Monday, January 19, 2015

กลยุทธ์สู่ความมั่งคั่ง


เด็กจบปริญญาตรีใหม่ ๆ  หรือเพิ่งเริ่มทำงานมาได้สักพักหนึ่งบางคนนั้น  บางทีก็ “ฝัน” ที่จะร่ำรวยด้วยการลงทุนในหุ้น  พวกเขารู้สึกว่าหุ้นนั้นสามารถทำให้คนรวยได้เร็วและเหนื่อยน้อยที่สุด  ว่าที่จริงพวกเขาอาจจะคิดว่าการทำงานกินเงินเดือนนั้น  “ไม่มีทางรวย” เพราะเขาอาจจะลองนับดูเงินเดือนที่จะได้รับหรือได้รับแต่ละเดือนแล้วก็พบว่ามันแค่พอกินพอใช้หรือบางทีก็ไม่ใคร่พอด้วยซ้ำ  โอกาสที่จะรวยนั้นไม่มีแน่นอน  แต่ถ้า  “เล่นหุ้น”  และประสบความสำเร็จอย่าง  “เซียน”  หลาย ๆ  คนที่อ้างว่าเริ่มลงทุนด้วยเงินเพียงน้อยนิดหลักหมื่นหรือแสนบาทแล้วกลายเป็นเงินหลายสิบหรือหลายร้อยล้านบาทในเวลาไม่กี่ปี  โอกาสรวยเป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐีก็เป็นไปได้  ดังนั้น  คนหวังรวยเร็ว ๆ  ซึ่งก็เป็นแนวความคิดของเด็กรุ่นใหม่จำนวนมากจึงมุ่งหน้าสู่ตลาดหุ้นและทุ่มเทให้กับการลงทุนหรือเล่นหุ้นจนอาจจะ “ลืม”  คิดถึงความเป็นจริงที่อาจจะไม่เหมือนกับสิ่งที่ตนเองรับรู้มา  หรือความเป็นจริงของตนเองที่อาจจะไม่เหมาะกับการยึดถือการลงทุนเป็นอาชีพตั้งแต่เริ่มต้นทำงานหลังจากเรียนจบ

ผมคิดว่าคนที่หวังจะร่ำรวยเร็ว ๆ จากเงิน “เริ่มต้น” ที่น้อยหรือไม่มีเลยนั้น  จำเป็นที่จะต้องกำหนดกลยุทธ์ใหญ่หรือยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องสำหรับตนเองเสียก่อน  ประการแรกก็คือ  ดูว่าตนเองมีจุดแข็งหรือความสามารถโดดเด่นทางด้านไหน  ถ้าเป็นคนเรียนเก่งและจบมาทางสายวิทยาศาสตร์  เช่น วิศวกรรมหรือแพทย์   หรือไม่ก็จบทางด้านที่เกี่ยวกับการเงินหรือธุรกิจในสถานศึกษาชั้นนำของประเทศ  ในกรณีแบบนี้  เราก็มี  “แต้มต่อ” ในเรื่องของการทำงานในองค์กรธุรกิจ  และถ้าเราขยันขันแข็งและมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี  โอกาสที่เราจะทำเงินได้มากและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมั่นคงก็จะมีมาก  และนี่เป็นหนทางที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้  ว่าที่จริงในสังคมไทยยุคใหม่นี้  พนักงานที่ทำงานจนร่ำรวยหรือมีความมั่งคั่งนั้น  มีไม่น้อยเลยและจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามแบบอย่างของประเทศที่เจริญแล้ว    ดังนั้น  ถ้าใครมีคุณสมบัติดังกล่าว  ผมคิดว่าเราต้องใช้มันเต็มที่  นั่นก็คือ  มุ่งหน้าสู่การทำงานในธุรกิจที่กำลังเติบโตเร็ว  ในบริษัทที่เปิดโอกาสให้เราเติบโตได้จนสามารถกลายเป็นผู้บริหารระดับสูง  และเมื่อถึงจุดนั้น  เราก็จะมีความมั่งคั่งโดยที่มีความเสี่ยงน้อย  และในกรณีอย่างนี้  การทุ่มเทให้กับการทำงานคือสิ่งที่เราจะต้องทำอย่างเต็มที่

