Monday, September 29, 2014

ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย thai stock vi

     


     Value Investor จำนวนมากนั้นถูกสอนให้คิดแบบ  “Bottom Up” หรือวิเคราะห์จากตัวบริษัทหรือหุ้นที่จะลงทุนมากกว่าที่จะคิดถึง “ภาพใหญ่” ของอุตสาหกรรม  ภาวะเศรษฐกิจสังคมหรือประเทศชาติเมื่อคิดจะลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง  แต่ความเป็นจริงก็คือ  มันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่ามากที่เราจะหาหุ้นที่ดีจากภาวะหรือภาพใหญ่ที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจและการเติบโตของบริษัท  จริงอยู่  ในประเทศหรือในสังคมที่มีระดับการพัฒนาต่ำและ/หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจช้า  เราก็อาจจะยังพบบริษัทที่ดีได้   แต่เทียบกันแล้วมันก็คงจะหาได้ยากและ/หรือดีไม่เท่ากับบริษัทที่อยู่ในสังคมที่ก้าวหน้าและมีการเติบโตสูง  และนี่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจว่าประเทศไหนจะดีหรือเติบโตได้มากน้อยแค่ไหนถ้าเราต้องการที่จะไปลงทุนในต่างประเทศ

           วิธีที่จะดูว่าประเทศไหนจะ “รุ่ง” หรือจะ “ร่วง” ในระยะยาวนั้น  ผมคิดว่าเราต้องดูถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างที่มีการจัดอันดับกันมาตลอด  เพราะนี่จะเป็นการบอกว่าประเทศไหนจะ “ชนะ” หรือ “แพ้” ในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของโลก  อย่างไรก็ตาม  การจัดอันดับที่มีอยู่นั้นผมคิดว่ายังเป็นการมองแบบระยะสั้นหรือกลางมากกว่าระยะยาวเห็นได้จากข้อมูลหรือตัวเลขที่ใช้นั้นมักจะอิงจากข้อมูลมหภาคที่วัดกันเป็นปี ๆ  มากกว่าข้อมูลเชิง  “โครงสร้าง”  ที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก  ดังนั้น  ในฐานะของ VI ผมจึงอยากที่จะเสนอแนวทางการวัดความสามารถการแข่งขันของประเทศอีกแนวหนึ่งที่เน้นการมองระยะยาวและอิงอยู่กับเรื่องของ  “วิวัฒนาการ” ของมนุษย์ที่มีการศึกษามากขึ้นเรื่อย ๆ  และมีตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นประจักษ์พอสมควรดังต่อไปนี้

            ประเด็นแรกก่อนที่จะพูดว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความสามารถในการแข่งขันของรัฐหรือประเทศ  ผมคิดว่าเราควรจะทำความเข้าใจก่อนว่าไม่มีปัจจัยเพียงอย่างเดียวที่กำหนดความสามารถได้หมด  ความสามารถของการแข่งขันนั้นถูกกำหนดโดยปัจจัยหลาย ๆ  อย่าง  และที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ปัจจัยที่ “บวก” อย่างหนึ่งนั้นบางทีมันไม่สามารถทำงานได้ถ้าปัจจัยอีกอย่างหนึ่งมันเป็น “ลบ”ที่รุนแรง  นอกจากนั้น  ปัจจัยต่าง ๆ  จะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อมันมีการเอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน  อย่างไรก็ตาม  เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดความสัมพันธ์ต่าง ๆ  เหล่านี้อย่างแม่นยำ  ดังนั้น  มันจึงเป็นเรื่องของศิลปะในการมองว่าความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไรโดยดูจากปัจจัยต่าง ๆ  ที่ประเทศนั้นมีอยู่

           ปัจจัยแรกที่น่าจะสำคัญมากที่จะกำหนดว่าประเทศไหนจะรุ่งหรือร่วงในระยะยาวก็คือ  ระดับ IQ ของคนในชาติ  เพราะระดับ IQ นั้น  ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลต่อ “ผลสำฤทธิ์ทางการศึกษา”  และอื่น ๆ  อีกหลายเรื่องซึ่งน่าจะรวมถึงระดับของเงินเดือนและความก้าวหน้าอื่น ๆ   ดังนั้น  ประเทศที่คนมีระดับ IQ เฉลี่ยสูงก็น่าจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ  ถ้ามองแบบนี้  ประเทศในแบบเอเซียตะวันออกซึ่งรวมถึง ญี่ปุ่น  เกาหลี และจีนก็น่าจะได้เปรียบเพราะคนมี IQ เฉลี่ยค่อนข้างสูงประมาณ 105 ขึ้นไป  ในขณะที่คนในประเทศตะวันตกที่พัฒนาแล้วมี IQ เฉลี่ยเท่ากับ 100 โดยนิยามก็อยู่ในระดับกลาง ๆ  และคนในอาฟริการวมถึงคนไทยและรอบบ้านเราที่อาจจะเสียเปรียบเนื่องจากระดับ IQ เฉลี่ยดูเหมือนว่าจะต่ำกว่า  อาจจะอยู่ที่ประมาณ 95  อย่างไรก็ตาม  IQ  ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่กำหนดความสามารถในการแข่งขัน  มิฉะนั้น  ประเทศในยุโรปก็คงไม่ได้มีการพัฒนาที่เหนือกว่าประเทศในเอเซียตะวันออกอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้

           ปัจจัยสำคัญเรื่องที่สองนั้นอาจจะเป็นเรื่องของระบอบการปกครองและระบบเศรษฐกิจของประเทศ  ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดว่าระบบเศรษฐกิจแบบ “เปิด”  หรือเศรษฐกิจที่อิงกับตลาดเสรีและเปิดทำมาค้าขายอย่างเสรีกับประเทศอื่น ๆ  นั้น  เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพที่จะทำให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น  ประเทศที่ “ปิด” ไม่ค้าขายกับต่างประเทศเท่าไรนักและระบบการค้าขายไม่เสรีแต่มักอยู่ใน  “กำกับ”  ของรัฐ จะเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำซึ่งทำให้ประเทศมีพัฒนาการที่ช้ากว่าที่ควรจะเป็น  ตัวอย่างที่ชัดเจนก็เช่น  เกาหลีเหนือที่คนมี IQ สูงแต่เนื่องจากระบอบการปกครองที่เป็นเผด็จการและระบบเศรษฐกิจปิด  ทำให้กลายเป็นประเทศที่ล้าหลังมากทางเศรษฐกิจเทียบกับเกาหลีใต้ที่กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว  เช่นเดียวกัน  ประเทศพม่าและเวียตนามที่เคยมีระดับการพัฒนาสูงเท่า ๆ  กับไทยเมื่อหลายสิบปีก่อนก็ด้อยกว่ามากในปัจจุบันเนื่องจากประเทศถูกปิดกลายเป็นสังคมนิยมที่ไม่เอื้อต่อความสามารถในการแข่งขัน   อย่างไรก็ตาม  เมื่อเร็ว ๆ  นี้  ทั้งสองก็เริ่ม “เปิดประเทศ” ซึ่งทำให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจเร็วขึ้นมากเทียบกับไทย  และถ้ายังอยู่ในระดับนี้ต่อไป  ก็อาจจะตามทันประเทศไทยในที่สุด

             ความมั่นคงและสงบสุขของประเทศหรือการเปลี่ยนผ่านอำนาจการปกครองที่มีกฎเกณฑ์ราบรื่น  เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของความสามารถในการแข่งขันของประเทศ  ประเทศที่มีสงครามสู้รบกัน  ไม่ว่าจะระหว่างประเทศหรือการสู้รบของคนในชาติเดียวกันก็เป็นปัจจัยที่ทำลายความสามารถในการแข่งขันที่ร้ายแรง  สงครามในจีนตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองและสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับเจียงไคเช็ค  สงครามเกาหลี  สงครามเวียตนาม  และอื่น ๆ  ทำให้ประเทศเหล่านั้นถดถอยไปมาก  อย่างไรก็ตาม  เมื่อสงครามสงบ  ความสามารถในการแข่งขันก็กลับมา  ในบางประเทศอย่างในตะวันออกกลางหรือในอาฟริกานั้น  สงครามระหว่าง “ชนเผ่า”  ยังมีอยู่ตลอดเวลาและเรื้อรังมากทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงมากจนทำให้ประเทศแทบไม่มีอนาคต

