Tuesday, September 9, 2014

ลงทุนหุ้นทั่วโลกแบบ VI



ย้อนหลังไปเพียงไม่กี่ปีผมแทบจะไม่ได้คิดว่าวันหนึ่งตนเองจะออกไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ  ในตอนนั้นผมคิดแต่เพียงว่าเมืองไทยใหญ่พอสำหรับเม็ดเงินเล็ก ๆ  ของเรา  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ประเทศไทยยังค่อนข้างจำกัดไม่ให้คนไทยโดยเฉพาะที่เป็นบุคคลธรรมดานำเงินออกนอกประเทศ  นอกจากนั้น  ข้อจำกัดต่าง ๆ  เช่น  ความรู้ความเข้าใจในตัวกิจการ  ภาษา  วัฒนธรรม ระบบการค้าและเศรษฐกิจ และอื่น ๆ  ของหุ้นต่างประเทศยังทำให้ผมรู้สึกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศนั้นควรเป็นเรื่องของเด็กรุ่นหลังหรือรุ่นลูกที่มีความคุ้นเคยกับการสัมผัสเกี่ยวข้องกับนานาชาติมากกว่าเรามาก  อีกทั้งการ  “เปิดเสรี” ของประเทศต่าง ๆ  ที่ทำให้ความแตกต่างของแต่ละประเทศน้อยลงไปเรื่อย ๆ  ในอนาคตน่าจะทำให้การลงทุนต่างประเทศกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับ “เด็กรุ่นหลัง”   แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป  วันนี้ผมได้เริ่มลงทุนซื้อหุ้นต่างประเทศเป็นครั้งแรก  ทุกอย่างมาเร็วกว่าที่ผมเคยคิด  การลงทุนต่างประเทศไม่ใช่เรื่องในอนาคตของลูกหลานอีกต่อไป  มันเป็นเรื่องของนักลงทุนในวันนี้  แน่นอน  อุปสรรคและข้อจำกัดต่าง ๆ  ที่กล่าวถึงก็ยังมีอยู่ไม่น้อย  แต่สิ่งที่ดีและข้อได้เปรียบของการไปลงทุนในต่างประเทศก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ  ลองมาดูกันว่าลงทุนหุ้นต่างประเทศดีอย่างไร

           ข้อแรกผมอยากที่จะมอง  “ภาพใหญ่”  ก่อนนั่นก็คือ  ถ้ามองว่าแต่ละประเทศเป็น  “หุ้น” ตัวหนึ่งโลกนี้ก็จะมีหุ้นอาจจะซัก 100-200 ตัว   “หุ้นประเทศไทย”  หรือตลาดหุ้นไทยก็คือหุ้นตัวที่เราลงถ้าเราลงทุนแต่ในประเทศ  การที่เราลงแต่หุ้นไทยนั้น  ถ้ามองย้อนหลังไปโดยเฉพาะหลังจากช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ก็ต้องบอกว่าเราลงทุนหุ้นถูกตัว  เพราะหุ้นประเทศไทยเวลานั้นน่าจะเป็นหุ้น “คุณภาพดี ราคาถูก”  คำว่าคุณภาพดีก็คือ  ประเทศมีการเติบโตของเศรษฐกิจสูง  เป็น  “หุ้นเติบโต” นอกจากนั้น  ถ้ามองไปในอนาคต “กิจการ” หรือประเทศก็ยังน่าจะมีความสามารถในการแข่งขันสูงเนื่องจากประชากรอยู่ในวัยทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ ค่าแรงก็ยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอื่น ๆ  ที่มีฝีมือใกล้เคียงกัน  อาจจะเรียกได้ว่าหุ้นประเทศไทยมีความได้เปรียบที่ยั่งยืนหรือมี Durable Competitive Advantage เทียบกับหลาย ๆ ประเทศ   ส่วนในด้านของราคานั้น  ค่า PE ของตลาดหุ้นไทยก็ค่อนข้างต่ำไม่เกิน 10 เท่า ค่า PB ก็ไม่เกิน 1 เท่า  ดังนั้น  หุ้นประเทศไทยในอดีตน่าจะเป็น  “หุ้นคุณค่า” และการลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็มีเหตุผลเต็มที่

            ถึงปัจจุบัน  ผมคิดว่าสถานการณ์ของไทยเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย  การเติบโตของเศรษฐกิจช้าลงไปมากโดยที่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันเริ่ม “ช้าลงอย่างถาวร” หรือยัง  ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าก็คือ  คนไทยมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าจะกลายเป็น “สังคมคนสูงอายุ” ในเวลาอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า  ความสามารถในการแข่งขันก็ดูเหมือนจะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับอีกหลาย ๆ ประเทศที่มีโครงสร้างประชากรหนุ่มสาวมากกว่า  แต่ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่อง “คุณภาพ” ของกิจการหรือของประเทศก็คือเรื่องของ  “ราคา”  ของหุ้นที่ได้ปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างสูง  ค่า PE ของตลาดหุ้นขึ้นไปถึงประมาณ 18 เท่าซึ่งเท่า ๆ  กับหรือสูงกว่าหุ้นของประเทศที่มี  “คุณภาพสูง” อย่างหุ้นสหรัฐ  ในเวลาเดียวกัน  หุ้นของประเทศอย่างจีน  เกาหลีใต้ และเวียตนามซึ่งน่าจะมีคุณภาพที่ไม่ด้อยกว่าประเทศไทยต่างก็มีราคาลดลงมากกลายเป็น  “หุ้นถูก”  มีค่า PE ของตลาดต่ำกว่า 10 เท่า  หากมองแบบนี้  หุ้นไทยก็อาจจะไม่ใช่หุ้น “Value”  อีกต่อไปเมื่อเทียบกับหุ้นของหลาย ๆ ประเทศที่กล่าวถึง  ดังนั้น  การ Switch หรือย้ายหุ้นลงทุนจึงอาจจะเป็นกลยุทธ์ที่ดี

           แน่นอน  VI ส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อหุ้นทั้งตลาด  แต่ซื้อหุ้นเป็นรายตัว ดังนั้น  ก็เป็นไปได้ว่ายังมีหุ้นบางตัวในตลาดหุ้นไทยที่คุ้มค่าและสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้  อย่างไรก็ตาม  ในยามที่  “ภาพใหญ่” ไม่เอื้ออำนวย  “ภาพเล็ก”  นั่นก็คือ  การหาหุ้นดีราคาถูกก็ยากขึ้นและโอกาสเจอหุ้นที่ดีเลิศเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพ-ราคาก็ยากขึ้นมาก  มันเป็นเรื่องง่ายกว่ามากที่จะหาหุ้นดี-ราคาถูกหรือถูกมากในยามที่ตลาดหุ้นโดยรวมมีราคาที่ต่ำมากและเศรษฐกิจกำลังเติบโตสูง—อย่างเช่นตลาดหุ้นไทยหลังปี 2540 ประมาณ 3-4 ปี  หรือตลาดหุ้นต่างประเทศหลายแห่งในปีนี้

           คำถามสำคัญต่อมาก็คือ  ถ้าเราจะไปลงทุนต่างประเทศ  เราจะไปตลาดประเทศไหนและด้วยกลยุทธ์หรือเลือกหุ้นอย่างไร?  คำตอบผมนั้นคงจะมองแบบ “ภาพใหญ่”  อีกเช่นกันและน่าจะมี 3 ทางเลือกที่น่าสนใจนั่นคือ  ทางเลือกที่หนึ่ง  เลือกการลงทุนแบบ  “หุ้นประเทศ”  นั่นก็คือ  ประเทศที่มีคุณภาพดี-ราคาถูก  หรือคุณภาพไม่ดีแต่ราคาถูกมากที่คุ้มค่าแบบแนว “ก้นบุหรี่”  นั่นก็คือ  เลือกลงทุนกองทุนหุ้นอิงดัชนีของประเทศที่เราคิดว่าอยู่ในข่ายดังที่กล่าว  นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่ง่ายเพราะมีโบรกเกอร์ที่เปิดขายหน่วยลงทุนมากมายในช่วงเร็ว ๆ  นี้

