Thursday, June 19, 2014
กลยุทธการลงทุนในหุ้นถูก by ดร.นิเวศน์
ในช่วงที่ผมเริ่มเป็น VI ใหม่ ๆ เกือบ 20 ปีมาแล้วนั้น ผมเน้นซื้อหุ้นที่มีราคาถูก เหตุผลก็เพราะว่าในช่วงนั้นตลาดหุ้นตกต่ำมาก หุ้นในตลาดแทบทุกตัวต่างก็มีราคา “ถูก” การซื้อหุ้นที่มีราคาถูกจึงทำได้ง่าย กลยุทธการลงทุนของผมในตอนนั้นก็คือการซื้อหุ้นที่มีคุณภาพพอใช้ได้แต่มีราคาถูกมาก หรือไม่ก็เป็นหุ้นที่มีคุณภาพดีราคาถูกพอสมควรทีเดียว ต่อมาเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้นพร้อม ๆ กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ราคาหุ้นทั่วไปในตลาดก็ไม่ถูกเหมือนเดิมแต่ก็ยังค่อนข้างถูก กลยุทธการลงทุนของผมก็เปลี่ยนแปลงไป ผมหันมาลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพดีมากที่มีราคาถูกหรือราคา “ไม่แพง” เป็นแนวลงทุนแบบ Super Stock จวบจนถึงปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเป็นปกติแล้วและตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นมาเต็มที่ตามพื้นฐานที่ควรจะเป็น ส่งผลให้หุ้นจำนวนมากโดยเฉพาะหุ้นซุปเปอร์สต็อกมีราคาแพงขึ้นมากจนแทบจะไม่เหลือ Margin of Safety หรือส่วนเผื่อความปลอดภัยในการลงทุน ปัญหาของผมก็คือ ถ้าเราได้รับปันผลมาหรือขายหุ้นบางตัวทิ้งเราควรจะเอาเงินไปลงทุนแบบไหน? และนี่นำมาสู่ประเด็นที่ผมจะพูด นั่นก็คือ กลยุทธการลงทุนในหุ้นถูก—ที่ยังเหลืออยู่บ้างในตลาดหลักทรัพย์
ในภาวะปัจจุบันของตลาดหุ้นนั้น เรายังมีกลุ่มธุรกิจหลายกลุ่มที่มีหุ้นราคาถูกอยู่ในความหมายที่ว่า ค่า PE ยังต่ำกว่าหรือประมาณ 10 เท่าต้น ๆ ค่า PB ไม่ถึง 1 หรือหนึ่งเท่าเศษ ๆ และผลตอบแทนเงินปันผลมากกว่า 3-4% ของปีล่าสุด การที่หุ้นมีราคาถูกนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพราะว่าหุ้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่ดีหรืออาจจะมีปัญหาการทำกำไรในอนาคตทำให้ตลาดไม่ให้คุณค่ามันเท่ากับธุรกิจกลุ่มอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม “ตลาดอาจจะผิด” ในบางอุตสาหกรรมหรือในหุ้นบางตัว ดังนั้น กลยุทธการลงทุนในหุ้นถูกของผมนั้น หลัก ๆ แล้วก็คือ พยายามหาหุ้นที่ “ถูกมาก” ที่ตัวธุรกิจหรือกิจการอาจจะไม่ “เลวร้าย” อย่างที่ตลาดหรือนักลงทุนทั่ว ๆ ไปคิด ลองมาดูกันไปทีละกลุ่มที่อาจจะเป็นเป้าหมายในการลงทุนเนื่องจากว่าเป็นหุ้นกลุ่มที่ยังมีราคาถูกหรือไม่แพงในยามนี้
หุ้นกลุ่มแรกที่ยังถูกอยู่และก็คงถูกไปเรื่อย ๆ ก็คือหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม “ตะวันตกดิน” เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร ผู้ผลิตสิ่งทอที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มแฟชั่น และอุตสาหกรรมเหล็ก เป็นต้น หุ้นในกลุ่มนี้มีปัญหาว่าในระยะยาวแล้วอาจจะไม่สามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่นซึ่งทำให้ธุรกิจต้องค่อย ๆ หดตัวลง ดังนั้น การลงทุนในหุ้นถูกกลุ่มนี้จึงไม่มีประโยชน์ โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจะยากมาก กลยุทธก็อาจจะเป็นว่าเราไม่สนใจจะดู อย่างไรก็ตาม คนที่เข้าใจกิจการอย่างลึกซึ้งก็อาจจะหาหุ้นที่ไม่ได้ผลิตสินค้า “ตะวันตกดิน” อย่างที่คนอื่นคิดแม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจเหล่านั้น ถ้าพบบริษัทที่มีอนาคตแต่ราคาถูกมากก็สามารถลงทุนได้ ประเด็นสำคัญก็คือ เราไม่ควรมองผลประกอบการระยะสั้นแล้วเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มตะวันตกดินแม้ว่าหุ้นจะมีราคาถูกมาก
