Monday, January 5, 2015

Operation Big Bubble OBB

  

  ผมชอบอ่านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามโดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่สอง  เพราะนี่คือสงครามที่  มีครบทุกเรื่องและทุกรส  มันเป็น สงครามแห่งมวลมนุษยชาติ  มันทำลายล้างอย่างบ้าคลั่งในขณะเดียวกันมันก็ก่อให้เกิดนวัตกรรมที่ไม่อาจจะหาได้ในช่วงเวลาแห่งความสงบ  เพียง 4-5 ปี  โลกเปลี่ยนไปอาจจะเท่ากับศตวรรษ  เรื่องหนึ่งที่ผมสนใจในสงครามก็คือ  แผนปฏิบัติการ ทั้งหลายในการเอาชนะข้าศึกในแต่ละเรื่อง  แผนเหล่านั้นถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นระบบและมีรายละเอียดที่ซับซ้อน  ความสำเร็จขึ้นอยู่กับหลาย ๆ  เรื่อง  สิ่งที่สำคัญรวมถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละฝ่ายและตัว  แผนปฏิบัติการ ว่ากำหนดขึ้นได้ดีและถูกต้องแค่ไหน  แผนที่ดีนั้นมักนำไปสู่ชัยชนะ  แต่แผนที่เลวนั้นนำไปสู่ความพ่ายแพ้  “Operation Sea Lion” ของเยอรมันในการเข้ายึดครองอังกฤษนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะกองทัพเรือเยอรมันนั้นด้อยกว่ากองทัพเรืออังกฤษมากในขณะที่กองทัพอากาศเองก็ไม่ได้เหนือกว่าอังกฤษมากนัก  ตรงกันข้าม  “Operation Overlord” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “D-Day” ของฝ่ายสัมพันธมิตรในการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีนั้น  ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม  ผมพูดถึงเรื่องนี้เพราะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ดูเหมือนว่าบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งกำลังทำ  ปฏิบัติการเกี่ยวกับหุ้น” ที่ผมอยากจะเรียกว่า  “Operation Big Bubble” หรือ OBB


         เป้าหมายของ OBB นั้น  ก็เพื่อที่จะ  ยกระดับ  ราคาหุ้นเป้าหมายให้สูงขึ้น อาจจะเป็นร้อยเท่าในเวลาอาจจะแค่ 3-4 ปี  ปฏิบัติการนี้  จะเป็นการใช้เครื่องมือโดยเฉพาะทางการเงินหลากหลายที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิผลสูงในการขับดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว  ในขณะเดียวกัน  การสร้างแหล่งที่มาของรายได้และกำไรของบริษัทใหม่ ๆ  ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะเป็นฐาน”  ให้การเพิ่มขึ้นของราคานั้นมีความเป็นไปได้เนื่องจากผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ  นั้น  จะเป็นแหล่งของการเติบโตของกำไรอย่างรวดเร็วเป็นร้อย ๆ  เปอร์เซ็นต์ต่อปีจากฐานที่ต่ำมากได้  ซึ่งนี่จะช่วยสนับสนุนราคาที่ขึ้นไปสูงมากจนทำให้ค่า PE เป็น 100 เท่าและยังมีนักวิเคราะห์ที่สามารถแนะนำให้ซื้อหุ้นโดยบอกว่ายังไม่แพงได้
      OBB ที่จะประสบความสำเร็จนั้น  ยังต้องมี  ปฏิบัติการทางจิตวิทยา” ที่มีประสิทธิผลสูง  สื่อสารมวลชนทุกด้านจะต้องถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับข่าวสารที่จะต้องมีออกมาต่อเนื่องรวมถึง  ข่าวลือ ที่จะต้องมีออกมาเป็นระยะ  ข่าวทุกชิ้นจะต้องเอื้อต่อการที่จะให้คนเชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจะโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดและราคาหุ้นหรือมูลค่าหุ้นจะต้องเพิ่มขึ้นมหาศาลเนื่องจากจะมี  การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง  และบริษัทจะ  ไม่เหมือนเดิม  บริษัทจะโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตไปอีกนาน
         กระบวนการที่จะขับราคาหรือมูลค่าหุ้นนั้น   จะไม่ใช้การพุ่งขึ้นเพียงครั้งเดียวและก็  ดับ  แต่จะต้องมีปฏิบัติการย่อย ๆ  ออกมาเป็นระยะ ๆ  ทั้งเรื่องของตัวกิจการและผลประกอบการ  และเรื่องของปฏิบัติการทางการเงินและจิตวิทยา  ทั้งหมดนั้นต้องสอดคล้องกัน  ประเด็นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ราคาหุ้นในตลาดจะต้องพุ่งขึ้นตามกันไปไม่สามารถให้หุ้นอยู่นิ่งได้  เพราะราคาหุ้นนั้นเป็นข้อมูลสำคัญที่สุดที่จะยืนยันว่าสตอรี่หรือเรื่องราวต่าง ๆ  ที่สาธารณชนได้รับนั้น  ถูกต้อง   การปล่อยให้ราคาหุ้นไหลลงมานานเกินไปจะทำลายความเชื่อมั่นของคนลง  ดังนั้น  การ ดูแลราคาหุ้น” จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในปฏิบัติการ BBO การที่จะ  ปิดปฏิบัติการ  เพื่อทำกำไรมหาศาลนั้น   จำเป็นที่จะต้องทำอย่างระมัดระวังและเป็นการทยอยทำและทำในยามที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วไปต่อตัวหุ้นขึ้นสูงสุดเท่านั้น
         ลองมาดูปฏิบัติการ BBO ที่มีการใช้กันในช่วงเร็ว ๆ  นี้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงดูก็จะพบว่าบริษัท   เป้าหมาย  นั้น  ล้วนเริ่มจากบริษัทที่เล็กมาก  มูลค่าตลาดหรือ Market Cap. นั้นอยู่ในหลักเพียงร้อยล้านบาทเท่านั้น  ส่วนใหญ่แล้วก็มักเป็นบริษัทที่มียอดขายและกำไรน้อยมาก  จำนวนมากยังขาดทุนอยู่  สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการ  เปลี่ยนธุรกิจ  โดยการหันมาทำธุรกิจที่กำลังเติบโตเร็วและทำเงินดีและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงเนื่องจากอาจจะเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องแข่งขันหรือเป็นธุรกิจที่ทำกำไรอยู่แล้วในขณะที่บริษัทเข้าไปซื้อมาจากเจ้าของหรือคนอื่นที่อาจจะให้ดีล  พิเศษ   ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานั้นดูเหมือนว่า  พลังงานทดแทนโดยเฉพาะที่เป็นพลังงานแสงแดดดูเหมือนว่าจะเป็นธุรกิจ  ยอดนิยม  ที่ถูกนำมาใช้ใน BBO  มาก  นอกจากนั้นก็อาจจะมีธุรกิจในด้านของ  เศรษฐกิจใหม่  ที่เรียกว่า ดิจิตอลอีโคโนมีก็อาจจะมีเช่นกัน  ในบางรายก็อาจจะใช้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เนื่องจากมันเป็นเรื่องง่ายที่จะโตเร็วเป็นพิเศษจากธุรกิจนี้สำหรับบางราย