             ประเด็นที่อาจจะยังมีการถกเถียงกันก็คือ  ระหว่างประเทศที่  “ไม่เป็นประชาธิปไตย”  แบบที่มีคนบางคนหรือบางกลุ่มมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น  และสามารถ  “สั่งซ้ายหันขวาหันได้” อย่างจีนหรือเกาหลีใต้ในช่วงหนึ่ง  กับประเทศ  “ประชาธิปไตยแบบตะวันตก” ที่ทุกคนเท่าเทียมกันไม่มีใครสั่งใครได้และทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย  แบบไหนจะเอื้ออำนวยกับความสามารถในการแข่งขันมากกว่ากัน?  ผมเองก็ไม่มีคำตอบ  ผมเพียงแต่คิดว่าแบบแรกนั้นมีความเสี่ยงสูงกว่าแบบหลัง  เหตุผลก็คือ  ถ้าคนที่มีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นนั้นทำสิ่งที่ไม่ดีแล้ว  การเปลี่ยนแปลงจะทำได้ยากมาก  และถ้าเป็นแบบนั้น  ประเทศอาจจะ  “ลงสู่เหว”   ตัวอย่างน่าจะเป็นแบบฟิลิปปินส์ในสมัยมาร์กอสที่ทำให้ฟิลิปปินส์ซึ่งครั้งหนึ่งรุ่งเรืองมากและเด็กไทยจำนวนหนึ่งต้องไปเรียนหนังสือแต่ปัจจุบันห่างชั้นกับไทยมาก  และในประเทศอีกมากมายในละตินอเมริกา เป็นต้น



            สุดท้ายก็คือเรื่องของ Culture หรือขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของคน  นี่เป็นเรื่องที่ยากที่จะรู้จริงพอสมควร  วัฒนธรรมของ  “ฝรั่ง”  นั้น  อาจจะแตกต่างกับคนเอเชีย  พวกเขามีความเป็นปัจเจกชนสูงกว่า  มีความคิดที่เป็นอิสระกว่า  ดังนั้น  พวกเขาจึงอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าเห็นได้จากนักคิดและนักประดิษฐ์ของโลกจำนวนมากมักมาจากคนตะวันตก  ในขณะที่คนเอเชียนั้น  มักจะมี  “วัฒนธรรมพึ่งพิงกัน”    เราเคารพผู้มีอาวุโสและผู้มี “ศักดิ์” ที่สูงกว่า  เราไม่อยากทำตัว “แปลกแยก” จากสังคม  ดังนั้นเราจึงไม่อยากคิดหรือทำอะไรใหม่ ๆ ที่  “เสี่ยง” ต่อสถานะของตน  ดังนั้น ความคิดสร้างสรรค์ของเราจึงน้อยกว่าและนี่อาจจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของเราด้อยลง

          และทั้งหมดนั้นก็คือปัจจัยที่สำคัญบางส่วนที่กำหนดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ  หลาย ๆ  ประเทศสามารถเพิ่มความสามารถนี้และกลายเป็นประเทศที่เติบโตเร็วหรือกลายเป็นประเทศพัฒนาไปแล้ว  หลาย ๆ  ประเทศที่เคยมีความสามารถสูงแต่ด้วยนโยบายที่ผิดพลาดหรือโชคไม่ดีก็ตกต่ำลง  สำหรับนักลงทุนแล้ว  สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดก็คือประเทศที่กำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมากและราคาหุ้นยังไม่ตอบสนอง  และนี่ก็คือประเทศที่เราควรเข้าไปก่อนคนอื่น