Thursday, June 19, 2014

กลยุทธการลงทุนในหุ้นถูก by ดร.นิเวศน์

     
   
           ในช่วงที่ผมเริ่มเป็น VI ใหม่ ๆ เกือบ 20 ปีมาแล้วนั้น  ผมเน้นซื้อหุ้นที่มีราคาถูก  เหตุผลก็เพราะว่าในช่วงนั้นตลาดหุ้นตกต่ำมาก  หุ้นในตลาดแทบทุกตัวต่างก็มีราคา  “ถูก”  การซื้อหุ้นที่มีราคาถูกจึงทำได้ง่าย  กลยุทธการลงทุนของผมในตอนนั้นก็คือการซื้อหุ้นที่มีคุณภาพพอใช้ได้แต่มีราคาถูกมาก   หรือไม่ก็เป็นหุ้นที่มีคุณภาพดีราคาถูกพอสมควรทีเดียว  ต่อมาเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้นพร้อม ๆ  กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ  ราคาหุ้นทั่วไปในตลาดก็ไม่ถูกเหมือนเดิมแต่ก็ยังค่อนข้างถูก   กลยุทธการลงทุนของผมก็เปลี่ยนแปลงไป  ผมหันมาลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพดีมากที่มีราคาถูกหรือราคา  “ไม่แพง”  เป็นแนวลงทุนแบบ  Super Stock  จวบจนถึงปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเป็นปกติแล้วและตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นมาเต็มที่ตามพื้นฐานที่ควรจะเป็น  ส่งผลให้หุ้นจำนวนมากโดยเฉพาะหุ้นซุปเปอร์สต็อกมีราคาแพงขึ้นมากจนแทบจะไม่เหลือ Margin of Safety หรือส่วนเผื่อความปลอดภัยในการลงทุน   ปัญหาของผมก็คือ  ถ้าเราได้รับปันผลมาหรือขายหุ้นบางตัวทิ้งเราควรจะเอาเงินไปลงทุนแบบไหน?  และนี่นำมาสู่ประเด็นที่ผมจะพูด  นั่นก็คือ  กลยุทธการลงทุนในหุ้นถูก—ที่ยังเหลืออยู่บ้างในตลาดหลักทรัพย์

             ในภาวะปัจจุบันของตลาดหุ้นนั้น  เรายังมีกลุ่มธุรกิจหลายกลุ่มที่มีหุ้นราคาถูกอยู่ในความหมายที่ว่า  ค่า PE  ยังต่ำกว่าหรือประมาณ 10 เท่าต้น ๆ    ค่า PB ไม่ถึง 1 หรือหนึ่งเท่าเศษ ๆ  และผลตอบแทนเงินปันผลมากกว่า 3-4% ของปีล่าสุด  การที่หุ้นมีราคาถูกนั้น   ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพราะว่าหุ้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่ดีหรืออาจจะมีปัญหาการทำกำไรในอนาคตทำให้ตลาดไม่ให้คุณค่ามันเท่ากับธุรกิจกลุ่มอื่น ๆ   อย่างไรก็ตาม  “ตลาดอาจจะผิด”  ในบางอุตสาหกรรมหรือในหุ้นบางตัว   ดังนั้น  กลยุทธการลงทุนในหุ้นถูกของผมนั้น  หลัก ๆ แล้วก็คือ  พยายามหาหุ้นที่  “ถูกมาก”  ที่ตัวธุรกิจหรือกิจการอาจจะไม่  “เลวร้าย”  อย่างที่ตลาดหรือนักลงทุนทั่ว ๆ  ไปคิด  ลองมาดูกันไปทีละกลุ่มที่อาจจะเป็นเป้าหมายในการลงทุนเนื่องจากว่าเป็นหุ้นกลุ่มที่ยังมีราคาถูกหรือไม่แพงในยามนี้

              หุ้นกลุ่มแรกที่ยังถูกอยู่และก็คงถูกไปเรื่อย ๆ  ก็คือหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม  “ตะวันตกดิน”  เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร  ผู้ผลิตสิ่งทอที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มแฟชั่น  และอุตสาหกรรมเหล็ก  เป็นต้น  หุ้นในกลุ่มนี้มีปัญหาว่าในระยะยาวแล้วอาจจะไม่สามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่นซึ่งทำให้ธุรกิจต้องค่อย ๆ  หดตัวลง  ดังนั้น  การลงทุนในหุ้นถูกกลุ่มนี้จึงไม่มีประโยชน์  โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจะยากมาก  กลยุทธก็อาจจะเป็นว่าเราไม่สนใจจะดู  อย่างไรก็ตาม  คนที่เข้าใจกิจการอย่างลึกซึ้งก็อาจจะหาหุ้นที่ไม่ได้ผลิตสินค้า  “ตะวันตกดิน”  อย่างที่คนอื่นคิดแม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจเหล่านั้น   ถ้าพบบริษัทที่มีอนาคตแต่ราคาถูกมากก็สามารถลงทุนได้  ประเด็นสำคัญก็คือ   เราไม่ควรมองผลประกอบการระยะสั้นแล้วเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มตะวันตกดินแม้ว่าหุ้นจะมีราคาถูกมาก

              หุ้นกลุ่มต่อมาที่ยังมีหุ้นราคาถูกอยู่บ้างก็คือหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทสร้างบ้านขายอานิสงค์จากการที่ราคาหุ้นในกลุ่มปรับตัวลงเมื่อเร็ว ๆ  นี้จากผลกระทบเรื่องภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่อ่อนตัวลง    การที่หุ้นขายบ้านจัดสรรหรือทำคอนโดมีราคาถูกนั้นเป็นเพราะธุรกิจนี้อาจจะค่อนข้าง  “อิ่มตัว”  และมีคู่แข่งมาก  อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่มีความผันผวนสูงตามภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในประเทศ  ดังนั้น  โดยปกติที่หุ้นอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้มีราคาถูกจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุผล  การที่จะหวังให้หุ้นมีค่า PE ที่สูงขึ้นจึงอาจจะหวังไม่ได้มากนัก  ดังนั้น  ถ้าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้  นอกจากหุ้นจะต้องถูกมากแล้ว  ผมคิดว่าจะต้องเป็นบริษัทที่จะมีกำไรมากขึ้นอย่างน้อยในช่วงหนึ่งถึงสองปีข้างหน้าอย่างค่อนข้างแน่  เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น  ด้วยกำไรที่เพิ่มขึ้น  ราคาหุ้นก็น่าจะเพิ่มขึ้นตาม  โดยที่ค่า PE ก็ยังเท่าเดิมหรือไม่น่าจะต่ำลง  แต่ถ้าโชคดี  ค่า  PE  ก็เพิ่มขึ้นด้วยเราก็จะได้  “สองเด้ง”   ส่วนข้อที่ต้องระวังก็คือ  อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน  ถ้ามีการปรับขึ้นแรง  ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวลง  เช่นเดียวกัน  ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำลงไปอีก การซื้อบ้านก็อาจจะลดลงมาก  และนั่นทำให้การลงทุนในหุ้นอสังหาริมทรัพย์มีความเสี่ยงพอสมควร

             หุ้นกลุ่มใหญ่มากกลุ่มหนึ่งที่ยังมีหุ้นราคาถูกอยู่พอสมควรก็คือหุ้นธุรกิจการเงินซึ่งรวมถึงหุ้น ธนาคาร  เงินทุน  และหลักทรัพย์  หุ้นในกลุ่มนี้ที่นักลงทุนให้คุณค่าน้อยทำให้มีค่า PE PB ไม่สูง  และปันผลตอบแทนค่อนข้างดีนั้น  เป็นเพราะเรื่องของความเสี่ยงที่ “รุนแรง”  ในกรณีของบริษัทที่อิงอยู่กับการปล่อยกู้อย่างธนาคารพาณิชย์และบริษัทให้สินเชื่อเช่าซื้อทั้งหลาย  โดยที่บริษัทเหล่านี้อาจจะประสบกับปัญหาหนี้เสียที่รุนแรงซึ่งจะทำให้บริษัทขาดทุนหนักหรืออาจจะล้มละลายได้เนื่องจากจำนวนเงินปล่อยกู้นั้นสูงมากเมื่อเทียบกับส่วนทุนของบริษัทเอง  ส่วนในกรณีของธุรกิจหลักทรัพย์เองนั้น  การแข่งขันในธุรกิจรุนแรงและมักเป็นการแข่งขันกันทางด้านของราคาเป็นหลัก  ในอีกด้านหนึ่งนั้น   ปริมาณการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทโบรกเกอร์เองนั้น  ก็มีความไม่แน่นอนสูงขึ้นอยู่กับภาวะของตลาด  ซึ่งทำให้รายได้และกำไรของบริษัทมีความไม่แน่นอนสูงมาก  ดังนั้นราคาหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์จึงไม่สามารถจะแพงเหมือนธุรกิจอื่นที่มีความแน่นอนกว่า

              กลยุทธการลงทุนในธุรกิจปล่อยเงินกู้ไม่ว่าจะเป็นแบงค์หรือบริษัทให้กู้เช่าซื้อนั้น  ผมคิดว่าการที่หุ้นมีราคาค่อนข้างถูกในช่วงนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกลัวเรื่องหนี้เสียที่อาจจะเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะในด้านของบุคคลธรรมดา  ดังนั้น กลยุทธที่ควรใช้ก็คือ  เราควรเลือกหุ้นที่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มที่ราคาก็ถูกอยู่แล้ว  นอกจากนั้น  เราควรต้องดูว่าหนี้เสียของบริษัทนั้นจะสามารถควบคุมได้ไม่สูงเกินไป  นอกจากนั้น  ความสม่ำเสมอของผลงานในอดีตก็ควรจะต้องเป็นปัจจัยประกอบในการวิเคราะห์ด้วย  ส่วนธุรกิจหลักทรัพย์นั้น  ผมคิดว่าถ้าจะลงทุนควรจะเน้นที่ความถูกมาก ๆ  เช่น  เฉพาะเงินสดที่มีในบริษัทก็อาจจะมากกว่าราคาหุ้นแล้ว  ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าเลิกบริษัทเอาเงินมาแบ่งกันก็อาจจะคุ้มแล้ว  ผมเองไม่ทราบว่ายังมีหุ้นหลักทรัพย์ที่ถูกขนาดนั้นหรือไม่  แต่นี่ก็คือกลยุทธหนึ่งที่จะซื้อหุ้นหลักทรัพย์

              หุ้นพลังงาน “ดั้งเดิม” บางตัว  นี่คือหุ้นขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานที่มีมานาน  หุ้นบางตัวนั้นขนาดใหญ่มากและทำธุรกิจหลากหลายเกี่ยวกับพลังงาน   แม้ว่ากิจการจะมีกำไรผันผวนตามราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวไปเรื่อย ๆ  แต่ในระยะยาวแล้ว  กำไร  “ปกติ”  ของบริษัทก็อยู่ในระดับที่ใช้ได้  อย่างไรก็ตาม  หุ้นในกลุ่มนี้มีขนาดใหญ่ทำให้ขาดแรง  “เก็งกำไร” จากนักลงทุนรายย่อย  นอกจากนั้น  การเติบโตของกิจการเองก็ไม่สูง  ทำให้ตลาดไม่ใคร่ให้คุณค่ามากนัก  ถ้าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ที่ถือว่ายังมีหุ้นราคาถูกอยู่บ้างก็ควรจะต้องเข้าใจว่า  ข้อแรก  ราคานั้นไม่ได้ถูกมาก  ข้อสอง  การจะได้ผลตอบแทนมากและเร็วน่าจะยาก  การลงทุนควรจะหวังว่าจะได้ผลตอบแทนพอสมควรและความเสี่ยงไม่สูง  ส่วนกลยุทธการลงทุนก็เช่นเคย  ต้องเน้นที่หุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน  ขณะเดียวกัน  ผลประกอบการก็จะต้องมีความสม่ำเสมอมั่นคงพอสมควร  และปันผลที่ได้ก็ต้องค่อนข้างดี  อย่างน้อยควรจะได้ถึง 4%ในปีล่าสุด

              ทั้งหมดนั้นก็คือกลยุทธคร่าว ๆ  ของการลงทุนในหุ้นถูก—ที่ยังเหลืออยู่บ้างในตลาดหลักทรัพย์  การลงทุนนี้  สำหรับผมแล้ว  มันเป็นการเลือกที่เรียกว่า  “Second Best”  คือ  ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้  และจริง ๆ  ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตนเองชอบหรือถนัด  แต่มันยังดีกว่าการเก็บเป็นเงินสดไว้ในธนาคาร  การลงทุนในหุ้นถูกแบบนี้  อาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ถือไว้ยาวนานมาก  เราต้องคอยเฝ้าดูอยู่เสมอว่ามันถึงเวลาขายหรือยัง  ไม่ใช่แค่ดูหุ้นตัวที่เราลงทุน  แต่ต้องดูว่ามีโอกาสที่จะพบหุ้นตัวใหม่ที่ดีกว่าและถือลงทุนระยะยาวกว่าได้หรือไม่  ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  นี่คือการลงทุนที่อาจจะไม่  “ถาวร”  แต่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้  และดังนั้น  มันจะไม่ใช่ส่วนใหญ่ของพอร์ตของเรา

cr.ดร.นิเวศน์  เหมวชิรวรากุล