Monday, December 21, 2015

Wind Of Change /โดย ดร.นิเวศน์


สำหรับนักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนรายย่อยแล้ว  ตลาดหุ้นในปี 2558 น่าจะเป็นปีที่ “เลวร้าย” อีกปีหนึ่งหลังจากภาวะตลาด “วิกฤติ” ในปี 2551 ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ซับไพร์มในอเมริกาที่ตลาดหุ้นตกลงไปเกือบ 50% แต่หลังจากนั้น  หุ้นไทยก็ปรับตัวดีขึ้นมามาก  ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นจากประมาณ 450 จุดเมื่อสิ้นปี 2551 เป็นประมาณ 1500 จุดเมื่อสิ้นปี 2557 หรือปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.32 เท่าในเวลา 6 ปี คิดเป็นการเติบโตขึ้นถึงปีละประมาณ 22.19% ต่อปีแบบทบต้น  แต่ถ้ารวมปันผลด้วยปีละประมาณ 3% ก็เท่ากับว่านักลงทุนที่ลงทุนหลังวิกฤติตลาดหุ้นในปี 2551 ได้รับผลตอบแทนปีละประมาณ 25% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น  ทำให้เป็น “ยุคทอง” ของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย  ที่เหนือไปกว่านั้นอีกก็คือ  นักลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นตัวเล็กซึ่งรวมถึง “VI” จำนวนมากนั้น  สามารถทำกำไรดีกว่านั้นมาก  และทำให้เกิด  “เศรษฐีตลาดหุ้น”  จำนวนไม่น้อย

จริงอยู่  ในเวลา 6 ปีนั้น ก็มีช่วงที่ตลาดหุ้นตกลงมาแรงเป็นระยะแต่ตลาดก็ปรับตัวกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว   แต่ถ้ามองเป็นรายปีก็จะเห็นว่ามีเพียง 2 ปีที่ตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาคือในปี 2254 ที่ตลาดปิดลบลงเพียง 0.7% และปี 2556 ที่ตลาดตกลงมาประมาณ 6-7% ซึ่งถือว่าน้อยมากจนนักลงทุนแทบไม่รู้สึกเนื่องจากปีก่อนหน้านั้นตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปมากกว่า 30-40%  ดังนั้น  หุ้นและตลาดหุ้นจึงกลายเป็นสถานที่  “ยอดนิยม” และเป็นความหวังและความฝันของคนจำนวนมากโดยเฉพาะที่เป็นคนรุ่นใหม่และคนที่ทันสมัยและมีฐานะการเงินที่ดี  เป็นคน  “ชั้นสูง” ของสังคม  แต่ดูเหมือนว่าความคิดและความเชื่อนั้นอาจจะกำลัง “สั่นคลอน”  เริ่มตั้งแต่ไตรมาศสองของปีนี้ที่ตลาดหุ้นเริ่มตกลงมา “อย่างต่อเนื่อง”  จนล่าสุด  ดัชนีตลาดลดลงเหลือประมาณ 1285 จุดในวันที่ 18 ธันวาคม 2258 เป็นการลดลงประมาณ 200 จุดหรือ 14.2%  และคนที่เจ็บหนักที่สุดก็คือนักลงทุนรายย่อยที่น่าจะขาดทุนมากกว่านั้นเนื่องจากหุ้นตัวเล็ก “ยอดนิยม” จำนวนมากน่าจะมีราคาลดลงมากกว่านั้น

ประเด็นที่น่าวิตกมากว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นก็คือ  อนาคตของตัวหุ้นและตลาดหลักทรัพย์  เพราะถ้าสถานการณ์และภาวการณ์ต่าง ๆ  ยัง “เหมือนเดิม” เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว  การปรับตัวลงของราคาก็อาจจะถือว่าเป็นเรื่องที่ “ปกติ” และในไม่ช้าราคาและดัชนีหุ้นก็จะปรับตัวกลับขึ้นไป  ตลาดหุ้นไทยก็จะกลับมาคึกคักและเป็นที่นิยมเหมือนเดิมในเวลาอันสั้น  แต่ถ้าไม่ใช่  และหุ้นและตลาดหุ้นกำลังเปลี่ยนแปลงไปมากทางด้านของ “พื้นฐาน” ของกิจการและตลาด  เราก็จะต้องเตรียมการรับมือกับมันเพื่อที่จะสามารถเอาตัวรอดได้

