Monday, September 29, 2014

สัญลักษณ์ฟองสบู่ ( ของหุ้นตัวเล็ก )



    ผมติดตามภาวะของตลาดหุ้นไทยมานานนับถึงวันนี้ก็คงประมาณ 20 ปีแล้ว  ตลอดเวลาที่ผ่านมา  ดัชนีตลาดหุ้นและราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นลงค่อนข้างแรง  ปีหนึ่งน่าจะผันผวนขึ้นลงอาจจะเฉลี่ยถึง 25%  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงที่หุ้นขึ้นไปสูงนั้น  ผมก็ไม่ได้คิดว่าราคาหุ้นเป็น  “ฟองสบู่” อะไรมากมายนัก  ดังนั้น  ผมจึงไม่เคยคิดที่จะขายหุ้นเพราะคิดว่าราคามันแพงเกินไป  แต่ในช่วงหลังสองสามปีที่ผ่านมานี้  ผมกลับรู้สึกว่าราคาหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นไปมากจนหาหุ้นที่มีราคาถูกยากขึ้นเรื่อย ๆ  แม้แต่หุ้นที่ผมถืออยู่ซึ่งเน้นหุ้นที่เป็นแนว  “ซุปเปอร์สต็อก” ก็มีราคาแพงขึ้นมาก  อย่างไรก็ตาม  หุ้นที่ผมรู้สึกว่ามีราคาแพงสุด ๆ  ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีคุณสมบัติโดดเด่นอะไรก็คือหุ้นตัวเล็ก ๆ  จำนวนมากโดยเฉพาะที่มีข่าวหวือหวาที่สามารถกระตุ้นราคาหุ้นได้  การปรับขึ้นของราคาหุ้นที่ผมเห็นอยู่นี้  ผมคิดว่ามันเป็น  “ฟองสบู่”  อย่างชัดเจนโดยที่ผมเห็น  “สัญญาณ”  ต่าง ๆ  มากมายดังต่อไปนี้

         สัญญาณตัวแรกซึ่งเป็นสัญญาณที่เชื่อถือได้มากในทุกครั้งที่เกิดฟองสบู่หุ้นก็คือ  หุ้นเข้าตลาดครั้งแรกหรือหุ้น IPO โดยเฉพาะในหุ้นตัวเล็กที่มีความต้องการล้นหลามและเมื่อเข้าซื้อขายในตลาดเป็นวันแรกนั้นราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปแรงมาก  หลาย ๆ  ตัวหุ้นขึ้นไปชนเพดานที่ 200%  หุ้นที่ขึ้นไปเพียง 40%-50% บางทีกลายเป็นที่  “น่าผิดหวัง”  สัญญาณที่แรงขนาดนี้ของหุ้น IPO  ก็อาจจะพอบอกได้ถึงการเก็งกำไรที่ร้อนแรงและเป็นสัญญาณว่ามี  “ฟองสบู่” ได้แล้วในหุ้นตัวเล็ก  แต่เรายังมีสัญญาณอื่น ๆ  อีกมาก

          สัญญาณที่สองก็คือ  ความแพงของหุ้นตัวเล็กที่วัดจากค่า PE PB และ Dividend Yieldหรืออัตราปันผลของหุ้นในตลาดหุ้น MAI ซึ่งเป็นตลาดของหุ้นขนาดเล็ก  โดยค่า PE ของตลาด MAI เท่ากับประมาณ 80 เท่า ค่า PB ประมาณ 5 เท่า  และปันผลประมาณ 1%  นี่เป็นการบอกอย่างชัดเจนว่าหุ้นขนาดเล็กโดยเฉลี่ยมีราคาที่แพงมาก  ถ้าจะให้เดา  มันคงเป็นความแพงที่เหนือกว่าความแพงของตลาดหุ้น Nasdaq ของอเมริกาที่เป็นหุ้นไฮเท็คในช่วงปี 1999 ที่เกิดฟองสบู่และตลาดถล่มลงในปี 2000 ที่ทำให้ดัชนีหุ้นลดลงถึง 50% ในเวลาอันสั้น  ผมก็ได้แต่หวังว่าถ้าของเราเป็นฟองสบู่จริงและ “แตก”  มันจะไม่เลวร้ายขนาดนั้น