หุ้นกลุ่มต่อมาที่ยังมีหุ้นราคาถูกอยู่บ้างก็คือหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทสร้างบ้านขายอานิสงค์จากการที่ราคาหุ้นในกลุ่มปรับตัวลงเมื่อเร็ว ๆ นี้จากผลกระทบเรื่องภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่อ่อนตัวลง การที่หุ้นขายบ้านจัดสรรหรือทำคอนโดมีราคาถูกนั้นเป็นเพราะธุรกิจนี้อาจจะค่อนข้าง “อิ่มตัว” และมีคู่แข่งมาก อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่มีความผันผวนสูงตามภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ดังนั้น โดยปกติที่หุ้นอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้มีราคาถูกจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุผล การที่จะหวังให้หุ้นมีค่า PE ที่สูงขึ้นจึงอาจจะหวังไม่ได้มากนัก ดังนั้น ถ้าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ นอกจากหุ้นจะต้องถูกมากแล้ว ผมคิดว่าจะต้องเป็นบริษัทที่จะมีกำไรมากขึ้นอย่างน้อยในช่วงหนึ่งถึงสองปีข้างหน้าอย่างค่อนข้างแน่ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ด้วยกำไรที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็น่าจะเพิ่มขึ้นตาม โดยที่ค่า PE ก็ยังเท่าเดิมหรือไม่น่าจะต่ำลง แต่ถ้าโชคดี ค่า PE ก็เพิ่มขึ้นด้วยเราก็จะได้ “สองเด้ง” ส่วนข้อที่ต้องระวังก็คือ อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ถ้ามีการปรับขึ้นแรง ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวลง เช่นเดียวกัน ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำลงไปอีก การซื้อบ้านก็อาจจะลดลงมาก และนั่นทำให้การลงทุนในหุ้นอสังหาริมทรัพย์มีความเสี่ยงพอสมควร
หุ้นกลุ่มใหญ่มากกลุ่มหนึ่งที่ยังมีหุ้นราคาถูกอยู่พอสมควรก็คือหุ้นธุรกิจการเงินซึ่งรวมถึงหุ้น ธนาคาร เงินทุน และหลักทรัพย์ หุ้นในกลุ่มนี้ที่นักลงทุนให้คุณค่าน้อยทำให้มีค่า PE PB ไม่สูง และปันผลตอบแทนค่อนข้างดีนั้น เป็นเพราะเรื่องของความเสี่ยงที่ “รุนแรง” ในกรณีของบริษัทที่อิงอยู่กับการปล่อยกู้อย่างธนาคารพาณิชย์และบริษัทให้สินเชื่อเช่าซื้อทั้งหลาย โดยที่บริษัทเหล่านี้อาจจะประสบกับปัญหาหนี้เสียที่รุนแรงซึ่งจะทำให้บริษัทขาดทุนหนักหรืออาจจะล้มละลายได้เนื่องจากจำนวนเงินปล่อยกู้นั้นสูงมากเมื่อเทียบกับส่วนทุนของบริษัทเอง ส่วนในกรณีของธุรกิจหลักทรัพย์เองนั้น การแข่งขันในธุรกิจรุนแรงและมักเป็นการแข่งขันกันทางด้านของราคาเป็นหลัก ในอีกด้านหนึ่งนั้น ปริมาณการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทโบรกเกอร์เองนั้น ก็มีความไม่แน่นอนสูงขึ้นอยู่กับภาวะของตลาด ซึ่งทำให้รายได้และกำไรของบริษัทมีความไม่แน่นอนสูงมาก ดังนั้นราคาหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์จึงไม่สามารถจะแพงเหมือนธุรกิจอื่นที่มีความแน่นอนกว่า
กลยุทธการลงทุนในธุรกิจปล่อยเงินกู้ไม่ว่าจะเป็นแบงค์หรือบริษัทให้กู้เช่าซื้อนั้น ผมคิดว่าการที่หุ้นมีราคาค่อนข้างถูกในช่วงนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกลัวเรื่องหนี้เสียที่อาจจะเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะในด้านของบุคคลธรรมดา ดังนั้น กลยุทธที่ควรใช้ก็คือ เราควรเลือกหุ้นที่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มที่ราคาก็ถูกอยู่แล้ว นอกจากนั้น เราควรต้องดูว่าหนี้เสียของบริษัทนั้นจะสามารถควบคุมได้ไม่สูงเกินไป นอกจากนั้น ความสม่ำเสมอของผลงานในอดีตก็ควรจะต้องเป็นปัจจัยประกอบในการวิเคราะห์ด้วย ส่วนธุรกิจหลักทรัพย์นั้น ผมคิดว่าถ้าจะลงทุนควรจะเน้นที่ความถูกมาก ๆ เช่น เฉพาะเงินสดที่มีในบริษัทก็อาจจะมากกว่าราคาหุ้นแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าเลิกบริษัทเอาเงินมาแบ่งกันก็อาจจะคุ้มแล้ว ผมเองไม่ทราบว่ายังมีหุ้นหลักทรัพย์ที่ถูกขนาดนั้นหรือไม่ แต่นี่ก็คือกลยุทธหนึ่งที่จะซื้อหุ้นหลักทรัพย์
