Sunday, January 17, 2016

ซุปเปอร์สตาร์ CEO / โดย คนขายของ

   
 เมื่อราวยี่สิบกว่าปีก่อนผมจำได้ว่านิตยสาร Newsweek ของอเมริกาลงเรื่องของประเทศไทยบน หน้าปกว่าจะเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเซีย แต่หลังจากนั้นไม่นานประเทศไทยของเราต้องเผชิญวิกฤต“ต้มยำกุ้ง” และเรื่องเสือตัวที่ห้าก็เริ่มหายไปจากความทรงจำ อีกวาระหนึ่ง ในปี 2007 นิตยสาร The Economist ลงเรื่องประเทศเวียดนามบนหน้าปก เกี่ยวกับเศรษฐกิจที่กำลังจะรุ่งโรจน์ของเวียดนาม แต่ต่อมาไม่นาน เวียดนามกลับประสบวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ ค่าเงินด่องอ่อนค่า หนี้เสียเพิ่มขึ้น พร้อมกับการชะลอตัวอย่างรุนแรงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประสพการณ์เหล่านี้เป็นครูสอนผมอย่างดี    ให้ระวังเรื่องที่นิตยสารทางการเงินและเศรษฐกิจนำมาขึ้นปกว่าต้องเผื่อใจไว้บ้างสำหรับการพลิกผัน

                ทุกๆปีนิตยสารทางธุรกิจและการเงินของสหรัฐจะมีการนำเสนอผู้ที่ได้รับรางวัลประเภท“CEO ที่ดีที่สุด ของปี” หรือไม่ก็แนวๆ “ผู้นำที่ดีที่สุดในโลกธุรกิจ” เป็นธรรมดาว่าหลังจากขึ้นปกนิตยสารชั้นนำเหล่านั้น แล้ว ชื่อเสียงเงินทองก็จะหลั่งไหลเข้ามาหา CEO เหล่านั้นที่ได้รับรางวัลมากขึ้น เพราะการได้ขึ้นปก นิตยสารชั้นนำเป็นการประกาศให้สาธารณะชนรับรู้ถึงความรู้ความสามารถของ CEO เหล่านั้นได้ อย่างดียิ่ง ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่ ผลงานของเขาเหล่านั้นเป็นอย่างไรหลังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ? เป็นไปได้ไหมว่าส่วนใหญ่หลังจากที่ได้ขึ้นปกแล้ว เรื่องราวกลับกลายเป็นแย่ลงเหมือนเรื่องของไทย และเวียดนามในอดีต?

                เพื่อหาคำตอบในประเด็นนี้ อาจารย์ Ulrike Malmendier ของ UC Berkeley และ อาจารย์Geoffrey Alan Tate ของ UCLA ได้ร่วมกันทำวิจัย CEO ที่เคยได้รับรางวัลจากนิตยสารชั้นนำต่างๆ มากกว่า 250 ราย เริ่มตั้งแต่ปี 1975 เพื่อดูว่าผลงานของเขาเหล่านนั้นเป็นอย่างไรหลังจากได้รับรางวัล ผลงานวิจัยในหัวข้อ “Superstar CEO” ได้สรุปว่า ผลงานของ CEO ที่ได้รับรางวัลนั้นแย่ลงกว่า ค่าเฉลี่ย ทั้งในแง่ของผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) และ ราคาหุ้น ในปีที่ หนึ่ง สอง และ สาม หลังจากที่ได้รับรางวัล ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? หลังจากเขาเหล่านั้นได้รับรางวัล การเป็นจุดสนใจของ สาธารณชนมากขึ้นทำให้การให้ความสนใจในการบริหารลดลง CEO บางคนได้เริ่มออกหนังสือ ของตัวเองเพื่อวางจำหน่าย บางคนได้รับเชิญไปเป็นบอร์ดบริหารในบริษัทอื่น ยิ่งได้รางวัลมากก็อาจจะ ไปเป็นนั่งเป็นบอร์ดหลายๆที่

                ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของซุปเปอร์สตาร์ CEO คือมั่นใจในตัวเองมากเกินไป ทั้งนี้เพราะความสำเร็จในอดีตเป็นตัวผลักดัน ในช่วงทศวรรษ 1990 บริษัทเทคโนโลยีที่ร้อนแรงมากที่สุดในยุคนั้นคงหนีไม่พ้นบริษัท AOL ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตชื่อดัง จากมูลค่ากิจการเพียง 61.8 ล้านเหรียญในปี1992 กลายมาเป็น 161,000 ล้านเหรียญในปี 2000 ในเวลาเพียงแปดปี ขึ้นมาราว 2,600 เท่า ในเดือนมีนาคม 1998 นิตยสาร Fortune ลงรูป Steve Case บนปกพร้อมข้อความว่าบริษัทนี้กำลัง กลายมาเป็น “Superpower” เจ้าแรกในวงการอินเตอร์เน็ท ในอีกราวสองปีต่อมารูปของ Steve Case ขึ้นปกคู่กับ Bill Gates พร้อมกับข้อความว่า “ชายทั้งสองผู้พร้อมครองบัลลังค์ (อินเตอร์เน็ท)” ในปี2000 รูปของ Steve Case ถูกตีพิมพ์ในนิตยสารหลายฉบับเมื่อเขาประกาศซื้อกิจการ Time Warnerกลายเป็นบริษัทสื่อครบวงจรที่ใหญ่ที่สุด ก่อนจะกลายเป็นการควบรวมกิจการที่ล้มเหลวครั้ง สำคัญในประวัติศาสตร์

                “ความสำเร็จ” เหมือนเป็นดาบสองคม หากบุคคลใดไม่เตรียมตัวเตรียมใจรับให้ดี ความสำเร็จเหล่านั้น อาจจะกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวได้ เรื่องนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับผู้บริหารองค์กรเท่านั้น แม้เหล่านักลงทุนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ประเภทไหนก็ควรระวังด้วยเช่นกัน ผมเคยได้ยินว่ามี นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศบางคน ประกาศแบบฟันธงไปเลยว่าราคาน้ำมันจะพุ่งไป 200$ ด้วยความมั่นใจในผลตอบแทนที่ตัวเองทำได้อย่างงดงามในอดีต พร้อมทั้งชื่อเสียงที่ถาโถม เข้ามา อาจทำให้เขารู้สึกว่ามีความสามารถหยั่งรู้อนาคตได้ สิ่งที่เขาคิดต้องถูกเสมอ ผ่านมาถึงตอนนี้ ก็เกือบแปดปีแล้ว ผมยังไม่เคยเห็นน้ำมันที่ 200$ ต่อ บาร์เรลเลย ผมก็หวังว่าเขาคงได้บทเรียนที่ดี

                 จากความคาดเดาที่ผิดพลาดในครั้งนี้ และเมื่อเรารู้จักยอมรับความผิดพลาด พิจารณาจุดบกพร่อง ลดอัตตาลงและยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่นบ้าง เมื่อนั้น ความล้มเหลวของเราก็อาจเป็นจุดเริ่มต้น ของความสำเร็จได้เหมือนกัน