Friday, December 26, 2014

สมัยนิยม 2015 หุ้นไทย



      ในสมัยราชวงศ์ถังการรัดเท้าให้เล็กเป็นที่นิยมในหมู่สาวชาววัง ในยุโรปสมัยบารอค Baroque)สาวหุ้นอวบๆท้วมๆเป็นที่นิยมเพราะเชื่อว่าร่างกายที่สมบูรณ์จะสามารถคลอดลูกได้ง่าย และมี น้ำนมเพียงพอที่จะเลี้ยงดูลูกๆของเธอ ในประวัติศาสตร์การลงทุนนั้น สิ่งที่ได้รับความนิยม ในแต่ละยุคสมัยก็ต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะสังคม, การเมือง เศรษฐกิจ และ สิ่งแวดล้อมต่างๆ  ในบทความนี้เราจะมาดูความนิยมในการลงทุนหุ้นในอดีต และ มองออกไปในปี 2015 ที่กำลัง จะมาถึงนี้ว่ากระแสนิยมกันหันเหไปในทิศทางใด

  ในปี 2000 หลังจากที่ดัชนี NASDAQ ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 5,132 จุดในเดือนมีนาคม ซึ่งในขณะนั้น PE เฉลี่ยประมาณ 175 เท่า ก็ได้กลับเป็นขาลงทำให้ฟองสบู่ที่เริ่มฟอร์มตัว มาร่วม สิบปีได้แตกสลาย การถล่มลงของหุ้นเทคโนโลยีในช่วงปี 2000-2002 ทำให้ความมั่งคั่ง ของนักลงทุนหายไปกับสายลมราวๆ 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงที่นักลงทุนเข็ดขยาดกับการ “ซื้ออนาคต” หากเราดูข้อมูลทางสถิติของ Fidelity Investment จะเห็นว่าในช่วงปี 2000-2002 หุ้นที่เรียกว่า “โตช้า ไม่หวือหวา ปันผลดี PE ต่ำ” กลับมาได้รับความนิยมและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หุ้นประเภท “กำไรน้อยแต่เติบโตดี ปันผลน้อยหรือไม่มี และ  PE สูง” (หุ้นเติบโต)

  แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ถึงปี 2007 ซึ่งเป็นปีก่อน Hamburger Crisis ความกลัวของนักลงทุนที่ บาดเจ็บจากวิกฤต dot-comได้เริ่มเลือนลางไป หุ้นที่นิยมเรียกกันว่า “หุ้นเติบโต” ก็กลับมาเป็น ที่นิมอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเสื่อมความนิยมอีกทีหลังวิกฤตเกิดขึ้นในปี 2008

  ในปี 2014 ในตลาดหุ้นไทย หุ้นในตลาด MAI ซึ่งเป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กได้รับความนิยมอย่างสูง ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ MAI มี PE 71 เท่า PBV 5.70 และ ปันผลเฉลี่ย 0.86% ในขณะที่ หุ้นในSET มี PE 17.58 PBV 2.1 และ ปันผลเฉลี่ย 2.98% แต่หลังจากเกิด การเทกระจาด ในตลาดหุ้นไทยลบร้อยกว่าจุด, วิกฤตทางเศรษฐกิจของรัสเซีย และ การถดถอย ของราคาของ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ผมเริ่มเห็นแนวโน้มการหันมาลงทุนในหุ้นที่เรียกว่า “โตช้า ไม่หวือหวา ปันผลดี PE ต่ำ” ในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งหนึ่ง หุ้นที่เชื่อว่าเป็น “หุ้นเติบโต” ของไทยหลายตัว เหมือนว่าจะถูกตลาดลด PE ลงหลังจากความเสี่ยงของสภาวะแวดล้อมเริ่มเพิ่มขึ้น

  แล้วอะไรละจะเป็นที่นิยมในปี 2015? เมื่อเร็วๆนี้ธนาคารกลางของสวิสเซอร์แลนด์ได้ประกาศให้ ดอกเบี้ย LIBOR 3 เดือนอยู่ที่ -0.75% ลดลงจากเดิมที่อยู่ที่ -0.5% เพื่อไล่เงินออก แต่รัสเซีย กลับต้องประกาศ เพิ่มดอกเบี้ยจาก 10% เป็น 17% เพื่อให้คนนำเงินมาฝาก ตอนนี้ดอกเบี้ย พันธบัตร 10 ปีของเยอรมันอยู่แค่ 0.58% ของญี่ปุ่นอยู่แค่ 0.35% แต่ทำไมยังมีคนซื้อ? ทั้งนี้ผมเชื่อว่าคนที่มีความมั่งคั่งสูงในโลก เน้นที่จะรักษามูลค่าของสินทรัพย์ มากกว่าที่จะเน้น สร้างกำไร ในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงในเศรษฐกิจโลกเช่นทุกวันนี้

  สำหรับหุ้นไทยในปี 2015 โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า หุ้นที่มีความมั่นคงสูง มีสภาพคล่องซื้อขาย พอสมควร และให้เงินปันผลมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ น่าจะเป็นที่นิยมในช่วงครึ่งปีแรกของปี ทั้งนี้เพราะดอกเบี้ยของไทยยังคงน่าจะอยู่ในระดับต่ำ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจยังไม่เห็น ชัดเจนนัก และเงินจากการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เข้ามาในระบบจริงจัง ส่วนในครึ่งปีหลัง หากทุกอย่างมีความชัดเจนมากขึ้น หุ้นพวก “กำไรน้อยแต่เติบโตดี ปันผลน้อย หรือไม่มี และ  PE สูง” อาจกลับมาได้รับความนิยมกันอีกรอบก็เป็นได้

  แต่ไม่ว่าสมัยไหนจะนิยมอะไร นักลงทุนที่เป็นนักลงทุนระยาวควรเลือกเฉพาะกิจการที่มี “ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน” Durable Competitive Advantage) เท่านั้น ทั้งนี้เพราะ สิ่งที่จะสามารถทำให้บริษัทมีชีวืตรอดผ่านวิกฤตทั้งหลายได้ คือ DCA เวลาบริษัท จะล้มละลาย PE เท่าไหร่ก็ล้มได้PBV เท่าไหร่ก็ล้มได้ ดูอย่างสถาบันการเงิน ยักษ์ใหญ่บางแห่งในอเมริกา ที่ต้องเข้าแผนฟื้นฟูในปี2008 ตอนปลายปี 2007 มี PE แค่ 8 เท่าเอง ก็ขอฝากไว้ให้นักลงทุน ทุกท่านได้พิจารณาไม่ว่าจะลงทุนในสมัยใด