หุ้นพลังงาน “ดั้งเดิม” บางตัว นี่คือหุ้นขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานที่มีมานาน หุ้นบางตัวนั้นขนาดใหญ่มากและทำธุรกิจหลากหลายเกี่ยวกับพลังงาน แม้ว่ากิจการจะมีกำไรผันผวนตามราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวไปเรื่อย ๆ แต่ในระยะยาวแล้ว กำไร “ปกติ” ของบริษัทก็อยู่ในระดับที่ใช้ได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มนี้มีขนาดใหญ่ทำให้ขาดแรง “เก็งกำไร” จากนักลงทุนรายย่อย นอกจากนั้น การเติบโตของกิจการเองก็ไม่สูง ทำให้ตลาดไม่ใคร่ให้คุณค่ามากนัก ถ้าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ที่ถือว่ายังมีหุ้นราคาถูกอยู่บ้างก็ควรจะต้องเข้าใจว่า ข้อแรก ราคานั้นไม่ได้ถูกมาก ข้อสอง การจะได้ผลตอบแทนมากและเร็วน่าจะยาก การลงทุนควรจะหวังว่าจะได้ผลตอบแทนพอสมควรและความเสี่ยงไม่สูง ส่วนกลยุทธการลงทุนก็เช่นเคย ต้องเน้นที่หุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน ขณะเดียวกัน ผลประกอบการก็จะต้องมีความสม่ำเสมอมั่นคงพอสมควร และปันผลที่ได้ก็ต้องค่อนข้างดี อย่างน้อยควรจะได้ถึง 4%ในปีล่าสุด
ทั้งหมดนั้นก็คือกลยุทธคร่าว ๆ ของการลงทุนในหุ้นถูก—ที่ยังเหลืออยู่บ้างในตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนนี้ สำหรับผมแล้ว มันเป็นการเลือกที่เรียกว่า “Second Best” คือ ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ และจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตนเองชอบหรือถนัด แต่มันยังดีกว่าการเก็บเป็นเงินสดไว้ในธนาคาร การลงทุนในหุ้นถูกแบบนี้ อาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ถือไว้ยาวนานมาก เราต้องคอยเฝ้าดูอยู่เสมอว่ามันถึงเวลาขายหรือยัง ไม่ใช่แค่ดูหุ้นตัวที่เราลงทุน แต่ต้องดูว่ามีโอกาสที่จะพบหุ้นตัวใหม่ที่ดีกว่าและถือลงทุนระยะยาวกว่าได้หรือไม่ ดังนั้น สำหรับผมแล้ว นี่คือการลงทุนที่อาจจะไม่ “ถาวร” แต่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้ และดังนั้น มันจะไม่ใช่ส่วนใหญ่ของพอร์ตของเรา
cr.ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากุล
Tuesday, June 10, 2014
IPO ร้อน ๆ
ตั้งแต่ปี 2552 หรือหลัง “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” เป็นต้นมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องยกเว้นก็อาจจะปีที่แล้วที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงเล็กน้อย ผลของมันก็คือ ทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ที่มุ่งมั่นจำนวนไม่น้อยร่ำรวยไปตาม ๆ กันจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในเวลาไม่นานเพียง 4-5 ปี เหตุผลที่นักลงทุนทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนได้มโหฬารนั้น นอกจากเรื่องของการที่ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวขึ้นสูงและเร็วมากแล้ว ยังอยู่ที่กลยุทธ์ในการลงทุนที่พวกเขาเน้นในหุ้นตัวเล็กที่มีการเติบโตสูงกว่าดัชนีโดยรวมมากด้วย นี่เป็นประเด็นแรก อีกประเด็นหนึ่งก็คือ VI หรือนักลงทุนผู้มุ่งมั่นเหล่านั้นยังมีการใช้มาร์จินหรือกู้เงินซื้อหุ้นในอัตราที่สูงมากซึ่งช่วย “ขยาย” ผลตอบแทนเป็นทวีคูณ ผลก็คือ ผลตอบแทนของนักลงทุนบางกลุ่มนั้นสูงลิ่วปีละหลายสิบหรือบางทีเป็นร้อย ๆ เปอร์เซ็นต์ และอาจจะทำให้หุ้นตัวเล็กเป็นหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยสนใจมากกว่าหุ้นตัวใหญ่มาก