  ในสถานการณ์ที่ตลาดหุ้น “บูม” มานานนับสิบปีอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้และทำให้มีนักลงทุนที่รวยจากการลงทุนในหุ้นจำนวนมากรวมถึงคนหนุ่มสาวที่อายุเพิ่งจะสามสิบบวกลบ  คนจำนวนมากจึงคิดว่าตลาดหุ้นหรือการลงทุนคือสิ่งที่สามารถทำให้เรารวยได้เร็วและง่าย  ดังนั้น  เส้นทางการลงทุนจึงเป็นเส้นทางที่หลายคนเลือกตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ  หรือเพิ่งทำงานมาไม่นาน  หลายคนทุ่มเทกับการวิเคราะห์หาหุ้นลงทุนโดยที่ให้ความสำคัญกับงานประจำน้อยกว่าที่ควรจะเป็นเพราะเขาอาจจะคิดว่างานนั้นเป็นแค่  “ส่วนเสริม” ของการมุ่งหน้าสู่ความมั่งคั่ง  พวกเขาอาจจะคิดว่าเมื่อถึงวันหนึ่งในอีกไม่นาน  เขาจะลาออกจากงานและมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว  ส่วนบางคนนั้น  พวกเขาปฏิเสธการทำงานหรือเลิกทำไปแล้วทั้ง ๆ  ที่เงินลงทุนยังไม่มากพอที่จะมี  “อิสรภาพทางการเงิน”  แต่พวกเขาคิดว่าเขาสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีพอที่จะนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและมีส่วนเกินที่จะนำไปลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นคนที่ร่ำรวยได้  เขาเชื่ออย่างนั้นเนื่องจากผลงานที่ผ่านมาหลายปีนั้นสูงขนาดปีละอาจจะ 50% หรือ เกิน 100% และเขามั่นใจว่าการทำผลตอบแทนปีละ20%-30% ขึ้นไปนั้น  เป็นสิ่งที่ง่ายมากไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรในอนาคต  ซึ่งผมคิดว่า  พวกเขาคิดผิด!

  ผมคิดว่าการที่จะพิสูจน์ได้ว่านักลงทุนคนไหนมี  “ความสามารถสูงเป็นพิเศษ” ได้จริงนั้น  เขาจะต้องผ่านการลงทุนที่ยาวนานระดับอย่างน้อย 15-20 ปีขึ้นไป  และสร้างผลตอบแทนที่ผมอยากเรียกว่า “Total Return” อย่างน้อย 20% ต่อปีแบบทบต้น  โดยที่เงินเริ่มต้นที่จะเริ่มบันทึกจะต้องมีนัยสำคัญสำหรับเขานั่นก็คือ  ไม่ใช่เงินเล็กน้อยที่เขาอาจจะเสียไปครึ่งหนึ่งโดยไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ  ตัวอย่างเช่น  เงินเริ่มต้นที่จดบันทึกผลตอบแทนนั้น  อาจจะเท่ากับรายได้จากการทำงาน 4-5 ปี ของเขา และเขาก็ไม่มีแหล่ง “เงินสำรอง” อื่น  เช่น เงินจากพ่อแม่ที่มีฐานะและพร้อมที่จะเข้ามาสนับสนุนเมื่อเกิดความจำเป็น  และด้วยการวัดแบบนี้  ผมเชื่อว่า  เราอาจจะพบว่าจำนวน  “เซียนหุ้น”  ในตลาดหุ้นไทยอาจจะลดลงไปมาก  เหตุผลที่ผมต้องกำหนดระยะเวลาการวัดผลงานที่ยาวนานนั้นเป็นเพราะว่าในช่วงเวลาสั้น ๆ  นั้น  เป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นจะอยู่ในช่วงบูมจัดที่ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนจะสูงโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถมากนัก  ส่วนเรื่องผลตอบแทนทบต้นปีละ 20% นั้นผมตั้งไว้เพราะพอร์ตเริ่มต้นของคนหนุ่มสาวอาจจะไม่ใหญ่นักซึ่งทำให้อาจจะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าปกติได้  ในกรณีที่เริ่มลงทุนด้วยพอร์ตขนาดใหญ่เป็น 10 ล้านบาทขึ้นไปนั้น  ผมคิดว่าผลตอบแทนถ้าได้ถึง 15% ต่อปีขึ้นไปก็ต้องถือว่ามีฝีมือในการลงทุนเป็นพิเศษแล้ว

