Monday, December 14, 2015

ขวัญหนีดีฝ่อ / โดย คนขายของ



ในช่วงตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราได้เห็น หลายบริษัทที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น NOKIA, COMPAQ,และ KODAK มีสถานะที่แตกต่างไป อย่างมากกับเมื่อ 25 ปีที่แล้ว การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆทำให้นักลงทุนในสมัยนี้ให้ความระมัด ระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกิจการที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกเทคโนโลยีทำให้สูญหายไปจาก ระบบเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ Telegraph ของอังกฤษเคยเขียนถึงอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงที่จะถูก ทำลายโดยเทคโนโลยีเช่น ธุรกิจโทรศัพท์สาธารณะ ธุรกิจล้างอัดฟิลม์ และ ธุรกิจขายสารานุกรม เป็นต้น ด้วยเหตุนี้นักลงทุนจึงให้มูลค่ากิจการของบริษัทเทคโนโลยีใหม่ๆ สูงมาก เช่นในตอนนี้มูลค่าของ Alphabet Inc. เจ้าของ Google มีมูลค่ากิจการมากกว่า ห้าง Walmart และ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างGE รวมกัน

                แต่ถ้าเรามาย้อนดูอดีตให้ลึกลงไปในรายละเอียด เราจะพบว่าในบางกรณี เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็ไม่ได้ สร้างความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนเสมอไป แต่เป็นธรรมดาเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นมา ย่อมเกิดกระแส

การประโคมข่าวจากสื่อทั่วไปจนทำให้นักลงทุนบางคนเกิดหวั่นใจ เช่นเมื่อตอนเครื่องเล่นวีดีโอได้วาง ออกขายในตลาดเมื่อราวปี 1972 และเริ่มเป็นที่นิยมกันอย่างมากในช่วงปี 1980 มีหลายคนเชื่อว่า การเปิดตัวของเครื่องเล่นวีดีโอ จะทำให้ธุรกิจโรงภาพยนต์ล่มสลาย แต่กลับกลายเป็นว่าในทุกวันนี้ธุรกิจ โรงภาพยนต์ยังคงอยู่ได้ แต่ตลาดของเครื่องเล่นวีดีโอรวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านให้เช่า กลับไม่ สามารถอยู่ได้เพราะโดนเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า เช่นอินเตอร์เน็ต และ การดูหนังออนไลน์เข้ามาแทนที่

                การกำเนิดของ e-commerce และ การพุ่งขึ้นของราคาหุ้นของ AMAZON ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนหลายคนเชื่อว่า กิจการที่เกี่ยวกับ e-commerceจะมาแทนที่ร้านค้าปลีกแบบเดิมๆ ผู้คนจะหันไปซื้อของจากร้านออนไลน์เพราะสะดวกสบายกว่า และ มีต้นทุนที่ถูกกว่า ร้านค้าแบบเดิมๆ ที่มีหน้าร้านจริงจะอยู่ไม่ได้ แต่หากเรามาดูตัวเลขทางสถิติของการค้าปลีกทั้งหมดในประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกาที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิด e-commerce จากข้อมูลของ ychart.com เราพบว่าในปี 2014 การซื้อของผ่านช่องทาง e-commerce นั้นคิดเป็นเพียง 7.5% ของยอดขายค้าปลีกในสหรัฐ และการเติบโตของตลาด e-commerce ในอเมริกาจากนี้ไปคาดว่าจะอยู่ที่ราว 15% ซึ่งก็ไม่ได้เป็น ตัวเลขที่สูงจนโดดเด่นมากเมื่อนเทียบกับอัตราการเติบโตอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น Telehealth Servicesบริการการรักษาทางไกล ซึ่ง inc.com คาดว่าจะโตได้ 49% และ อุตสาหกรรม Peer-to-peer lending เป็นการปล่อยกู้โดยบุคคลธรรมดา ให้แก่ บุคคลทั่วไป และ ธุรกิจขนาดเล็ก ผ่านทางออนไลน์ ซึ่งน่าจะโตได้ราว 38%

                ถึงแม้ว่ายอดขายของ AMAZON จะดูโตเร็วมากจนอาจทำให้เราเชื่อว่า AMAZON จะทำให้ค้าปลีก แบบมีหน้าร้านในอเมริกาไม่โตเลย แต่ในความเป็นจริงก็คือในห้าปีที่ผ่านมา ยอดขายของห้างสรรพ สินค้าอย่าง Nordstrom และ ร้านเสื้อผ้าอย่าง TJ Maxx ก็ยังทำยอดขายโตได้ราว 40% เมื่อเทียบกับ เมื่อห้าปีที่แล้ว หันมามองเรื่องผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นกันบ้าง ความย่ำแย่ของหุ้น WALMART ในช่วงที่ผ่านมาคงทำให้นักลงทุนจำนวนมากคิดว่า นี่คงเป็นจุดสิ้นสุดของร้านค้าปลีกจำพวก “Big Box Retailers” แต่ถ้าเรามาดูหุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่ของอเมริกาที่ราคาขึ้นมาสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา กลับพบว่า Home Depot บริษัทขายของประเภท DIY คล้ายๆกับกิจการ Home Pro ในเมืองไทยทำได้ดีที่สุด โดยราคาขึ้นมาถึง 3 เท่า ในขณะที่ AMAZON ขึ้นมา 2.8 เท่า



                เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน แต่เนื่องจากทุกเทคโนโลยีมีรายละเอียดเฉพาะตัว ดังนั้นนักลงทุนควรศึกษาให้เข้าใจในหลายแง่มุม เทคโนโลยีใหม่อาจไม่ได้ชนะเทคโนโลยีเก่าเสมอไป มีหลายกรณีที่เป็นลักษณะ “อยู่ร่วมกัน” หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีใหม่ไม่สามารถยืนอยู่ได้ เสื่อมความ นิยมไปก่อน เรื่องที่เป็นอันตรายมากๆ สำหรับนักลงทุนที่ชวนขวัญหนีดีฝ่อ อาจจะไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี ใหม่ๆที่ออกมาจะเป็นอันตรายกับบริษัทที่เขาถือหุ้นอยู่ แต่เป็นเรื่องที่เขาไม่ศึกษาเทคโนโลยีนั้นๆอย่าง ละเอียด อ่านแค่พาดหัวข่าวแล้วก็นำมาใช้ตัดสินใจในการลงทุน ซึ่งอันนี้ผมเชื่อว่าชวนสยองขวัญกว่า เยอะเลยครับ