยของหุ้นที่เขามี ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องทำกำไรจากหุ้นในส่วนที่เขาซื้อเข้ามาเพิ่มจำนวนเพียงเล็กน้อย

           สัญญาณตัวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ รายการซื้อขายหุ้นรายการใหญ่แบบจับคู่หรือการซื้อขายหุ้นแบบ Big Lot นี่คือการที่ผู้ถือหุ้นที่มีหุ้นจำนวนมากตกลงขายหุ้นให้กับนักลงทุนรายใหญ่ที่ต้องการซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก โดยปกติก็คือ คนที่ขายจะมีเพียงรายเดียวหรือไม่กี่รายที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันเช่นอยู่ในครอบครัวเดียวกันหรือกลุ่มบริษัทเดียวกัน ส่วนคนที่ซื้อนั้น บางครั้งก็มีรายเดียวหรือไม่กี่รายที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่มักจะเป็นสถาบันที่ต้องการได้หุ้นจำนวนมาก แต่บางครั้ง โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นการขายหุ้นก้อนโตมหาศาลหลาย ๆ พันหรือเป็นหมื่นล้านบาทขึ้นไปก็จะมีผู้ซื้อรายใหญ่จำนวนมากเป็นสิบ ๆ รายหรือเป็นร้อยรายที่ต่างก็เข้ามาแสดงความจำนงซื้อหุ้นผ่านโบรกเกอร์ที่จะทำหน้าที่ในการขายหุ้นให้กับคนที่ต้องการขาย การซื้อ-ขายหุ้นแบบ Big Lot นี้ มักทำกันแบบ “Over Night” หรือทำแบบ “ข้ามคืน” ในช่วงที่ตลาดหุ้นปิดแล้ว ซึ่งการตกลงทุกอย่างจะทำภายในคืนนั้นและมา “จับคู่” ซื้อขายหุ้นกันในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยทั่วไปราคา ซื้อ-ขาย มักจะต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนเล็กน้อยประมาณ 3-5% ในกรณีที่เป็นรายการที่ไม่ใหญ่มาก แต่ในกรณีที่เป็นรายการใหญ่มาก บางทีอาจจะต่ำกว่า 10% ก็มี

          สัญญาณจากการขายแบบ Big Lot นั้น แม้ว่าในหลาย ๆ กรณีผู้ขายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้บริหาร แต่ก็ไม่ได้เป็นสัญญาณลบเสมอไป อย่าลืมว่าการขายของเขานั้นอาจจะมาจากเรื่องของการต้องการใช้เงินหรือเป็นการลดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยงก็ได้ ไม่ใช่แปลว่าหุ้นจะไม่ดี เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ คนที่ซื้อเองนั้นก็เป็นนักลงทุนรายใหญ่และส่วนใหญ่เป็นสถาบัน ดังนั้น ถ้าหุ้นไม่ดีหรือไม่คุ้มค่าพวกเขาก็คงไม่ซื้อ สิ่งที่จะเป็นลบที่เห็นได้ชัดเจนจากการทำ Big Lot ก็คือ ราคาหุ้นที่ซื้อขายนั้นจะต่ำกว่าราคาหุ้นบนกระดาน ดังนั้น คนที่ซื้อบางรายอาจจะรีบ “ทำกำไร” ทันทีโดยการขายหุ้นที่ได้มาในตลาด และนี่ทำให้ราคาหุ้นในวันแรกที่ทำ Big Lot มักจะตกลงมาใกล้เคียงกับราคาที่มีการตกลงซื้อขายกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากวันแรกไปแล้ว ราคาหุ้นก็มักจะกลับมาซื้อขายกันตามพื้นฐานที่ควรจะเป็น ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ การขาย Big Lot ในระยะสั้นอาจจะเป็นลบเล็กน้อย แต่ในระยะยาวแล้วก็ไม่มีผลอะไร ว่าที่จริงในบางกรณีกลับเป็นบวก เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นตัวนั้นอาจจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเนื่องจากมีนักลงทุนสถาบันเข้าลงทุนมากขึ้น สภาพคล่องดีขึ้น ทำให้ราคาหุ้นดีขึ้น

        และทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงสัญญาณส่วนหนึ่งที่คนในตลาดหุ้นชอบติดตามและบ่อยครั้ง Take Action หรือตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง แต่สำหรับ VI แล้ว เรื่องเหล่านี้ เรามักจะติดตามเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วเราก็ไม่ควรจะทำอะไรยกเว้นแต่มันมีเหตุผลที่น่าจะทำหลังจากที่ได้ศึกษาอย่างถี่ถ้วนแล้วเท่านั้น