Monday, September 14, 2015

สั้น VS ยาว / ดร.นิเวศน์


  ผมอยู่ในตลาดหุ้นมานานและสังเกตเห็นว่า   สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะแยกแนวทางการลงทุนระหว่างนักลงทุนกลุ่มหนึ่งกับนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งออกจากกันได้เด่นชัดที่สุดนั้น  ไม่ใช่การเป็น “นักลงทุนหรือนักเก็งกำไร”  หรือไม่ใช่  “นักเทคนิคหรือเป็น VI”  หรือไม่ใช่  “นักเล่นหุ้นเติบโตหรือเล่นหุ้นถูก”  เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่นั้นต่างก็มีความเป็นนักเก็งกำไรและนักลงทุนอยู่ในตัว   ไม่รู้จะแยกยังไง  บางคนเป็น VI แต่ก็ดูกราฟด้วยหรือดูบ้าง  นักเทคนิคที่ผมรู้จักจำนวนมากนั้น  ต่างก็ดูพื้นฐานด้วยไม่ใช่มองแต่กราฟ  เช่นเดียวกัน  ผมแทบจะไม่เคยเห็นคนที่เล่นแต่Growth โดยไม่สนใจหุ้นที่ถูกมากเลย

สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นประเด็นที่สามารถที่จะแยกนักลงทุนออกจากกันได้ชัดที่สุดนั้นน่าจะเป็นเรื่องของระยะเวลาในการลงทุนหรือมุมมองต่อเรื่องของระยะเวลาในการถือครองหุ้นหรือพูดง่าย ๆ  คุณเป็นคน  “เล่นสั้นหรือเล่นยาว”  เหตุที่ผมใช้คำว่า  “มุมมอง” นั้น  เป็นเพราะว่านี่คือ  “ฐานทางความคิด” ของการลงทุนในการพิจารณาเกี่ยวกับการเลือกหุ้น  ถือหุ้น  ขายหุ้น  และเรื่องอื่น ๆ  อีกมาก  ถ้าจะหาชีวิตนักลงทุนเอกของโลกมาเปรียบเทียบที่ดี  เราก็คงจะเห็นได้ชัดเจนว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้นน่าจะถือได้ว่าเป็นคนที่  “เล่นยาว”  สุดโต่ง  ในอีกด้านหนึ่ง  จอร์จ โซรอส น่าจะเป็นตัวแทนของคนที่  “เล่นสั้น”  และสองคนนี้ผมคิดว่ามีมุมมองต่อเรื่องของการลงทุนคนละด้านอย่างเห็นได้ชัดทั้งเวลาซื้อ  เวลาถือครอง และเวลาขาย  รวมถึงเรื่องของความเสี่ยงและประเด็นอื่น ๆ แต่ทั้งสองต่างก็ประสบความสำเร็จพอ ๆ กัน   แน่นอนว่าบางครั้งบัฟเฟตต์ก็ถือหุ้นสั้นบ้างเช่นเดียวกับที่โซรอสเองก็น่าจะเคยถือหุ้นยาวแต่นั่นมักเป็นข้อยกเว้นหรือเป็นรายการย่อยไม่ใช่รายการหลัก  หุ้นหรือหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ของคนที่ “เล่นยาว” นั้นต้องถือยาว  ส่วนคนที่ “เล่นสั้น” นั้น  ต้องถือสั้น  ไม่ว่าเจ้าตัวจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนที่ลงทุนแนวไหน

ในความคิดของผมแล้ว  คนที่ตั้งใจถือหุ้นไม่เกินประมาณ 1 ปี ก็ต้องถือว่าเป็นคน  “เล่นสั้น”แม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่าตนเองเป็นคนลงทุนระยะยาว  คนที่ตั้งใจถือหุ้นยาวกว่านั้นโดยเฉพาะที่ไม่ได้ตั้งเป้าเวลาที่จะขายเลยนั้นก็อาจจะถือว่าเป็นคนที่  “เล่นยาว”  มองจากเกณฑ์นี้แล้วผมคิดว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่  รวมถึงสถาบันลงทุน เช่น บลจ. ทั้งหลายที่บริหารเงินให้กับคนอื่น  ก็น่าจะถือว่าเป็นคนที่ “เล่นสั้น”  คนที่ “เล่นยาว” นั้น  ผมคิดว่าส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในกลุ่มของ VI ที่อายุมากหน่อยหรือไม่ก็เป็นสถาบันลงทุนที่เน้นระยะยาวเช่นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  กองทุนรวมระยะยาว LTF หรือ RMF กองทุนของบริษัทประกันภัยหรือประกันชีวิต  และกองทุนของบริษัทหรือกงสีที่ไม่เน้นที่จะต้องโชว์ผลงานการลงทุนให้กับใครมากนักและสามารถถือหุ้นได้โดยไม่ต้องพะวงกับการถูก “ถอน” การลงทุน

