Thursday, December 24, 2015

แชมป์ตลาดหุ้น / โดย คนขายของ

   
    คุณคิดว่าดัชนีตลาดหุ้นประเทศไหนที่ดัชนีตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา?  ถ้าหาก เราตัดประเทศที่เงินเฟ้อสูงมากๆอย่างเวเนซูเอล่า ที่ดัชนีขึ้นมา 275% แต่เงินเฟ้อราว 800% และ ประเทศที่ตลาดหุ้นยังมีขนาดเล็กมากๆ บางประเทศออกไป เราจะประหลาดใจมากว่าประเทศ ที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมากที่สุดนั้นไม่ใช่ประเทศที่เป็นข่าวบ่อยๆ เช่น อเมริกา, จีน หรือ ญี่ปุ่น และก็ไม่ใช่ประเทศในตลาดเกิดใหม่ เช่น อินโดนีเซีย หรือ เวียดนาม แต่เป็นประเทศเดนมาร์ก ประเทศที่มีประชากรเพียง 5 ล้านคน ปีนี้ดัชนี OMX Copenhagen 20 Index ขึ้นมา 34% ในขณะที่ประเทศขนาดใหญ่ในยุโรปอย่างเยอรมันนีดัชนีขึ้นมา 9.5% และ อังกฤษดัชนีติดลบ 7% จริงๆ แล้วตลาดหุ้นเดนมาร์กร้อนแรงมาตลอด ขึ้นจากจุดต่ำสุดตอนวิกฤตปี 2008 ถึง 4 เท่า เรียกว่าขึ้นมาพอๆ กันกับตลาดหุ้นไทย และเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 10 ปี จาก 24 ประเทศพัฒนาแล้วที่รวบ รวมโดย Bloomberg

ประเทศเดนมาร์ก หรือที่คนไทยรู้จักฉายาในนาม “แดนโคนม” แท้ที่จริงแล้ว GDP ของเดนมาร์ก มาจากภาคการเกษตรเพียงแค่ 1.5% ตัวเลข GDP Growth ของเดนมาร์กในช่วงห้าปีที่ผ่านมา อยู่ที่ราวๆ 0.5% ต่อปี แต่ทำไมดัชนีหุ้นถึงปรับตัวได้สูงกว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก ต่างจากประเทศเกิดใหม่บางประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก แต่ดัชนีตลาดหุ้นไม่ ไปไหน? ผมลองศึกษากิจการที่ถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี OMX แล้วพบว่า เดนมาร์กมีบริษัท ชั้นนำของโลก อยู่พอสมควร แต่นั่นยังไม่มีน้ำหนักพอที่สนับสนุนความร้อนแรงของตลาดหุ้นเดนมาร์ก เมื่อเจาะลึก ลงไปอีกผมพบว่า 30% ของบริษัทในดัชนี OMX เป็นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมยาและ เทคโนโลยีชีวภาพ ประเด็นนี้น่าจะมีน้ำหนักพอที่ผลักดันดัชนี OMX ให้สูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

  บริษัท Novo Nordisk เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ยักษใหญ่ของเดนมาร์ก มีมูลค่ากิจการสูงถึง 4 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าบริษัท ปตท. ของไทยถึง 6 เท่า เป็นบริษัทยาที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวาน มีฐานการผลิตอยู่ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, จีน และ บราซิล บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 83% และ มีกำไรสุทธิราวๆ 30% กำไรต่อหุ้นย้อนหลัง 5 ปีเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี และมี ROE สูงมากที่ 64% ในปี 2015 ราคาหุ้นของบริษัทขึ้นมาถึง 50% ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ผลักดันให้ OMX มีผลงานที่โดเด่นกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรป    

  เมื่อมาศึกษาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสุงสุด 10 บริษัทในตลาด NYSE และ NASDAQ ในปี 2015 พบว่าจาก 10 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด มีถึง 6 บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้ ตัวอย่างเช่น หุ้นของ Eagle Pharmaceuticals เป็นบริษัทยาที่เน้นยาฉีดเป็นพิเศษ อยู่ในตลาด NASDAQ ตอนนี้มีมูลค่ากิจการ ราวๆ 56,000 ล้านบาท ราคาขึ้นมาจากตอนต้นปี 5 เท่า อีกบริษัทหนึ่ง Nymox Pharmaceutical เป็นบริษัทที่เน้นการคิดค้นยารักษามะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นบริษัทที่เล็กมากๆ ในตลาด NASDAQ แต่ราคาหุ้นร้อนแรงมาก ขึ้นมาถึง 8.5 เท่าในปีนี้

  Moody’s Investor Service ได้ออกรายงานในปีที่แล้วประมาณว่า ณ ปัจจุบันมีเพียง 3 ประเทศ เท่านั้น คือ เยอรมัน, ญี่ปุ่น และ อิตาลี ที่มีผู้ที่อายุเกิน 65 ปีมากกว่า 20% ของประชากรในประเทศ   แต่ตัวเลขนี้กำลังเพิ่มขึ้น โดยภายในปี 2020 จะมี 13 ประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ และ ภายในปี 2030 จะมีถึง 34 ประเทศ จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าตลาดถึงให้มูลค่าของบริษัทใน อุตสาหกรรมยา และ เทคโนโลยีชีวภาพในระดับที่สูงมาก

  ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนก็ได้เห็นแนวโน้มแบบเดียวกันนี้ในประเทศไทย โดยหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล ของไทยได้มีการปรับตัวขึ้นสูงมากเมื่อเทียบกับในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ PE ของกลุ่มโรงพยาบาล ในเมืองไทยตอนนี้ มีเกินครึ่งที่ PE มากกว่า 30 เท่า เงินปันผลได้ราวๆ 1% นิดๆ ด้วยมูลค่าที่สูง ขนาดนี้ ผมคิดว่านักลงทุนไทยถ้าสนใจลงทุนในกลุ่มนี้จริงจัง ลองพิจารณาหุ้นระดับโลกหลายๆตัวใน กลุ่มนี้ดู เราอาจจะได้เจอบริษัทที่แข็งแกร่งกว่าในด้านคุณภาพ และยังถูกกว่าในด้านราคาก็เป็นได้