          สัญญาณที่สามที่ผมไม่ได้ทำสถิติแต่ใช้การสังเกตไปเรื่อย ๆ  ซึ่งพบว่ามีการเล่นหรือซื้อขายหุ้นตัวเล็กในปริมาณที่สูงมากเมื่อเทียบกับ Market Cap. ของบริษัท  มองคร่าว ๆ ผมคิดว่าการซื้อขายต่อวันของหุ้นในตลาด MAI ในช่วงหลัง ๆ  นี้คิดแล้วน่าจะเฉลี่ยประมาณ 2%-3% ต่อวัน  ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์มีค่าเฉลี่ยประมาณ 0.3%  หรือพูดอย่างหยาบ ๆ ก็คือ  หุ้นตัวเล็กนั้น  มีการ “หมุนหุ้น” เป็นเกือบ 10 เท่าของหุ้นตัวใหญ่  สำหรับผมแล้ว  หุ้นที่มีการซื้อขายถึง 1% ของ Market Cap. ต่อวันก็ต้องถือว่ามีการเก็งกำไรสูงมากแล้ว  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ  ถ้าดูหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 10 หรือ 20 อันดับในแต่ละวันก็จะพบว่าบ่อยครั้งประกอบไปด้วยหุ้นตัวเล็กกว่าครึ่งหรืออย่างน้อยก็ต้องมีหุ้นตัวเล็กแทรกมาหลาย ๆ ตัว  ซึ่งผมคิดว่าในตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่หุ้นที่มี Market Cap. เพียงพันหรือสองพันล้านบาทจะมีมูลค่าการซื้อขายมากกว่าหุ้นที่มีขนาดหลายแสนล้านบาทได้

           สัญญาณที่สี่เป็นเรื่องของ “Story” หรือข่าวต่าง ๆ  รวมถึงเรื่องของ “Concept” หรือหุ้นที่มีแนวคิดหรือโมเดลทางธุรกิจที่ “น่าตื่นเต้น”  หรือพูดง่าย ๆ  ก็คือเป็นหุ้นที่สามารถ  “สร้างจินตนาการ” ที่บรรเจิด  ในประเด็นนี้ก็คงคล้าย ๆ  กับหุ้นไฮเท็คในตลาด Nasdaq ในช่วงฟองสบู่ที่หุ้นจำนวนมากมีราคาที่ “สูงสุดฟ้า”  เพราะนักลงทุน “ฝัน” ว่ามันจะ  “ปฏิวัติโลก” ของสิ่งต่าง ๆ  ด้วยผลิตภัณฑ์ของบริษัท  อย่างไรก็ตาม  สำหรับหุ้นตัวเล็กของไทยในช่วงนี้คงไม่ถึงขนาดนั้น  แต่มันก็มีพลังพอที่จะขับเคลื่อนราคาหุ้นไปได้มหาศาล  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ราคาหุ้นของไทยในช่วงที่ตลาดหุ้นบูมและคนเข้ามาเล่นหุ้นกันมากนั้น   แม้แต่เรื่องราวเล็ก ๆ  แต่ขอให้มันมีประเด็นและอิงไปได้ว่ามันจะทำให้บริษัท  “โต”  แบบก้าวกระโดดเท่านั้น  หุ้นก็จะวิ่งไปได้มาก

           สัญญาณที่ห้าก็คือ  นักวิเคราะห์หุ้นที่เป็นมืออาชีพบางคนจะมีการใช้เทคนิคในการประเมินมูลค่าบริษัทที่มี  “ความคิดสร้างสรรค์” สูงขึ้นเรื่อย ๆ  การให้ค่า PE ของบริษัทอาจจะอิงจากค่า PE ในอดีตที่ผ่านมาที่สูงลิ่วและอาจจะบวกค่าการ “เติบโต” ในอนาคตที่จะ  “ก้าวกระโดด”  นอกจากนั้น  มีการใช้ค่า PEG หรือค่า PE ต่อค่า G หรือการเจริญเติบโตที่สูงลิ่วมาแทนค่า PE ซึ่งอาจจะทำให้หุ้นสามารถมีค่า PE สูง 50-60 เท่าได้โดยที่หุ้นยัง  “ไม่แพง” ได้  หุ้นบางตัวนั้นเนื่องจากยังไม่มีกำไรหรือมีกำไรน้อยมาก  การใช้ PE ก็เป็นไปไม่ได้  ดังนั้น  วิธีการใช้ Discounted Cashflows หรือการใช้กระแสเงินสดในอนาคตที่ยาวไกลที่บริษัทจะได้รับมาเป็นฐานในการคำนวณจึงเป็นวิธีที่ใช้กันมากขึ้น  และด้วยวิธีการนี้  การ  “เล่นตัวเลข”  ก็ง่ายขึ้นมาก  พูดอย่างหยาบ ๆ  ก็คือ  คุณแทบจะทำ “มูลค่าที่เหมาะสม”  ของบริษัทให้เป็นเท่าไรก็ได้ขึ้นอยู่กับ  “สมมุติฐาน” ที่ใช้

           สัญญาณสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นที่ติดอันดับหนังสือขายดีบนแผงหนังสือนั้น  มีมากมายกว่าหนังสือแนวอื่น  นี่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานหลายปีมาแล้ว  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงหลัง ๆ  นี้  หนังสือแนวการลงทุนที่เน้นการ  “เทรด”  หรือซื้อขายหุ้นบ่อย ๆ จะขายดีกว่าหนังสือที่เน้นแนว VI  แท้ ๆ  ที่เน้นการลงทุนระยะยาวซึ่งเป็นการแสดงว่าคนสนใจการ “เก็งกำไร”  มากขึ้นโดยเปรียบเทียบ

           สัญญาณทั้งหมดที่พูดถึงนั้นดูเหมือนว่าผมจะเน้นเฉพาะหุ้นตัวเล็ก  แต่จริง ๆ  แล้ว  หุ้นทั้งตลาดไทยเองนั้นก็มีสัญญาณของ  “ฟองสบู่” ที่กล่าวถึงเช่นกันแม้ว่าดีกรีหรืออัตราความรุนแรงจะไม่เท่ากัน  ตัวอย่างเช่น  หุ้น IPO ตัวใหญ่ก็มีราคาปรับขึ้นมากกว่าในภาวะปกติมาก  ค่า PE และ PB ของตลาดหลักทรัพย์เองก็สูงลิ่วเมื่อเทียบกับอดีตและกับประเทศอื่นอีกหลายประเทศ  ปริมาณการซื้อขายหุ้นของตลาดโดยรวมก็สูงลิ่วและสูงที่สุดในอาเซียนทั้ง ๆ  ที่ขนาดของตลาดเล็กกว่าสิงคโปร์หรือมาเลเซีย  หุ้นตัวใหญ่ของไทยเองก็มีการเล่นกันด้วย Story ต่าง ๆ  ไม่น้อย  Growth หรือการเจริญเติบโตของบริษัทกลายเป็นเรื่องที่นักลงทุนใช้ในการ “ขับดัน”  ราคาหุ้นที่ผมคิดว่า  “มากเกินไป”  เหตุผลก็คือ  มันอาจจะเป็นการโตได้แค่ช่วงสั้น ๆ  ปีหรือสองปีเนื่องจากฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า  ส่วนในประเด็นของนักวิเคราะห์เองนั้น  พวกเขาไม่ได้ใช้ “เทคนิคที่สร้างสรรค์” เฉพาะบริษัทเล็กเท่านั้น  และสุดท้ายก็คือเรื่องของหนังสือเกี่ยวกับหุ้นนั้น  มันเป็นสัญญาณที่บอกว่าหุ้นโดยรวมของไทยเองนั้น  ได้รับความสนใจอย่างมากซึ่งก็หมายถึงว่าราคาของมันน่าจะสูงจากความต้องการซื้อของคน


          ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ  หุ้นตัวเล็กนั้นมี  “ฟอง” อย่างแน่นอนเพราะสัญญาณนั้นชัดเจนมาก  และไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรผมคิดว่ามันก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมีการ “แตก” ในระดับหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว  ประวัติศาสตร์ของหลาย ๆ  เหตุการณ์ในตลาดหุ้นหลาย ๆ  ประเทศมันบอกอย่างนั้น  แต่สำหรับตัวตลาดหลักทรัพย์เองนั้น  ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็น  “ฟอง” ไหม  ความเชื่อส่วนตัวก็คือ  มันคงมีบ้าง  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  มันเป็นเรื่องยากที่ฟองจะเกิดเฉพาะในหุ้นเล็กโดยที่ภาวะของหุ้นใหญ่หรือหุ้นโดยรวมไม่เอื้ออำนวย