อาการที่หุ้นตัวเล็กที่มีผลประกอบการที่ดีหรือมี Story หรือเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น “วิ่ง” ระเบิด เมื่อมีการ “โหม” เข้าซื้อของนักลงทุนนั้น ผมคิดว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงที่ “บูม” จัดเป็นกระทิง ยิ่งบูมนาน หุ้นดังกล่าวก็จะมีมากและบ่อยขึ้น แต่เมื่อการปรับตัวของดัชนีขึ้นไปสูงมากและนานพอจนอาจจะเริ่มชะลอตัว หุ้นตัวเล็กที่มีผลการดำเนินงานดีและมีสตอรี่เด่นก็ถูกค้นพบและมีราคาปรับตัวขึ้นไปจนเกือบหมด การวิ่งระเบิดของหุ้นตัวเล็กก็จะน้อยลง นักลงทุนจำนวนหนึ่งก็จะหันมาหาหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถมาทดแทน และนี่ก็คือหุ้นที่เข้าตลาดครั้งแรกหรือเข้ามาเทรดใหม่ที่เรียกกันว่าหุ้น IPO พวกเขาเข้ามาซื้อขายหุ้นเหล่านี้กันอย่าง “บ้าคลั่ง” โดยเฉพาะในวันแรก ๆ ของการเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นมักปรับตัวขึ้นไปสูงลิ่วจนไม่น่าเชื่อ ราคาหุ้นคิดตามค่า PE หรือ PB สูงหรือแพงมากพอ ๆ หรือมากกว่าหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ในฐานะของ VI เรามองหุ้น IPO อย่างไร?
ประการแรก ผมคิดว่าหุ้น IPO หลายตัวในภาวะตลาดบูมนั้น อาศัยสภาวะของการเก็งกำไรที่มีอยู่มากในตลาดหุ้นเข้ามาระดมทุนและสร้างมูลค่าของกิจการที่สูงกว่าความเป็นจริง พูดง่าย ๆ บริษัทสามารถขายบางส่วนของกิจการในราคาที่สูงกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น เงินที่บริษัทได้รับจากการขายหุ้น IPO นั้นมีมากพอที่จะทำให้บริษัท “สบาย” และสามารถที่จะ “เติบโต” เร็วขึ้นซึ่งสำหรับบริษัทนั้นแทบไม่มีอะไรจะเสียเลย ในส่วนของเจ้าของนั้น แม้ว่าสัดส่วนการถือหุ้นจะลดลงเมื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น แต่มูลค่ารวมของความมั่งคั่งวัดจากจำนวนและราคาของหุ้นที่ซื้อขายในตลาดก็มักจะสูงขึ้นมากจากเดิมที่ความมั่งคั่งนั้นวัดได้ไม่ชัดเจนเพราะไม่มีราคาซื้อขาย แต่สำหรับนักลงทุนที่เข้าไปซื้อหุ้น IPO นั้น พวกเขาได้อะไร?
ในระยะสั้น ในภาวะที่ตลาดหุ้นยังอยู่ในโหมดของความสดใส การซื้อ “หุ้นจอง” หรือหุ้น IPO ก่อนเข้าตลาดนั้นดูเหมือนว่าจะ “ปิดประตูขาดทุน” เหตุเพราะว่าวันแรกที่หุ้นเข้าตลาดนั้น การเก็งกำไรหรือแม้แต่ การ “ดูแลราคาหุ้น” ของเจ้าของหรือใครก็ตาม มักจะทำให้ราคาหุ้นสามารถขึ้นไปเหนือราคาจองเสมอ และถ้าโชคดี ราคาขึ้นไปสูงกว่าราคาจองหลายสิบเปอร์เซ็นต์หรือบางทีเป็นร้อย คนได้หุ้นจองก็ทำเงินได้ง่าย ๆ อย่างรวดเร็วจากการลงทุนไปเพียงไม่กี่วัน แต่ปัญหาก็คือ หุ้นจองในภาวะที่ตลาดหุ้นร้อนแรงนั้น “หาได้ยาก” ถ้าคุณไม่ได้เป็นนักเล่นหุ้นรายใหญ่หรือมีสายสัมพันธ์พิเศษกับเจ้าของบริษัทหรือผู้รับประกันการจำหน่ายหุ้น ส่วนการเข้าไปซื้อหุ้นที่เข้าใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ในวันแรก ๆ ของการซื้อขายนั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องของการเก็งกำไรล้วน ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า หุ้นจองหรือ IPO ในความเห็นของผมนั้น มักจะถูกตั้งราคาที่สูงกว่าพื้นฐานอยู่แล้วโดยที่ปรึกษาและรับประกันการจำหน่ายหุ้น และถ้าเราเข้าไปซื้อหุ้นในวันแรก ๆ ที่ราคาวิ่งสูงขึ้นไปอีก นั่นก็แปลว่าเรากำลังซื้อหุ้นที่ยิ่งสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก ดังนั้น ถ้าเราถือหุ้นลงทุนระยะยาว เราก็น่าจะขาดทุนมากกว่าที่จะกำไร เพราะในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นก็มักจะวิ่งเข้าสู่พื้นฐานของมัน