แน่นอนว่าไม่มีใครรู้อนาคตจริง ๆ  ผมเองก็ได้แต่ “คาดเดา” จากประสบการณ์และประวัติศาสตร์เท่าที่จะทำได้  แต่ปี 2558 นั้น  ผมคิดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นซึ่งมีโอกาสที่จะเปลี่ยน “โครงสร้าง” ของการแข่งขันและหุ้นของหลายอุตสาหกรรมอย่าง  “สิ้นเชิง”  ได้  การเปลี่ยนแปลงที่ผมเริ่มคิดและเชื่อว่ามีโอกาสเกิดขึ้นนั้นจะเป็นเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและไม่หวนกลับ  ถ้าจะนึกถึงคำที่ใช้นั้นผมก็อยากจะเรียกมันว่า  “Wind Of Change” ตามเพลงดังของวง The Scorpions ในปี 1989 ที่พรรณนาถึงสถานการณ์ทั่วไปในยุโรปตะวันออกที่กำลังเกิดการ “ล่มสลาย” ของกลุ่มรัฐโซเวียตรัสเซีย ที่ยุติสงครามเย็นและเริ่ม “ศักราชใหม่” ของกลุ่มประเทศยุโรป

Wind Of Change ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็คือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจทีวีดิจิตอลที่เปลี่ยนแผนภูมิการแข่งขันของธุรกิจทีวี “อย่างสิ้นเชิง” และผลของมันก็เริ่มเห็นแล้วเพียงแต่ยังไม่สิ้นสุดและผลสุดท้ายจะลงตัวที่จุดไหนยังไม่สามารถบอกได้   แต่เนื่องจากหุ้นกลุ่มบันเทิงเองนั้นเป็นหุ้นกลุ่มเล็กที่มีผลกับตลาดหุ้นน้อย  ดังนั้น  ผลกระทบต่อนักลงทุนและตลาดหุ้นก็มีน้อยมาก

หุ้นกลุ่มใหญ่กลุ่มแรกที่เกิด Wind Of Change อย่างที่ไม่ใคร่มีใครคาดคิดมาก่อนก็คือหุ้นในกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะน้ำมัน  ก่อนหน้านี้คนหรือนักลงทุนมีความคิดและเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่า  กิจการที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันป้อนคนไทยทั้งประเทศนั้นจะต้องเป็นหุ้นที่มั่นคงและยิ่งใหญ่  “ตลอดกาล”  ราคาหรือ Market Cap. ของหุ้นนั้นจะต้องใหญ่โต “สมศักดิ์ศรี”  แม้ว่าในบางครั้งอาจจะตกลงมาบ้างเนื่องจากความผันผวนของราคาน้ำมัน  แต่มันก็จะลงมาระดับหนึ่งไม่มากมายนักและในเวลาต่อมาก็จะปรับตัวกลับขึ้นไปเสมอเมื่อภาวะตลาดน้ำมันดีขึ้น   แต่ถึงวันนี้  สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ  ราคาน้ำมันตกลงไปมากเกินกว่าที่จะเป็นไปได้จากความผันผวนธรรมดา  มันไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงธรรมดา  มันคล้าย ๆ  กับว่าโอกาสที่ราคาน้ำมันจะกลับมาแพงขึ้นเหมือนเดิมนั้นเป็นไปไม่ได้เนื่องจาก  “โครงสร้าง” ของการใช้พลังงานและการจัดหาพลังงานของโลกนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเหมือน “กระแสลม”  ที่โหมกระหน่ำพัดพาสิ่งเก่า ๆ  ออกไปและมีสิ่งใหม่มาแทนที่  นาทีนี้เราอาจจะยังไม่รู้ชัดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร  แต่เรารู้และรู้สึกว่าธุรกิจน้ำมันอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  เช่นเดียวกับหุ้นของกิจการน้ำมันที่ลดลงมาหลายเท่าและอาจจะไม่กลับไปที่เดิมอีกเลย  ดังนั้น  คนที่คิดจะเล่นหุ้นน้ำมันอาจจะต้อง “ลบความจำ” เดิมที่มีอยู่เกี่ยวกับหุ้นน้ำมันทิ้ง  อย่าไปนึกถึงหรือวิเคราะห์ภาพเก่า ๆ  ที่เราคุ้นเคย

