Thursday, July 16, 2015

ค้นฟ้าคว้าดาว /ดร.นิเวศน์



กระบวนการที่ยากและสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการลงทุนแบบ VI ก็คือ การค้นหาหุ้นที่จะลงทุน เหตุผลก็คือ มีหุ้นที่เป็นบริษัทจดทะเบียนกว่า 500 บริษัท ที่ทำธุรกิจหลากหลายมากมาย บริษัทเหล่านี้อยู่ใน “ช่วงชีวิต” ต่าง ๆ เช่น กำลังเริ่มต้น เติบโต เติบโตเร็ว อิ่มตัว ตกต่ำ ซึ่งเราไม่รู้ นอกจากนั้น ราคาหุ้นของแต่ละบริษัทก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาซึ่งทำให้ความน่าสนใจของหุ้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเช่นกัน ดังนั้น การมองหาหุ้นที่จะเข้าไปศึกษาและลงทุนจึงเป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้เวลา ต่อไปนี้คือวิธีการหาหุ้นที่ VI รวมถึงผมมักจะใช้

วิธีแรกที่น่าจะง่ายที่สุดก็คือ การติดตามบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ โดยเฉพาะโบรกเกอร์หลาย ๆ แห่งที่จะมีการนำเสนอหุ้นที่ “น่าสนใจ” เป็นหุ้นที่เขาแนะนำให้ซื้อหรือบางครั้งแนะนำให้ซื้อ “อย่างแรง” วิธีนี้มีข้อดีก็คือ เราไม่ต้องไปหาให้เสียเวลา หุ้นถูกเสิร์ฟให้เราถึงที่ แต่ข้อเสียก็คือ เขามักจะวิเคราะห์และแนะนำเฉพาะหุ้นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาและมีสภาพคล่องในการซื้อขายมากพอ ซึ่งอาจจะมีหุ้นเพียง 200-300 ตัวเท่านั้นที่โบรกเกอร์ครอบคลุม ประเด็นก็คือ หุ้นที่เขาแนะนำให้ซื้อนั้น บ่อยครั้งมีราคาและปริมาณการซื้อขายปรับตัวขึ้นมาแล้ว ดังนั้น ความน่าสนใจก็จะลดลงเพราะราคาหุ้นแพงขึ้น ในบางกรณี โดยเฉพาะหุ้นที่มีขนาดเล็กลงมาหน่อยและสภาพคล่องมีไม่มากนั้น ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาสูงลิ่วแล้วก่อนที่เขาจะแนะนำ ดังนั้น การหาหุ้นจากวิธีการนี้ เราจะต้องระวังว่ามันอาจจะไม่ถูกในแง่ของ VI การเข้าไปซื้ออาจจะเป็นการ “เก็งกำไร” ก็ได้

วิธีที่สอง สำหรับคนที่ขยันและมีเวลา เช่น คนที่ “ลงทุนเป็นอาชีพ” อาจจะติดตามเข้าร่วมฟังรายการ “บริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน” หรือที่เรียกว่า “Opportunity Day” ที่มีการจัดที่ตลาดหลักทรัพย์เป็นประจำเกือบทั้งปี นี่คือรายการที่ผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนจำนวนมาก มาบรรยายและให้ข้อมูลรวมทั้งตอบคำถามเกี่ยวกับบริษัทแก่นักลงทุน รายการนี้จึงเป็นช่องทางในการที่เราจะได้ข้อมูลค่อนข้างลึกเกี่ยวกับบริษัทรวมถึงในหลาย ๆ กรณี ได้พบกับผู้บริหารสูงสุดของบริษัทจดทะเบียนซึ่งบางคนบอกว่าจะได้ดู “โหงวเฮ้ง” ว่าน่าจะเป็นคนมีความสามารถและไว้ใจได้แค่ไหน และนั่นก็คือข้อดีของการไปหา ศึกษา และวิเคราะห์หุ้นจากงาน “อ็อปเดย์” อย่างไรก็ตาม ข้อเสียก็อาจจะมีเหมือนกัน นั่นคือ การไปฟังบริษัทมาก ๆ นั้น บางทีก็ทำให้เรา “เคลิ้ม” ได้เหมือนกัน กล่าวคือ บริษัทอาจจะให้แต่ภาพที่ดี ๆ และพยามพูดให้เราเชื่อว่าเขาดีกว่าปกติ เรา ที่มีความรู้น้อยกว่าก็จะคล้อยตามโดยที่ไม่ได้ไปหาข้อมูลจากแหล่งอื่นเพิ่มและทำให้เราวิเคราะห์ผิดพลาดไปได้