  ประเด็นสำคัญที่ต้องพูดอีกเรื่องหนึ่งก็คือคำว่า Total Return หรือ  “ผลตอบแทนรวม”  ของการลงทุน  เพราะนี่เป็นเรื่องที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจเวลาวัดผลหรือวัดความสามารถในการลงทุนของตนเอง  ก่อนอื่นต้องกำหนดเสียก่อนว่าเม็ดเงินหรือพอร์ตการลงทุนรวมของตนเองคือเท่าไรเสียก่อน   บางคนอาจจะคิดว่าเงินที่ตนเองเอามาลงทุนใน  “หุ้น” คือพอร์ตรวมของตนเอง   ดังนั้น  เวลาวัดผลก็จะดูว่าในแต่ละปีได้กำไรจากการซื้อขายหุ้นเท่าไรแล้วก็บวกด้วยปันผล  ในกรณีแบบนี้ผมคิดว่าไม่เหมาะ  เพราะถ้าส่วนที่เรานำมาลงทุนในหุ้นนั้นมีเพียงนิดเดียว  ต่อให้ผลตอบแทนในหุ้นจะสูงมาก  มันก็ไม่ทำให้เรารวยหรือทำให้ผลตอบแทนเม็ดเงินของเราทั้งหมดสูงขึ้นมาได้มาก  วิธีที่ผมคิดว่าดีกว่าก็คือ  กำหนดว่าเรามีทรัพย์สินอะไรบ้างที่เราไม่ได้ใช้เองและสามารถนำไปหารายได้ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ถือว่าเป็นเงินลงทุนหมด

  ตัวอย่างเช่น  เงินฝากธนาคารและหุ้นกู้หรือพันธบัตรที่มีรายได้จากดอกเบี้ย  คอนโดที่เราซื้อมาไม่ใช่เพื่ออยู่อาศัยแต่นำไปปล่อยเช่าซึ่งค่าเช่าก็เป็นผลตอบแทน แบบนี้ถือเป็นเงินที่ต้องนับรวมในพอร์ตการลงทุน  ส่วนบ้านที่เราใช้อยู่อาศัยนั้นไม่นับเป็นเงินลงทุนเช่นเดียวกับรถยนต์ที่เราใช้  ส่วนเครื่องเพชรและทองรูปพรรณที่เราใช้ในการแต่งตัวนั้นไม่ถือเป็นเงินลงทุนในขณะที่ทองแท่งนั้น  แม้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดรายได้แต่มัน “พร้อมขาย” และเราตั้งใจซื้อเพื่อลงทุนก็ต้องนับรวมในพอร์ตของเรา    เมื่อเรากำหนดได้ทั้งหมดแล้วว่าอะไรเป็นทรัพย์สินเพื่อการลงทุน  เราก็จะคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินทุกรายการตาม  “ราคาตลาด” ในตอนต้นปีของแต่ละปี  กรณีที่ไม่มีราคาตลาดที่เราสามารถขายได้ชัดเจนเช่น  คอนโด  เราก็ควรกำหนดราคาที่ “อนุรักษ์นิยม” เช่น ใช้ราคาที่ซื้อมาแม้ว่าเราจะคิดว่าราคามันน่าจะเพิ่มขึ้นแล้ว เป็นต้น  ส่วนกรณีของทองแท่งนั้น  เราสามารถใช้ราคาตลาดได้เนื่องจากมันสามารถถูกนำไปขายได้จริง  หลังจากนั้นเราก็รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดดังกล่าวและกำหนดว่านี่คือทุนทั้งหมดที่เรามีในการลงทุน

  ผลตอบแทนรวมหรือ Total Return นั้นก็คือมูลค่าของทรัพย์สินที่เรามีทั้งหมดตอนปลายปี  ลบตอนต้นปีแล้วหารด้วยมูลค่าพอร์ตทั้งหมดตอนต้นปีคูณด้วย 100  ก็จะได้ผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนต่อปี  และเราทำแบบนี้ปีแล้วปีเล่า  ถ้าตัวเลขเฉลี่ยแบบทบต้นสูงถึง 15%-20%  ก็แสดงว่าเรามีความสามารถในการลงทุนสูงจริง  แต่ความสามารถนี้ไม่ใช่เกิดจากการลงทุนในหุ้นหรือเลือกหุ้นเก่งเพียงอย่างเดียว  แต่มันหมายความว่าเราสามารถจัดสรรเงินลงทุนในทรัพย์สินที่ถูกต้องด้วย  นั่นก็คือ  เราจัดสรรเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูง  นั่นก็คือหุ้นซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในทรัพย์สินอย่างอื่น  อย่างไรก็ตาม  การจัดเงินไปลงทุนในทรัพย์สินอย่างอื่นด้วยนั้น  มันสามารถลดความเสี่ยงจากความผันผวนได้  และนั่นก็อาจจะทำให้เราตัดสินใจยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำลงบ้างโดยไม่ลงทุนในหุ้นทั้ง 100%  และนี่ก็คือตัวเลขที่จะบอกว่าเรามีความสามารถในการลงทุนมากพอที่จะใช้เป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองหรือไม่