Sunday, January 4, 2015

สัญญานแห่งดอย


       เมื่อดัชนีหุ้นขึ้นมาสูงมากติดต่อกันหลายปีเป็นตลาดหุ้น “กระทิงดุ  คำถามที่ตามมาก็คือ  ตลาดหุ้นขึ้นมาถึง ดอย” หรือยังเพราะถ้ามันใกล้หรือถึงจุดสูงสุดแล้ว  สิ่งที่หลายคนโดยเฉพาะนักลงทุนที่เล่นหุ้นระยะสั้นหรือระยะกลางจะทำก็คือ  ขายหุ้นทิ้งเสียเก็บเงินสดไว้รอช้อนหุ้นที่จะตกลงมาแรง ๆ  หรือไม่ก็หันไปลงทุนอย่างอื่นที่จะได้ผลตอบแทนดีกว่า  การที่จะวิเคราะห์ได้ว่าตลาดหุ้นใกล้ถึง Peak หรือจุดสูงสุดและกำลังปรับตัวลงมากลายเป็นตลาด หมี” หรือไม่นั้น  เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก  เพราะตลาดหุ้นนั้น  ในระยะสั้น  คาดการณ์ไม่ได้”  อย่างไรก็ตาม  จากการสังเกตของผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนที่คร่ำหวอดในตลาดหุ้นมายาวนานนั้น  ตลาดกระทิงที่ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดนั้น  มักจะมีอาการหรือสัญญาณหลาย ๆ  อย่างประกอบกันพอสรุปได้ดังต่อไปนี้
         ข้อแรกก็คือ  ค่า PE หรือราคาหุ้นต่อกำไรของบริษัทของตลาดและหุ้นโดยทั่วไปมักจะอยู่ในระดับสูงใกล้กับระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์  ค่า PB หรือราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีของตลาดและหุ้นโดยทั่วไปนั้นอยู่ในระดับสูง  ส่วนอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นหรือDividend Yield นั้นจะค่อนข้างต่ำ  ดูจากตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ผมคิดว่าค่า PE ของตลาดหุ้นน่าจะใกล้ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับค่า PB  อย่างไรก็ตาม ปันผลนั้นยังค่อนข้างจะพอใช้ได้ที่ประมาณ 2.5%-3%  ในความเห็นของผมนั้น  ตัวเลขชุดนี้ยังไม่ชัดเจนว่าหุ้นน่าจะถึงยอดดอยแล้ว  เหตุผลก็คือ  อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดของเราในช่วงนี้ต่ำเป็นประวัติการณ์  เงินฝากอยู่ในระดับไม่เกิน 2%-3%  ดังนั้น  ค่า PE ระดับ 17-18 เท่าและปันผลจากการลงทุนในหุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าพอสมควร
          ข้อสองคือ หุ้นที่เข้าข่ายที่จะเป็นหุ้น “Value” นั้นหาได้ยากขึ้นมาก  หุ้นดี ๆ  ราคาก็ค่อนข้างแพงเป็นส่วนใหญ่  ส่วนหุ้นพื้น ๆ  นั้น  ราคาก็ไม่ถูก  จริงอยู่  เราอาจจะพอลงทุนได้  แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มี “Margin of Safety” เหลือเพียงพอสำหรับ “VI พันธุ์แท้ ที่เน้นลงทุนระยะยาวจริง ๆ   ในข้อนี้ผมเองคิดว่าตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ก็เข้าข่ายแล้ว

         ข้อสามที่อาจจะบ่งบอกว่าหุ้นใกล้ถึงดอยก็คือ  อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดกำลังขึ้น  หรือสภาพคล่องทางการเงินเริ่มลดลง  หรือในภาษาทางเศรษฐศาสตร์ก็คือ  Money Supplyกำลังหดตัว  ซึ่งในตลาดของไทยนั้น  ดูเหมือนว่าอัตราดอกเบี้ยของเรายังไม่มีท่าทีว่าจะขึ้น  ว่าที่จริงอาจจะมีแนวโน้มที่จะลดลงด้วยซ้ำถ้าดูจากการลงมติของคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งล่าสุดที่มีกรรมการ 2 เสียงลงมติให้ลดดอกเบี้ยในขณะที่เสียงส่วนใหญ่ยังให้คงไว้  อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าเรื่องนี้มีโอกาสเปลี่ยนได้เร็ว และอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐเองที่มีอิทธิพลต่อตลาดเงินโลกก็มีท่าทีว่าภายในปีหน้าก็จะปรับเพิ่มขึ้น  ดังนั้น  สัญญาณข้อนี้จริง ๆ  ยังไม่น่าไว้วางใจ

         ข้อสี่คือเรื่องหุ้น IPO  นี่เป็นสัญญาณที่แรงมากในตลาดหุ้นไทย  นั่นก็คือ  ในช่วงที่ตลาดหุ้นใกล้ถึงจุดสุดยอดนั้น  จะมีหุ้น IPO ออกขายมากมายและราคาหุ้นที่เข้าตลาดในวันแรก ๆ ก็จะปรับตัวสูงขึ้นมาก  และนี่ก็เป็นข้อที่ผมรู้สึกกังวลว่า  ตลาดหุ้นไทยนั้นอาจจะใกล้ Peak

         ข้อห้าเป็นเรื่องของการวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งผมเองก็ไม่ได้ศึกษา  แต่มีคนเคยศึกษาหรือให้ข้อสังเกตว่า  ถ้าหุ้นกว่า 75% ในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีราคาสูงกว่าแนวโน้มระยะยาวของมันมาระยะหนึ่งซึ่งอาจจะหลายปีแล้ว  ต่อมาจำนวนมันลดต่ำลงกว่า 75%  นี่ก็อาจเป็นสัญญาณว่า  หุ้นถึงดอยแล้ว  ผมเองไม่ทราบว่ามีใครศึกษาเรื่องแบบนี้ในตลาดหุ้นไทยหรือไม่  ความเชื่อของผมก็คือ  หุ้นไทยในช่วงเร็ว ๆ  นี้นั้น  กว่า 75%  มีราคาสูงกว่าแนวโน้มระยะยาวเพราะราคาหุ้นได้สูงขึ้นมามาก  สิ่งที่ไม่รู้ก็คือ  ขณะนี้มันลดลงมาต่ำกว่า 75% หรือไม่

         ข้อหก  คือสัญญาณที่ ปีเตอร์ ลินช์ เรียกว่า ทฤษฎี  งานเลี้ยงค็อกเทล นี่คือเหตุการณ์ที่คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักลงทุนมืออาชีพหันมาสนใจการลงทุนหรือเล่นหุ้น  ช่วงแรก ๆ  ก็อาจจะสนใจไม่มาก  แต่เมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ  อย่างรวดเร็ว  การทำเงินจากการเล่นหุ้นดูเหมือนจะง่ายมาก  คนก็สนใจหุ้นมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่งที่คนที่ไม่ควรสนใจลงทุนในหุ้นเลยเช่นช่างทำผมหรือคนขับแท็กซี่หันมาสนใจเรื่องหุ้น  ถ้าเกิดอาการแบบนี้  ก็อาจจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นกำลังถึงยอดดอยและใกล้จะลง  จากการสังเกตของผม  ผมคิดว่าช่วงนี้ในตลาดหุ้นไทยมีคนกลุ่มใหม่ ๆ  เข้ามาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่น่าจะค่อนข้างมีฐานะและ/หรือมีการศึกษาพอสมควร  ส่วนในคนทั่วไปนั้นผมก็คิดว่ามีความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  แต่ผมไม่รู้ว่ามากเท่าไร  โดยรวมแล้ว  น่าจะเป็นช่วงที่มีความตื่นตัวในหุ้นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ผมเคยเจอมา  ดังนั้น  ผมคิดว่าอาการนี้น่าจะ  ก้ำกึ่ง สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้

         ข้อเจ็ด  คือเรื่อง  การสนองตอบต่อข่าวสารของหุ้น  ความหมายก็คือ  ในช่วงที่หุ้นยังเป็นขาขึ้น” หรืออยู่ในภาวะกระทิงอยู่นั้น  ข่าวสารที่ดี ๆ  เช่น  บริษัทประกาศผลประกอบการที่ดี  ราคาหุ้นก็จะ  วิ่ง” รับกับข่าวชิ้นนั้น  บางทีวิ่งมากกว่าข่าวดีด้วยซ้ำ  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงที่จะสิ้นสุดยุคกระทิง  ข่าวดีที่ประกาศออกมานั้นกลับไม่ได้ได้รับการตอบรับที่ดีเท่า  บางครั้งประกาศข่าวดีแต่ราคาหุ้นกลับลง  ดูเหมือนว่าหุ้นนั้นรับข่าวดีไปหมดแล้ว  ไม่มีเงินเหลือที่จะซื้อหุ้นอีกต่อไป  คนรอแต่จะขายหุ้น   สำหรับในข้อนี้  ผมเองคิดว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่เห็น  ผมยังรู้สึกว่าข่าวดีนั้นยังได้รับการตอบรับที่ดี  บางทีหุ้นยังขึ้นมากกว่าข่าวโดยเฉพาะหุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ  ที่ราคายังขึ้นมากมายรับข่าวดีเล็ก ๆ  ที่อาจจะไม่ผลอะไรกับบริษัทจริง ๆ

         ข้อแปดคือเรื่อง  การเปลี่ยนกลุ่มหุ้นชั้นนำในตลาด  ความหมายของเรื่องนี้ก็คือ  ในแต่ละช่วงเวลานั้น  จะมีหุ้นบางกลุ่มเป็นหุ้นกลุ่มชั้นนำในตลาดเช่น  ถ้าย้อนหลังไปหลายสิบปี  ในช่วงนั้น หุ้นกลุ่มแบงค์เคยเป็นหุ้นกลุ่มนำ  ต่อมาอสังหาริมทรัพย์ก็เคยเป็นกลุ่มที่ทุกคนสนใจเล่นและมีขนาดใหญ่  เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มไฟแน้นซ์  ต่อมาก็หุ้นสื่อสารและกลุ่มพลังงานที่โดดเด่นมาจนถึงล่าสุด  คำถามก็คือ  ตอนนี้เรากำลังมีการ  เปลี่ยนกลุ่ม  หรือไม่โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่อาจจะมีปัญหาราคาน้ำมันตกต่ำ  ในเรื่องนี้ผมเองก็วิเคราะห์ไม่ออก  แต่การเปลี่ยนกลุ่มหุ้นชั้นนำในตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วนั้น  หลายครั้งสอดคล้องกับการกลับตัวของทิศทางดัชนีตลาดหุ้น

         ข้อเก้าก็คือ  เรื่องของข่าวสารข้อมูลตลาดหุ้นและการลงทุนทางสื่อมวลชนด้านต่าง ๆ  ในช่วงใกล้ถึงจุดสูงสุดของตลาดหุ้นนั้น  ข่าวและคอมเม้นท์จะมีมากมายในสื่อซึ่งถ้ามากถึงจุดหนึ่งก็จะออกทางสื่อมวลชน  กระแสหลัก” สำหรับในข้อนี้ผมคิดว่า  ข่าวหุ้น  ของไทยนั้น  มีค่อนข้างมากและกว้างขวาง  การจัดสัมมนาและมหกรรมต่าง ๆ  เกี่ยวกับหุ้นได้รับการต้อนรับมากขึ้นเรื่อย ๆ   บ่อยครั้งสื่อกระแสหลักก็นำเรื่องเกี่ยวกับตลาดหุ้นไปออก  ข้อนี้ผมคิดว่าตลาดหุ้นไทยมีอาการระดับ 8-9  จากคะแนนเต็ม 10

         สุดท้ายคือคำพูดหรือความรู้สึกของคนที่มีเงินและเป็นนักลงทุน  ในช่วงที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นแย่ที่สุดอย่างช่วงปีวิกฤติ 2540 นั้น  ทุกคนบอกว่า “Cash is King”  แต่ในช่วงที่หุ้นจะถึง ดอย  นั้น  คำพูดจะเปลี่ยนเป็น  “Cash is Trash” หรือเงินก็คือ ขยะ”  และสำหรับผมที่ช่วงนี้ผมมีเงินสดที่ได้จากการขายหุ้นไปบางส่วนนั้น  ผมรู้สึกอยู่บ้างเหมือนกันว่าเงินสดที่ถืออยู่นั้นได้ดอกเบี้ยต่ำเหลือเกิน  ดูคล้ายกับขยะอะไรอย่างนั้น  และทั้งหมดก็คือสัญญาณบางส่วนที่เมื่อนำมาประมวลว่าหุ้นไทยตอนนี้อยู่ที่ระดับไหน  ข้อสรุปของผมก็คือ  มันยังผสมผสานระหว่างใช่กับไม่ใช่ดอย  นักลงทุนแต่ละคนจะต้องตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไรกับพอร์ตของตน