เหตุผลที่ผมเชื่อว่าหุ้น IPO ส่วนใหญ่นั้นถูกกำหนดให้มีราคาสูงกว่าพื้นฐานนั้น เป็นเพราะว่าราคานั้นมักถูกกำหนดโดยเจ้าของบริษัทที่รู้จัก “พื้นฐาน” ของบริษัทเป็นอย่างดี และขายให้กับนักลงทุนโดยทั่วไปที่มักจะไม่รู้จักกับบริษัทเลยหรือรู้จักแบบผิวเผินแต่มาซื้อหุ้นเพราะหวัง “เก็งกำไร” ในระยะสั้น ดังนั้น เขาจึงไม่สนใจมากนักว่าราคาจะแพงหรือถูก อาจจะมีข้อถกเถียงว่าคนที่กำหนดหรือคำนวณราคาหุ้น IPO คือผู้ที่รับประกันการจำหน่ายหุ้นซึ่งก็คือที่ปรึกษาการเงินที่มีความรู้ในการประเมินราคาหุ้นเป็นอย่างดี ดังนั้น ราคาหุ้นที่ขาย IPO ก็น่าจะเป็นราคาที่ยุติธรรม ว่าที่จริงโบรกเกอร์ก็มักจะพูดว่าราคาหุ้นที่ตั้งนั้นมี “ส่วนลด” จากราคาพื้นฐานด้วยซ้ำ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถ้าขายไม่หมดเขาก็ต้องรับซื้อหุ้น IPO นั้นไว้เอง ดังนั้น ราคาหุ้น IPO จึงไม่น่าจะแพงกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น แต่ข้อถกเถียงนี้ผมคิดว่าอาจจะไม่ถูกต้อง ข้อโต้แย้งของผมก็คือ ข้อแรก ที่ปรึกษาไม่รู้หรือไม่สามารถประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสมได้จริง ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะอิงตัวเลขบางตัวเช่น ค่า PE ของปีที่ผ่านมาหรือปีปัจจุบันที่กำลังจะมาถึงโดยที่บ่อยครั้งบริษัทนั้นไม่ได้มีผลประกอบการที่มั่นคงสม่ำเสมอพอที่จะใช้กำไรที่เห็นในช่วงสั้น ๆ มาประเมินมูลค่าหุ้นได้ เป็นต้น ข้อสอง โบรกเกอร์ไม่มีปัญหาในการขายหุ้น IPO ในช่วงที่ตลาดหุ้นบูม ดังนั้น เขาก็ไม่กลัวว่าจะขายหุ้น IPO ไม่ได้
เหตุผลที่ผมไม่ใคร่สนใจซื้อหุ้น IPO หลังจากเข้ามาเทรดในตลาดใหม่ ๆ อีกข้อหนึ่งก็คือ หุ้นเหล่านี้มักจะมีประวัติหรือข้อมูลผลประกอบการที่สั้นมากเพียง 2-3 ปีที่เปิดเผยให้เราเห็น นอกจากนั้น เนื่องจากเป็นบริษัทเอกชนมาก่อน ความน่าเชื่อถือของข้อมูลก็มักจะไม่เพียงพอ ที่สำคัญก็คือ ข้อมูลผลประกอบการปีล่าสุดเองนั้นก็มักจะต้องถูกทำให้ดูดีเพื่อที่ที่ปรึกษาการเงินจะได้สามารถตั้งราคาหุ้นให้สูงขึ้น ดังนั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ากำไรที่ดูดีนั้นมาจากการ “แต่งตัว” หรือทำให้ดูดีด้วยวิธีการทางบัญชีหรือเกิดจากกลยุทธ์ประเภทดึงกำไรให้เกิดก่อนแล้วค่อยไปลดกำไรในภายหลังหรือไม่ ทั้งหมดทั้งปวงนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าผมอาจจะไม่เข้าใจหรือรู้จักบริษัทจริง ๆ และเป็นความเสี่ยง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ หุ้นใหม่ ๆ เหล่านี้มีอัตราของการเก็งกำไรสูงมากมองจากอัตราการหมุนเวียนเปลี่ยนมือของหุ้นที่สูงลิ่ว ดังนั้น ราคาหุ้นก็มักจะสูงกว่าความเป็นจริง ผมจึงมักเลือกที่จะไม่เข้าไปยุ่งหรือซื้อขายหุ้น IPO โดยเฉพาะการซื้อขายหลังจากเข้าตลาดไปแล้ว