หุ้นกลุ่มใหญ่มากอีกกลุ่มหนึ่งที่ผมกำลังเป็นห่วงว่ามันอาจจะเกิด  Wind Of Change อีกเช่นกันก็คือ  หุ้นบริษัทมือถือ  นี่คือธุรกิจที่อาจจะกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงโดยที่คนอาจจะยังไม่ตระหนัก  เรายังนึกถึงภาพเก่า ๆ  ของธุรกิจที่มียอดขายเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ  และมีกำไรต่อยอดขายและกำไรต่อส่วนของการลงทุนและผู้ถือหุ้นสูงลิ่วเนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันจำกัด  แต่นั่นอาจจะกำลังเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเข้ามาของบริษัทใหม่และบริษัทเก่าที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ด้อยกว่าแต่กำลังมีศักยภาพสูงขึ้นมาก  ผลจากการนั้นอาจจะทำให้  “โครงสร้าง” การแข่งขันของอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงและนั่นอาจจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของรายได้และการทำกำไรของแต่ละบริษัทที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  เราอาจจะไม่ต้องลบความจำเดิมทั้งหมด  แต่การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มสื่อสารมือถือและทางอินเตอร์เน็ตใหม่  โดยการหารูปแบบใหม่ที่เหมาะสมโดยเฉพาะจากต่างประเทศมาเป็นฐานใหม่ของการวิเคราะห์หุ้นในกลุ่มนี้

ผมเองยังไม่แน่ใจว่าจะมีหุ้นกลุ่มไหนที่กำลังอยู่ในโหมด Wind Of Change หรือไม่  แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงหรือคิดว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นก็คือ  กระแสการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยเราเอง  สถานการณ์หลาย ๆ  เรื่องในด้านของ  “ภาพใหญ่” ของประเทศนั้น  ดูคล้าย ๆ  กับว่าอาจจะไม่ใคร่เหมือนเดิมอย่างที่เราคุ้นเคย  ในด้านอื่นนั้นผมเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ  แต่ในด้านที่เกี่ยวข้องกับหุ้นและตลาดหุ้นนั้น  ผมต้องศึกษาและวิเคราะห์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านของเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับหุ้นและตลาดหุ้น  ในภาพใหญ่นั้น  ความรู้สึกของผมก็คือ  เรากำลัง  “แก่ตัวลง”  อย่างรวดเร็ว  พละกำลังและความมุ่งมั่นของเราถดถอยลงอย่างรวดเร็ว  ดูเหมือนว่าเรากำลัง  “จมอยู่กับอดีต”  มากกว่าการมองไปที่อนาคตเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน  สินค้าและการผลิตของเรานั้นเป็นสิ่งเก่ามากกว่าสิ่งใหม่  คนจำนวนมากคิดว่าเราอยากจะเป็นแบบ  “ไทย ๆ”  และไม่อยากที่จะเหมือนคนอื่น  เรา “ไม่แคร์” ที่จะต้องก้าวหน้าและเป็นที่ยอมรับของคนอื่นในโลก  ซึ่งนี่ก็คือสัญญาณของความแก่อีกอย่างหนึ่ง  เช่นเดียวกับตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา 4-5 ปีที่ถดถอยลงมาก  ซึ่งทำให้มันไม่ใช่ความผันผวน  แต่อาจจะเป็น  Wind Of Change ที่ได้ก่อตัวมาระยะหนึ่งแล้ว

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น  เมื่อมาคิดอีกทีก็รู้สึกว่าผมอาจจะใช้คำที่ไม่ใคร่ตรงกับต้นกำเนิดของชื่อเพลงที่มีความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น  เพลง Wind Of Change นั้นสร้างจิตวิญญาณและความรู้สึกแห่งความหวังของชาวยุโรปโดยเฉพาะในเยอรมันมากในช่วงนั้น  แต่เรื่องที่ผมพูดนั้น  ถ้ามองในแง่ของนักลงทุนแล้วอาจจะกลายเป็นเรื่องที่หดหู่  อย่างไรก็ตาม  มันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกับคนทั่วไปและประเทศที่เราจะได้สินค้าและบริการที่ดีและถูกลง  ในเรื่องของประเทศไทยเองนั้น  ผมก็ยังหวังว่า  เมื่อถึงจุดแห่งการเปลี่ยนแปลง  เราจะพลิกมันให้เป็นโอกาสที่จะทำให้เราก้าวหน้าขึ้นได้  ถึงจุดนี้ผมก็เลยต้องกลับมาที่คำสอนที่ผมเคยได้รับรู้มาตลอดที่ว่า  “อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง”  เพราะนั่นคืออาการของคนแก่  มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เรากลัว มันอาจจะ “พลิก” ดีขึ้นก็ได้