ช่องทางที่สามในการหาหุ้นก็คือ การใช้ “ตะแกรงร่อนหุ้น” นี่คือการใช้ข้อมูลเชิงปริมาณในการคัดเลือกหุ้นที่มีผลประกอบการและงบการเงิน อัตราส่วนทางการเงิน อัตราส่วนที่แสดงความถูกความแพงของหุ้น มาเป็นตัวคัดกรองเพื่อที่จะศึกษาตัวหุ้นที่มีคุณสมบัติที่เราต้องการ ตัวอย่างเช่น บางคนจัดเรียงหุ้นที่มีค่า PE ต่ำที่สุดจนถึงหุ้นที่มีค่า PE สูงที่สุด จากนั้นจึงคัดเลือกเฉพาะหุ้นที่มีค่า PE ต่ำที่สุดไม่เกิน 20 ตัวเพื่อนำมาศึกษาต่อเป็นต้น หรือบางคนอาจจะมองบริษัทที่มีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่สูงที่สุดเป็นตะแกรงที่จะคัดกรองหุ้น เป็นต้น ข้อดีของแนวทางนี้ก็คือ มันทำได้อย่างรวดเร็วและค่อนข้างจะทั่วถึงคือเราจะไม่พลาดหุ้นที่มีคุณสมบัติที่น่าสนใจเลยเพราะมันทำโดยคอมพิวเตอร์ และหลังจากนั้นเราค่อยมาดูข้อมูลเป็นรายตัวว่าเราสนใจตัวไหนเป็นพิเศษ ส่วนข้อเสียก็คือ ข้อมูลที่เป็นเชิงปริมาณนั้น มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและมันไม่ได้บอกว่าอนาคตจะเป็นแบบนั้นต่อไปหรือไม่ และบางทีมัน “หลอก” ให้เราเข้าใจผิดในคุณสมบัติเชิงคุณภาพได้ ความยุ่งยากอีกอย่างหนึ่งก็คือ หลาย ๆ คนรวมถึงผมด้วยนั้น ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะเขียนหรือรันโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบนี้ได้

ช่องทางที่สี่ในการหาหุ้นลงทุนก็คือ การติดตามอ่านข่าวสารในหน้าข่าวธุรกิจและข่าวอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนและอาจจะมีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนอย่างมีนัยสำคัญ ว่าที่จริงผมหมายรวมถึงการดูและฟังจากสื่อทุกชนิด เพียงแต่การอ่านนั้นมักจะให้ข้อมูลที่มากและเร็วกว่าช่องทางอื่น นี่คือการ “อ่านเพื่อหาหุ้น” ไม่ใช่การอ่านผ่าน ๆ ความแตกต่างก็คือ เมื่อเราอ่านแล้วเราจะต้องคิดต่อว่าหุ้นกลุ่มไหนหรือตัวไหนจะได้ประโยชน์และตัวไหนจะเสียประโยชน์ บริษัทไหนจะชนะและบริษัทไหนจะแพ้ในระยะยาว เทรนด์ของธุรกิจไหนจะมาและอุตสาหกรรมไหนจะตกต่ำลง การหาหุ้นจากช่องทางนี้ เป็นการหาหุ้นที่ใช้เวลามากแต่ก็จำเป็น เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องของการหาหุ้นลงทุนใหม่ ๆ แล้ว มันยังเป็นเรื่องของการติดตามข้อมูลของหุ้นตัวเดิมที่ยังอยู่ในพอร์ตด้วยว่าเราควรถือต่อหรือขายทิ้ง

ช่องทางที่ห้าก็คือ การหาหุ้นโดยการถามหรือติดตามความเคลื่อนไหวของ “เซียนหุ้น” หรือบางทีเรียกว่า “CI” หรือ “เล่นหุ้นตามเซียน” นี่คือวิธีการหาหุ้นที่ง่ายและอาจจะให้ผลดี เพราะอย่างน้อยเขาก็คิดว่า ถ้า “เซียน” ซื้อหรือถือหุ้นไว้ หุ้นก็น่าจะดี เพราะเซียนนั้นก็คงต้องวิเคราะห์กันมาเป็นอย่างดีแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด เขาคิดว่าคงจะมีคนอื่นที่ซื้อหุ้นตามเซียนเหมือนกัน เพราะฉะนั้น หุ้นก็จะมีแรงซื้อมากและอาจจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นได้เร็วและแรงกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการหาหุ้นแบบนี้ก็คือ บ่อยครั้งเราไม่รู้ว่าเซียนนั้นซื้อหุ้นไว้ตั้งแต่เมื่อไร ต้นทุนของหุ้นที่ซื้อเป็นเท่าไร และเขาจะขายเมื่อไร ดังนั้น ในบางครั้ง เราอาจจะซื้อในราคาที่เกินกว่าพื้นฐานและเซียนที่ซื้อหรือถือไว้กำลังขาย ผลก็คือ เราอาจจะขาดทุนได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บ่อยครั้ง เซียนก็อาจจะผิดได้ หรือบางทีเซียนที่เรากำลังตามอยู่นั้น อาจจะกำลัง “โฆษณา” หุ้นของตนเพื่อให้หุ้นเป็นที่น่าสนใจและมีราคาดีขึ้นก็ได้

ช่องทางที่หกของการหาหุ้นก็คือ การ “เดินตามห้าง” นี่ก็คือการสังเกตและ “สัมผัส” ความเป็นไปของธุรกิจจริง ๆ ใน “สนาม” ไม่ใช่ดูจากรายงานในหน้ากระดาษหรือบนจอคอมพิวเตอร์ คำว่าเดินตามห้างนั้น รวมไปถึงสถานที่ทุกแห่งที่เราเข้าหรือผ่านไปเพื่อทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ไปซื้อหรือใช้บริการต่าง ๆ ข้อดีของการหาหุ้นแบบนี้ก็คือ เราจะได้ข้อมูลที่หาไม่ได้จากงบการเงินนั่นก็คือ ความแข็งแกร่ง ความสามารถในการแข่งขันเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และ แนวโน้มของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของการเติบโตของกิจการและตัวหุ้น ข้อควรระวังสำหรับการหาหุ้นแนวทางนี้ก็คือ อย่าใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นเครื่องตัดสินสินค้าหรือตัวบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราไม่ใช่ลูกค้าเป้าหมายของเขา

สุดท้ายก็คือ การดูข้อมูลจากกิจกรรมการซื้อขายของตัวหุ้นเอง เช่น การซื้อหรือขายของผู้บริหารบริษัท หรือปริมาณการซื้อขายของหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของตัวหุ้น นี่อาจจะเป็นสิ่งที่บอกว่า คนที่ “รู้เรื่องดี” กำลังทำอะไรอยู่ ข้อมูลชิ้นนี้อาจจะกระตุ้นให้เราไปศึกษาตัวหุ้นเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตาม ก็เช่นเดียวกับข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้บริหารหรือเซียนหุ้นรายใหญ่ เราจะต้องระวังว่ามันอาจจะเป็นข้อมูลที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อที่จะ “ลวง” ให้นักลงทุนหลงก็ได้