ความแตกต่างของมุมมองระหว่างนักลงทุนที่ถือสั้นกับถือยาวนั้นผมคิดว่ามีมากมายผมจะลองไล่ไปเรื่อย ๆ  โดยสิ่งที่ผมจะพูดนั้นอาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงจากการศึกษาทางวิชาการแต่เป็นเรื่องที่ผมเคยได้ยินนักลงทุนโดยเฉพาะที่ชอบ “เล่นสั้น” พูดหรือทำ  ส่วนสำหรับนักลงทุนระยะยาวนั้น  นอกจากสังเกตจากคนอื่นแล้วก็เป็นเรื่องของความคิดผมเองในฐานะนักลงทุนระยะยาวที่มักจะมีความคิดและวิธีทำที่แตกต่างจากนักลงทุนระยะสั้น

เริ่มต้นก็คือประเด็นสำคัญเรื่องของผลตอบแทน  คนที่เล่นสั้นนั้นเชื่อว่าการเล่นสั้นนั้นกำไรดีกว่าการเล่นยาว  เหตุผลก็เพราะว่ามันสามารถทำกำไรได้ “หลายรอบ”  เช่น ถ้าคุณซื้อและขายหุ้นแต่ละตัวภายใน 3 เดือน คุณก็จะมีโอกาสทำกำไรได้ปีละ 4 รอบ  ถ้าได้รอบละ “แค่ 10%” ปีหนึ่งก็กำไรไปแล้ว 40%  คนที่เล่นสั้นนั้นเชื่อว่าหุ้นแต่ละตัวจะมีจังหวะของการวิ่งเร็วเป็นบางช่วง  ดังนั้น  เราก็ควรซื้อก่อนที่มันจะ  “วิ่ง”  หรือเริ่มวิ่ง  และขายเมื่อมันขึ้นไปอย่างรวดเร็วซึ่งมักจะไม่กี่เดือน  หลังจากนั้นมันก็อาจจะขึ้นช้าลงหรืออาจจะปรับตัวลงมา  ดังนั้นเราไม่ควรจะถือต่อแต่ควรจะขายทิ้งและไปหา “ตัวใหม่” ที่กำลังจะมา   ส่วนคนที่เล่นยาวนั้น  เชื่อว่าการถือหุ้นที่มีพื้นฐานมั่นคงโดดเด่นนั้น  หุ้นก็มักจะมีแนวโน้มว่าจะโตขึ้นไปเรื่อย ๆ  ปีหนึ่งอาจจะถึง 10-20% โดยเฉลี่ยตามกำไรของบริษัทที่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าจะโตไปได้เรื่อย ๆ  ในอัตราที่ค่อนสูงเกิน 10% ต่อปีไปอีกหลายปี  การขายและเปลี่ยนตัวเล่นนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวใหม่จะมีผลงานเท่าตัวเก่าหรือไม่  พวกเขากลัวว่าจะเป็นการ  “ขายหมูแล้วไปซื้อควาย” อย่างที่ชอบพูดกันในหมู่นักลงทุน  นั่นคือขายหุ้นที่ขึ้นต่อแล้วไปซื้อหุ้นที่ซื้อแล้วก็ตกลงมา

ประเด็นที่สองก็คือเรื่อง “จุดของการทำกำไร”  นักเล่นสั้นนั้นบอกว่า  “กำไรอยู่ที่การขาย”  นั่นคือ  การลงทุนนั้น  กำไรที่มากนั้นมักจะมาจากการขาย  นั่นก็คือ  คุณต้องรู้ว่าจะขายหุ้นตัวที่ซื้อมาเมื่อไร  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือต้องขายในช่วงที่หุ้นดีดตัวขึ้นมาแรงสู่จุดที่สูงมากในระยะสั้น  บางครั้งแค่พลาดไปไม่กี่วันหรือบางทีนาที  กำไรก็อาจจะหายหมดหรือลดน้อยลงไปมาก  ดังนั้น  ทักษะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของคนเล่นสั้นก็คือ  การจับจังหวะขาย  ส่วนคนเล่นยาวนั้นบอกว่าการขายนั้นไม่สำคัญ  กำไรเกิดขึ้นเมื่อเรา  “ซื้อหุ้นถูกตัว”  นั่นก็คือหุ้นที่มีคุณภาพที่ดีเยี่ยมในราคาถูก  ถ้าคุณซื้อหุ้นแบบนี้ได้  คุณไม่จำเป็นต้องรีบขายแม้ว่าในบางช่วงเวลาหุ้นอาจจะปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าปกติและคุณ “พลาด” ที่จะขายมัน  แต่ในอนาคตต่อมา  มันก็มักจะปรับตัวขึ้นมาอีกจนสูงเท่าหรือสูงกว่าเดิม  ดังนั้น  การขายไม่สำคัญ  “กำไรอยู่ที่การซื้อ”