แน่นอนว่ามีหุ้น IPO บางตัวที่ “ร้อนแรง” ตั้งแต่วันเปิดจอง ร้อนแรงมากในวันที่เข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เนื่องจากภาวะตลาดที่เอื้ออำนวยและผลประกอบการของบริษัทที่ประกาศออกมาดูน่าประทับใจรวมถึงการคาดการณ์อนาคตที่ดูสดใส หรือร้อนแรงมากเนื่องจากเหตุผลที่ว่ามันเป็นหุ้นตัวเล็กที่มีหุ้นจำนวนน้อยและอาจจะมีคนที่เล่นหรือ “ดูแล” หุ้นอย่างมีประสิทธิผล แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นก็จะต้องสะท้อนถึงพื้นฐานที่แท้จริงของมัน และนั่นก็มักจะเกิดขึ้นเมื่อตลาดหุ้นซบเซาหรือนักลงทุนหมดความสนใจในตัวหุ้นเนื่องจากผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่คนคาดหวัง ราคาหุ้นก็จะตกลงมาอย่างหนักและคนที่ซื้อหุ้นไว้ก็จะเสียหาย ดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว ถ้าผมได้หุ้นจองมา ผมก็มักจะขายหุ้นค่อนข้างเร็วหลังจากที่มันเข้าซื้อขายในตลาด โอกาสที่ผมจะถือเก็บไว้ยาวนานมีน้อย โอกาสที่ผมจะซื้อหุ้น IPO ที่เข้าตลาดใหม่ ๆ เพื่อเก็บไว้ยาวเพื่อลงทุนแทบจะไม่มีเลย เมื่อผมยังเป็นเด็กนั้น มีเนื้อเพลงเกี้ยวสาวยอดนิยมประโยคหนึ่งบอกว่า “เก่า ๆ เป็นสนิม ใหม่ ๆ หน้าตาจุ๋มจิ๋ม” แต่ในตลาดหุ้นนั้น ผมคิดว่าหุ้น เก่า ๆ นั้นไม่เป็นสนิมและหุ้นใหม่ ๆ นั้นหน้าตาก็ไม่จุ๋มจิ๋ม ครับ
CR. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากุล
ลงทุนในสุขภาพ
ผมพูดเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนมานานมากน่าจะประมาณ 20 ปีมาแล้ว เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องของเงินทอง หลักการสำคัญของการลงทุนก็คือการ “อดหรือเลื่อนการบริโภคหรือการใช้เงินในวันนี้เพื่อที่จะสามารถบริโภคหรือใช้เงินได้มากขึ้นในวันข้างหน้า” แต่การ “ลงทุน” นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องของเงินทองแต่เพียงอย่างเดียว เรื่องอื่น ๆ ที่เราสามารถอดหรือเลื่อนออกไปในตอนนี้เพื่อที่จะได้สามารถใช้ได้มากขึ้นหรือดีขึ้นในวันข้างหน้าก็เป็นการลงทุนเหมือนกัน ว่าที่จริงมีเรื่องอื่น ๆ อีกไม่น้อยที่การลงทุนมีความสำคัญไม่แพ้เรื่องของเงินทอง หนึ่งในนั้นก็คือการลงทุนกับ “สุขภาพ” นี่คือการลงทุนในเรื่องของการ “ใช้” ร่างกายและจิตใจในวันนี้อย่าง “ถนอมรักษา” เพื่อที่จะได้สามารถใช้มันได้มากขึ้นและ/หรือดีขึ้นในวันข้างหน้า—เมื่อร่างกายของเราเข้าสู่โหมดเสื่อมโทรมตามอายุของเรา
การลงทุนในสุขภาพนั้นก็อาจจะคล้าย ๆ กับการลงทุนในเงินทองในแง่ที่ว่าในยามที่เรายังเป็นหนุ่มสาวเรามักจะไม่ใคร่สนใจที่จะทำนักเนื่องจากความจำเป็นยังมีน้อยนั่นก็คือ ในยามที่เป็นหนุ่มสาว เรามักจะยังมีสุขภาพที่ดีหรือมีเงินใช้เพียงพอจากการทำงาน เราไม่เห็นความจำเป็นมากนักที่จะต้องดูแลสุขภาพหรือต้องเก็บเงินเพื่อลงทุน เราอยากจะใช้มันให้ “เต็มที่กับชีวิต” สำหรับวันนี้มากกว่าที่จะเลื่อนออกไปในวันข้างหน้า เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เราอาจจะตายเสียก่อนหรือถึงวันนั้นการมีเงินใช้มากก็ไม่มีประโยชน์ถ้าเราไม่มี “แรง” ที่จะใช้มัน ทั้งหมดนั้นก็มักจะเป็นความคิดของคนที่ยังไม่เคยแก่ ยังไม่รู้สึกถึงคุณประโยชน์ของการมีเงินหรือมีสุขภาพที่ดีในวันที่ตนเองแก่ตัวลง แต่สำหรับผมซึ่งผ่านชีวิตทั้งสองแบบมาแล้วผมคิดว่าคนเราต้อง “ลงทุน” ในทั้งสองเรื่องอย่างจริงจังตั้งแต่อายุยังน้อย การลงทุนจะช่วยเพิ่ม “ผลประโยชน์รวม” หรือ “ความสุขโดยรวม” ในชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ พูดง่าย ๆ ถ้าเราลงทุนอย่างพอเหมาะทั้งในเรื่องของการเงินและสุขภาพตั้งแต่ยังเด็ก โอกาสที่เราจะมีความสุขในชีวิตตลอดชั่วอายุขัยจะสูงขึ้นมาก ถ้าเราไม่ลงทุนหรือลงทุนน้อย ชีวิตเราอาจจะมีความสุขสูงขึ้นในช่วงอายุไม่มากยังแข็งแรง แต่เมื่อแก่ตัวลง ความสุขแทบจะไม่เหลือ เราจะลำบากตอนแก่ ถ้านำมาเฉลี่ยกัน ความสุขโดยรวมของเราก็จะน้อยลงไปมาก