           ทางเลือกที่สองก็คือ  การลงทุนซื้อหุ้นหรือเลือกหุ้นต่างประเทศเอง  โดยเลือกซื้อเฉพาะหุ้นที่เราพอจะเข้าใจธุรกิจของบริษัทเพราะมันเป็นบริษัท  “ระดับโลก”  ที่มีสินค้าขายทั่วโลกและเราเองก็รู้จักดีและมักจะเป็นลูกค้าด้วย เช่น เฟซบุคหรือหุ้นกูเกิล  ในราคาหุ้นที่ไม่แพงเมื่อคำนึงถึงศักยภาพในอนาคตของบริษัท  พูดง่าย ๆ  เราเลือกหาหุ้น  “ซุปเปอร์สต็อก” ในช่วงที่มันยัง  “ไม่อิ่มตัว”  ยังมีโอกาสที่ธุรกิจจะขยายตัวอีกมากโดยเฉพาะในตลาดของประเทศที่กำลังพัฒนารวมถึงประเทศไทย  กลยุทธ์นี้เป็นวิธีการลงทุนแบบหุ้นน้อยตัวและเราสามารถติดตามพัฒนาการต่าง ๆ ได้  เราไม่ต้องกังวลมากในประเด็นการลงทุนอื่น ๆ  เนื่องจากบริษัทมักจะมีขนาดใหญ่และมีมาตรฐานในระดับสากล  เราเพียงแต่ต้องดูผลประกอบการและการขยายตัวหรือหดตัวของธุรกิจและเรื่องของการแข่งขันของคู่แข่งที่อาจจะมีมาโดยไม่คาดฝัน  และดูว่าราคาหุ้นยังไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับศักยภาพของกิจการ เป็นต้น

          ทางเลือกที่สามที่ผมใช้อยู่ก็คือ  เลือกหุ้นขนาดเล็กและราคาถูกของประเทศที่กำลังเติบโตหรือยังเติบโตได้โดยไม่ได้สนใจเรื่องของคุณภาพของกิจการ  นี่คือแนวการลงทุนแบบ เบน เกรแฮม  หรือแนวหุ้นก้นบุหรี่  โดยวิธีนี้เราจะต้องซื้อหุ้นจำนวนมากพอสมควรเพื่อกระจายความเสี่ยง  นอกจากนั้น  เราอาจจะไม่ถือหุ้นยาวมากนัก  เมื่อหุ้นมีการปรับตัวขึ้นหรือผลประกอบการลดต่ำลง  เราก็อาจจะต้องทยอยขายและปรับพอร์ตไปเรื่อย ๆ  โดยใช้เกณฑ์หลักก็คือ  ซื้อหุ้นถูก-ขายหุ้นแพง  ด้วยการทำแบบนี้  ผมหวังว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีตลาด  เหตุผลที่ผมเลือกวิธีนี้ที่สำคัญก็คือ  เราไม่รู้จัก  “คุณภาพ”  ของกิจการของหุ้นในต่างประเทศที่ไม่ได้เป็นหุ้น  “สากล”  และเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกอย่างหุ้นในแนวทางที่สอง  สิ่งที่เรารู้ก็คือข้อมูลตัวเลขรายได้  กำไร  และปันผล  รวมถึง อัตราส่วนต่าง ๆ ทางการเงิน  เราไม่รู้ว่าจริง ๆ  บริษัททำอะไรและมีความสามารถในการแข่งขันแค่ไหน  ว่าที่จริงในบางกรณีเราอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโครงสร้างหรือกฎเกณฑ์การทำธุรกิจของประเทศนั้นเป็นอย่างไร  เราลงทุนเพราะเราต้องการ  “ซื้อการเติบโตของประเทศ”  ในยามที่ราคาหุ้นยังถูกมาก  ซึ่งก็อาจจะคล้าย ๆ  กับการ  “ซื้อหุ้นประเทศไทย”  ในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งได้สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับคนที่ทำ  ส่วนตัวผมเองก็หวังว่าผมจะมีโอกาสทำมันซ้ำอีกในต่างประเทศ

            ไม่ว่าจะลงทุนแนวทางไหน  การลงทุนในต่างประเทศนั้นมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในประเทศมาก  ความเสี่ยงนั้นนอกจาก  “ความไม่รู้”  แล้ว  ยังรวมถึงความเสี่ยงของค่าเงิน  กฎเกณฑ์ต่าง ๆ  ของการนำเงินออก  และกฎหมายต่าง ๆ  ของประเทศนั้น ๆ  มีบ่อยครั้งที่เราทำกำไรได้จากการลงทุนแต่กลับมาขาดทุนจากเรื่องอื่น ๆ  เช่น เรื่องของค่าเงินที่เปลี่ยนแปลง  ดังนั้น  คนที่จะไปต่างประเทศจะต้องคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ให้มาก  สำหรับคนที่มีพอร์ตเล็กเกินไปแล้วผมเองคิดว่าการลงทุนในต่างประเทศยังไม่จำเป็นและไม่เหมาะนัก  แต่สำหรับคนที่มีพอร์ตค่อนข้างใหญ่  ผมคิดว่าการคิดถึงการลงทุนในต่างประเทศนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมอย่างแน่นอน