“ยาวคือเสี่ยง  สั้นคือไม่เสี่ยง”  นี่คือคติประจำใจของคนเล่นสั้นที่คิดว่าการลงทุนระยะยาวนั้นเสี่ยงมากเนื่องจากในระยะยาวแล้วทุกอย่างก็อาจจะเปลี่ยนไป  ทั้งเรื่องของพื้นฐานของกิจการ  ภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็เปลี่ยนไป  ยิ่งเวลาผ่านไปมากโอกาสที่เรื่องร้าย ๆ  จะเกิดขึ้นก็จะเพิ่มขึ้น  ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้  ดังนั้น  การถือหุ้นยาวคือเสี่ยง  บางคนนั้นแค่ถือหุ้นข้ามวันหยุดก็รู้สึกเสี่ยงแล้ว  แต่นักเล่นยาวนั้นมองตรงกันข้าม  พวกเขารู้สึกว่าในระยะสั้นนั้น  ทั้งตลาดและราคาหุ้นจะมีความผันผวนขึ้นลงเอาแน่อะไรไม่ได้  แต่ในระยะยาวแล้ว  ดัชนีหุ้นก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ  ถ้าเราถือยาวเป็น 5 ปีหรือ10 ปี  หรือถ้าเริ่มตั้งแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์ 40 ปีที่แล้ว  ดัชนีตลาดจะให้ผลตอบแทนถึงปีละ 10% โดยเฉลี่ย  ไม่เสี่ยงเลย  นอกจากนั้น  สำหรับหุ้นรายตัวแล้ว  ถ้าคุณซื้อหุ้นที่แข็งแกร่งและเติบโตระยะยาวโดยการพิจารณาพื้นฐานของกิจการอย่างถี่ถ้วน  โอกาสก็สูงที่กำไรของบริษัทจะโตขึ้นเรื่อย ๆ  และถ้าเป็นอย่างนั้น  ราคาหุ้นก็ต้องปรับตัวขึ้นไปตาม  ดังนั้น  “ถือยาวไม่เสี่ยง ถือสั้นเสี่ยง”

คนที่เล่นสั้นนั้นชอบหุ้นที่มี  “การเปลี่ยนแปลง” ซึ่งก็มีหลากหลาย  คนที่เล่นสั้นมากชอบการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น  หุ้นที่นิ่ง ๆ  เขาไม่สนใจ  เขาสนใจหุ้นที่กำลังขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าบริษัททำอะไร   คนที่เล่นสั้นแต่ไม่มากอาจจะชอบหุ้นของกิจการที่เป็นวัฏจักรและวัฏจักรกำลังเป็นขาขึ้น   บางคนชอบหุ้นของกิจการที่กำลังฟื้นตัว  จำนวนมากชอบหุ้นที่กำลังมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างโดดเด่นเนื่องจากสถานการณ์บางอย่างทางอุตสาหกรรมที่เอื้ออำนวย  ทั้งหมดนั้นมักจะมีเงื่อนไขที่สำคัญก็คือ  มันต้องเป็นหุ้นขนาดเล็กหรือมี Free Float ต่ำที่ทำให้ราคาหุ้นวิ่งได้เร็วมากและมโหฬารได้  พวกเขาคิดว่านี่คือการทำเงินได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น  ส่วนพวกเล่นยาวนั้นมักจะชอบหุ้นที่  “ไม่มีการเปลี่ยนแปลง” แต่ต้องมีเงื่อนไขที่สำคัญก็คือ  “ก็กิจการมันดีมากอยู่แล้ว”  การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจจะนำไปสู่ความไม่แน่นอน  เป็นความเสี่ยง

สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือมุมมองเกี่ยวกับปันผล  นักเล่นสั้นนั้นมักจะไม่ใคร่ “แคร์”  เรื่องเงินปันผลมากนัก  พวกเขาเห็นว่าเงินปันผลนั้นคิดเป็นผลตอบแทนน้อยนิด  พวกเขาคิดว่า “เทรดแค่ 2-3 วันก็เท่ากับเงินปันผลทั้งปีแล้ว” ดังนั้น  ปันผลจึงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะมอง  ส่วนนักลงทุนระยะยาวนั้น  ปันผลเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเลือกหุ้นลงทุนไม่น้อย  ว่าที่จริงในระยะยาวแล้ว  ปันผลในตลาดหุ้นไทยนั้นคิดเป็นผลตอบแทนเกือบครึ่งหนึ่งของผลตอบแทนทั้งหมด  ดังนั้น  บ่อยครั้งในการลงทุนพวกเขาคิดถึงปันผลในการเลือกหุ้นลงทุนด้วย