         ในการทำ BBO นั้น  สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือการทำ  ปฏิบัติการทางการเงิน”    เนื่องจากเป็นเรื่องง่ายและ  ไม่มีต้นทุน  ที่จะทำ  ดังนั้น  เครื่องมือทางการเงินจึงถูกใช้อย่างเต็มที่ในช่วงที่ผ่านมา  สิ่งแรกที่มักจะทำกันก็คือ  การลดพาร์หรือมูลค่าทางบัญชีของหุ้นเพื่อทำให้หุ้นมีราคาซื้อขายที่  ถูกลง  มากที่สุดที่จะทำได้แต่อาจจะไม่ได้ทำครั้งเดียวแต่ค่อย ๆ  ทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับดันราคาหุ้น  สมมุติราคาพาร์เท่ากับ 1 บาทต่อหุ้นและราคาหุ้นในตลาดเท่ากับ 3 บาท  การลดพาร์เหลือ 25 สตางค์ก็จะทำให้ราคาตลาดเหลือเพียง 75 สตางค์ซึ่งจะทำให้คนรู้สึกว่าหุ้นถูกมากราคาไม่ถึงบาท  พอรอบต่อไปซึ่งอาจจะเป็นอีกหนึ่งปีต่อมา  เขาก็อาจจะลดพาร์ลงอีกเหลือเพียง 10 สตางค์หรือต่ำกว่านั้น  ผลก็คือ คนจะเข้ามาซื้อหุ้นเพราะหุ้น ไม่แพง
         เมื่อบริษัทเริ่มทำธุรกิจใหม่และวางแผนจะต้องโตอย่าง  ก้าวกระโดด  สิ่งที่บริษัทต้องทำก็คือ  การเพิ่มทุนเพื่อนำไป  ลงทุน  และการไป  เทคโอเวอร์  บริษัทอื่น   การประกาศ  เพิ่มทุนโดยให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นเดิม  มหาศาล เช่น  ให้สิทธิ 1 ต่อ 1 ที่ราคา 1 บาท  แต่ถ้าให้สิทธิเฉย ๆ  ก็อาจจะทำให้ผู้ถือหุ้นรู้สึกแย่ว่าต้อง  เสียเงิน  ดังนั้น  บริษัทก็มักจะต้อง  แถมวอแร้นต์ ให้อย่าง จุใจ” ซึ่งก็จะทำให้คนแห่กันเข้ามาซื้อหุ้นทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปอย่างแรงเพราะคนคิดว่าวอแร้นต์ที่ได้มานั้นถ้าเอาไปขายก็ได้เงินสุดจะคุ้มค่า   นี่ก็เป็นการหาเงินมาทำโครงการที่จะทำเงินให้บริษัท  แต่ถ้าจะทำเพียงครั้งเดียว  ราคาหุ้นก็จะ หมดแรง วิ่ง  ดังนั้น  เมื่อเวลาผ่านไป  หรือบางทีก็เวลาเดียวกัน  บริษัทก็จะต้องประกาศเพิ่มทุนใหม่อีก  แต่คราวนี้จะออกเป็น  PP หรือการขายให้แก่ บุคคลภายนอก  ที่อาจจะมี  บารมี  เพียบในแง่ของการเป็นนักลงทุน  ในราคาที่ถูกมากเพื่อเป็นการดึงดูดให้คนเข้ามาเล่นหุ้นด้วยความเชื่อมั่นว่าหุ้นจะต้อง ไปต่อ  และก็อีกเช่นกัน  เพื่อที่จะทำให้ ดีล ไปได้  วอแร้นต์ก็มักจะถูกนำมาใช้อีกนั่นก็คือ  ถ้ามีปัญหาตรงไหนก็แจกวอแร้นต์ให้  ปัญหาก็จะหมดไป
         บางบริษัทในตลาดที่ทำ BBO ในช่วงที่ผ่านมาหลายปีโดยใช้กลยุทธ์และเครื่องมือดังที่กล่าวมาทั้งหมดแบบ  เต็มสตรีม  นั้น  เราก็ได้เห็นราคาหรือควรจะต้องเรียกว่ามูลค่าหุ้นนั้นเพิ่มขึ้นจากหลัก 100 ล้านบาทกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท หรือเป็นการเติบโตขึ้นกว่า 100 เท่าในเวลาแค่ 2-3 ปี และทำให้เจ้าของดั้งเดิมกลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน   เงินที่ได้มานั้น  ไม่ได้เกิดจากตัวธุรกิจเนื่องจากบริษัทก็ยังมีรายได้และกำไรน้อยมาก  แต่เงินนั้นมาจากนักลงทุนจำนวนมากที่ต่างก็เชื่อมั่นว่าบริษัทนั้น  มีอนาคตที่สดใสมาก  หรือไม่ก็เกิดจากนักเล่นหุ้นที่เชื่อมั่นว่า  หุ้นตัวนั้นจะต้อง  ทำเงิน” ให้เขาได้อย่างรวดเร็วจากราคาที่พุ่งขึ้นเรื่อย ๆ   ในส่วนตัวผมเองนั้นผมเห็นว่า  ในปฏิบัติการไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามหรือหุ้น  คนที่เข้าไปเป็น เบี้ย เช่นทหารเลวหรือนักเล่นหุ้นรายย่อยน้อยคนจะได้ผลตอบแทนที่ดี  ถ้าโชคดี  ทหารก็ได้เหรียญกล้าหาญแต่โอกาสตายสูง  นักลงทุนรายย่อยนั้น  โอกาสที่จะรอดและได้  เหรียญกล้าหาญ” มีน้อย   มีแต่คนที่คิดและสั่งดำเนินการเท่านั้นที่มีโอกาสเป็นวีรบุรุษหรือกลายเป็นมหาเศรษฐีแม้ว่าในบางครั้งก็  ตาย” ได้เหมือนกัน