การลงทุนในสุขภาพนั้นไม่เหมือนเงินทองในแง่ที่ว่า ถ้าเรา “ไม่ใช้” ร่างกายหรือใช้น้อย แบบนี้ไม่ใช่การลงทุน ในทางตรงกันข้าม การ “ใช้” ร่างกายมากเกินไป ก็ไม่ใช่การลงทุนเหมือนกัน การลงทุนในสุขภาพนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เราต้องทำให้พอเหมาะในแต่ละเรื่องและเราจะต้องรู้จริงและเข้าใจร่างกายและการทำงานของมัน โดยหลักการก็คือ เราจะต้องดูแลรักษาให้ทุกส่วนของร่างกายทำงานได้เต็มหรือเกือบเต็มประสิทธิภาพแต่ไม่เกินกำลังในแต่ละช่วงเวลา และคำว่าทุกส่วนนั้นรวมถึงที่อยู่ภายในที่เรามองไม่เห็นเช่นตับไตไส้พุงและสมองของเราด้วย และนี่ก็ทำให้การลงทุนในร่างกายหรือสุขภาพเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรและต้องการการศึกษาทำความเข้าใจกับมันคล้าย ๆ กับการลงทุนเหมือนกัน
หัวใจของการรักษาและดูแลสุขภาพซึ่งจะเป็นการ “ลงทุน” ที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การออกกำลังที่พอเหมาะตลอดช่วงอายุของเรา การออกกำลังกายนั้นช่วยให้กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง ทั้งสองสิ่งนี้จะช่วยเรารักษาโครงของร่างกายเราในยามที่เราแก่ตัวลง ซึ่งบางคนจะมีอาการกระดูกเปราะหรือบางซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการแตกหักหรือกล้ามเนื้อไม่แข็งแรงเสี่ยงต่อการที่ข้อต่อกระดูกจะมีปัญหาต่าง ๆ เช่นหมอนรองกระดูกเคลื่อน เป็นต้น อาการเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้นแล้วคุณภาพชีวิตคงเสียไปไม่น้อย นอกจากนั้น การออกกำลังสม่ำเสมอยังช่วยในเรื่องของหัวใจและระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้มัน “แก่” ช้าลง รวมไปถึงสมองที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดด้วย ประเด็นสำคัญที่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ก็คือการออกกำลังมาก “เกินปกติ” เช่น นักกีฬาหรือคนที่เล่นกล้ามเพาะกายนั้น เป็นการ “ลงทุน” หรือการ “ใช้” ร่างกายกันแน่ หรือพูดง่าย ๆ มันคุ้มไหมที่จะทำอย่างนั้น? ผมเองเคยพบเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบวิ่งจ็อกกิ้งมากจนน่าจะเรียกได้ว่า “ติด” เขาวิ่งแทบทุกวันวันละเป็นสิบ ๆ ก.ม. ดูจากภายนอกเขาจะผอมเกร็งไม่มีไขมันเลย ร่างกายดูแข็งแรงยิ่งกว่าหนุ่มวัยรุ่นทั้ง ๆ ที่อายุน่าจะ 40 ปีแล้ว ต่อมาเมื่อพบเขาอีกครั้งหนึ่งเขาบอกว่าเขาเป็นมะเร็ง เหตุผลเขาบอกว่าอาจจะเกิดจากการที่เขาใช้พลังมากเกินไปและกินเนื้อสัตว์มากเพื่อชดเชยเสริมสร้างกล้ามเนื้อซึ่งก่อให้เกิดมะเร็ง นั่นเป็นการบอกเป็นนัยว่า เขาใช้ร่างกายเกินไป
อาหารน่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อสุขภาพไม่น้อย การ “ลงทุน” ในเรื่องนี้ ไม่ใช่การกินแต่อาหารคุณภาพสูงราคาแพงอย่างเนื้อสัตว์หรืออาหารที่อร่อยที่มักมีไขมันหรือความหวานสูง ตรงกันข้าม การลงทุนในเรื่องนี้หมายความว่าเราจะต้อง “อด” หรือหักห้ามจิตใจที่อยากจะกินอาหารดังกล่าวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประเด็นหลักก็คือ การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่อ้วน เพราะน้ำหนักตัวที่เกินกว่าปกตินั้นมักจะเป็นสาเหตุของโรคและความไม่สบายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในตอนที่เราแก่ตัวลง เช่น โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันและอื่น