Monday, May 4, 2015

หุ้นสามัญชน / คนขายของ


     สิ่งหนึ่งที่ Warren Buffett เน้นย้ำเรื่องการลงทุนคือให้ลงทุนในกิจการที่นักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจ เป็นอย่างดี แม้ Buffett จะลงทุนมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นจนอายุย่าง 85 ปี จากพอร์ตเล็กๆ จนกลายมาเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก Buffett เองก็ยังยอมรับว่ามีกิจการบางอย่างที่ยากเกินไป สำหรับเขา กิิจการเหล่านี้เขาไม่เข้าใจในตัวธุรกิจดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะลงทุนในบริษัทเหล่านั้น เพราะมันเป็นการยากที่จะประเมินมูลค่าที่แท้จริง อุตสาหกรรมบางอย่างมีความยากในการประเมิน กำไรในอนาคต ทั้งนี้เพราะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญพิเศษ หรือ ความรู้เฉพาะทาง ดังนั้นจึงเป็นการยาก สำหรับสามัญชนคนทั่วไปจะประเมินกำไรในอนาคตเพื่อหามูลค่าที่แท้จริงได้ โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่า นักลงทุนโดยทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในกิจการที่มีลักษณะดังต่อไปนี้

  หนึ่ง กิจการที่มีราคาขายต่อหน่วยลดลงตลอด ขอยกตัวอย่างหนึ่งที่ผมคุ้นเคย เพราะเคยอยู่ในวงการ นี้มาก่อน คือกิจการผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กที่ใช้ตามบ้าน ซึ่งก็เหมือนกิจการ เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยทั่วไปซึ่งราคาต่อหน่วยเป็นขาลงตลอด สมัยเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ราคาเครื่อง ปรับอากาศขนาด 12,000 BTU ราคาราวๆ 30,000 บาท สมัยนี้เหลืออยู่ 12,000-18,000 บาท คือหายไปราวๆ 50% เมื่อราคาต่อหน่วยลดลง การที่จะได้กำไรเท่าเดิมนั้น หมายความว่าบริษัท ต้องขายให้ได้ปริมาณมากขึ้น หรือไม่ก็ต้องลดต้นทุนต่อหน่วยลง กิจการประเภทนี้จะอยู่นิ่งไม่ได้ บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมประเภทนี้ หากผู้บริหารไม่มีความชำนาญพอ พนักงานไม่ตื่นตัว มีโอกาส ที่จะล้มหายไปจากวงการสูง เครื่องปรับอากาศยังมีข้อดีที่เทคโนโลยีไม่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก หากเป็นพวก โทรศัพท์มือถือ เราจะเห็นได้เลยว่า ผู้ชนะเมื่อสิบยี่สิบปีที่แล้ว พอมาถึงยุคนี้แทบไม่มีใครรู้จัก

สอง กิจการที่ราคาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์มีความผันผวนสูง เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือ ค่าระวาง เรือขนส่งสินค้าทางทะเล ผมยังจำได้ว่าในตอนต้นปี 2008 ราคาน้ำมันทะลุ 100 เหรียญต่อบาเรล ไปทำจุดสูงสุดราวๆ 140 เหรียญ ในตอนนั้นมีกูรูผู้เชี่ยวชาญบอกว่าน้ำมันจะไปถึง 200 เหรียญ แต่กลายเป็นว่าตอนต้นปี 2009 ราคาน้ำมันกลับอยู่ที่ 40 เหรียญ เราจะเห็นได้ว่า ถ้าเราลงทุนในหุ้น ที่ขายน้ำมันดิบ รายได้ในปี 2009 มีโอกาสที่จะลดลงมากกว่า 50% ซึ่งโดยมากการลดลงของกำไร ก็มักเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้น แม้แต่คนที่อยู่ในวงการยาวนาน มีความชำนาญ เฉพาะทางสูงมาก ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ ยิ่งถ้าเราเป็นนักลงทุนรายย่อยธรรมดา หากไปลงทุนในกิจการประเภทนี้ นับว่าเป็นการเสี่ยงอย่างมาก

  สาม กิจการที่มีคู่แข่งเกิดใหม่ในอัตราสูง Steve Jobs ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่น APPLE II ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในอเมริกาตอนช่วงปี 1977-1980 จนทำให้ในที่สุดยักษ์ใหญ่ IBM ตัดสินใจเข้ามาทำตลาด PC ในปี 1981 Compaq อดีตผู้ผลิต PC อีกบริษัทหนึ่งก็ถูกก่อตั้งในปี 1982 และ DELL เกิดขึ้นในปี 1984 และมีผู้ผลิต PC อีกมากมายเกิดขึ้นหลังจากนั้นจนทำให้ APPLE มีปัญหาในการทำกำไรและประสบภาวะขาดทุนเป็นครั้งแรกในปี 1996 เมื่อมีผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่ง ขายดีมากๆ ย่อมเป็นเป้าหมายให้บริษัทต่างๆในอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมแข่งขัน ในช่วง “ตะลุมบอน” ยังไม่รู้ใครแพ้ใครชนะ นักลงทุนธรรมดาที่ไม่ได้อยู่ในวงการอุตสาหกรรมนั้นๆคงยากที่จะมองออก ดังนั้นการคอยเฝ้าสังเกตุการณ์รอให้ฝุ่นจางก่อน คงเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่าการด่วนตัดสินใจถือหางฝ่ายไหน

  แต่หากว่าเราเป็นนักลงทุนที่มีความชำนาญพิเศษในอุตสาหกรรมนั้นๆ ก็ไม่ควรปล่อยองค์ความรู้ที่มีให้ เปล่าประโยชน์ ในช่วงที่ผ่านมาผมเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทวัสดุก่อสร้างแห่งหนึ่ง พบว่ามีนักลงทุน ซึ่งเป็นผู้รับเหมาท่านหนึ่งให้ความสนใจลงทุนในบริษัทนี้เพราะเขารู้ถึงสภาวะความต้องการผลิตภัณฑ์ นั้นๆเป็นอย่างดี เรียกได้ว่ามี “ความได้เปรียบในการแข่งขันในการลงทุน” เมื่อเทียบกับคนที่อยู่ใน วงการอื่น แต่ถ้าเราเป็นนักลงทุนธรรมดาสามัญชน ไม่ใช่คนในวงการ ไม่มีความเข้าใจในธุรกิจ ขอให้นึกถึงคำแนะนำของ Jack Welch อดีต CEO ของ GE ที่ว่า “หากไม่มีความสามารถในการแข่งขัน จงอย่าแข่งขัน” กลับมาลงทุนในกิจการที่คุณคุ้นเคยดีกว่าครับ