ๆ ซึ่งโรคเหล่านี้มักจะ “เรื้อรัง” และทำให้คุณภาพชีวิตของเราลดลงไปมาก นอกจากอาหารตามปกติแล้ว การลงทุนในสุขภาพอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องการการควบคุมจิตใจตัวเองสำหรับบางคนก็คือ การบริโภค “สารพิษ” หรือสิ่งที่จะทำลายอวัยวะบางอย่างของร่างกายเช่น การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้บ่อย ๆ การสูบบุหรี่หรือยาเสพติดอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ในช่วงเวลาหนึ่งเราอาจจะไม่เห็นว่ามีผลอะไรต่อร่างกายเรา อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวแล้วผมคิดว่าร่างกายมันจะ “ฟ้อง” การทำงานของตับหรือปอดอาจจะแย่ลงมากหรือบางคนอาจจะร้ายแรงถึงขนาดตับแข็งหรือเป็นมะเร็งในปอดหรือตับได้
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ความคิดเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพได้พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่งนั่นก็คือ การเกิดขึ้นของ “Anti Ageing” หรือการ “ชะลอวัย” ในวงการแพทย์ นี่คือการใช้ศาสตร์ทางการแพทย์และสุขภาพหลาย ๆ ด้านมาแนะนำหรือมาดูแลรักษาผู้สูงวัยไม่ให้ “แก่” ตัวเร็วหรือมีปัญหาทางสุขภาพเนื่องจากความเสื่อมโทรมของร่างกายมากเกินไป หมอบางคนก็คิดถึงขนาด “ลดวัย” ให้กับคนไข้ที่มารับการรักษา กระบวนการหรือวิธีของหมอที่ทำเรื่องชะลอวัยนั้น นอกจากเรื่องของการออกกำลังและการกินอาหารซึ่งรวมถึงวิตามินแล้ว ยังรวมถึงการ “ปรับ” ปริมาณฮอร์โมนในร่างกายของเราด้วย เพราะปริมาณฮอร์โมนในร่างกายนั้น มีส่วนสำคัญมากต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย ว่ากันถึงขนาดว่า ฮอร์โมนนั้นเป็นตัวกำหนดว่าเราจะเป็นหนุ่มสาวหรือเราจะแก่กันเลยทีเดียว แต่การทำเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ก็มีต้นทุนที่สูงทั้งเรื่องของการตรวจวิเคราะห์ ยาหรืออาหารเสริม และที่สำคัญค่าที่ปรึกษาแนะนำของแพทย์และบุคลากรด้านต่าง ๆ และนี่ก็คือ “การลงทุน” ในสุขภาพที่เป็นเม็ดเงินจริงสำหรับคนที่เชื่อหรือสนใจที่จะลอง เรื่อง Anti Ageing นี้ ยังเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะคุ้มไหมสำหรับคนทั่วไป อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่อายุมากและมีเงินมากแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะคุ้มที่จะลงทุนจ่ายเงิน และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำต่างก็เสนอบริการนี้
สุดท้าย การลงทุนในเรื่องของสุขภาพนั้นก็ไม่ได้ต่างจากการลงทุนในเรื่องการเงินในแง่ที่ว่า ผลลัพธ์ปลายทางนั่นคือ ความมั่งคั่งหรือสุขภาพที่ดีโดยรวมของแต่ละคนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญอย่างน้อย 3 ประการนั่นก็คือ หนึ่ง ต้นทุนเดิมของแต่ละคนที่มีอยู่ คนที่มี “ยีนส์” ดี ย่อมได้เปรียบคนที่มีกรรมพันธุ์ที่ไม่แข็งแรงซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับ “ดวง” ของแต่ละคน สอง การดูแลรักษาสุขภาพที่ดีและถูกต้องตามหลักวิชาซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่สูงต่อสุขภาพ และสุดท้ายก็คือ ระยะเวลาของการปฏิบัติตามแนวทางนั้นอย่างมีวินัยสูง ถ้าทำได้เช่นนี้ เราก็จะมีสุขภาพที่ดีโดยรวมตลอดอายุขัย และนี่ก็คือการลงทุนในชีวิตที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งไม่แพ้การลงทุนในเรื่องของเงินทอง
cr.ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากุล
Subscribe to:
Posts (Atom)