Saturday, January 10, 2015

ตลาดเงินโลกทุบหุ้นไทย"ฝรั่ง"ถือต่ำสุดรอบ4ปี


ตลาดเงินตลาดทุนโลกปั่นป่วน เงินทุนไหลออกจากหุ้นโยกเข้า "ดอลลาร์-ทองคำ" ฉุดดัชนีหุ้นไทยดิ่ง เผยนักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยต่ำสุดในรอบ 4 ปี รมว.คลังชี้ใน ปท.ต้องสร้างความเชื่อมั่น เปิดศักราชตลาดหุ้นดิ่งทั่วโลก

ไฟแนน ชียล ไทมส์ รายงานว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงกราวหลังเปิดรับศักราชใหม่ นำโดยตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐในวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้วันรุ่งขึ้นตลาดหุ้นฝั่งเอเชียดิ่งตาม หลังจากราคาน้ำมันดิบลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี เนื่องจากซัพพลายน้ำมันล้นตลาด ส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น เชฟรอนและเอ็กซอน โมบิล ถูกเทขายอย่างหนัก ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งสัญญาณด้านลบตั้งแต่ต้นปี 2558 

นอกจาก นี้ บลูมเบิร์กรายงานว่า ตลาดหุ้นยุโรปที่ปิดร่วงลงอย่างหนักในรอบเกือบ 9 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากความวิตกกังวลถึงปัญหาการเมืองของกรีซที่กำลังจะจัดเลือก ตั้งทั่วไปในวันที่ 25 มกราคมนี้ โดยพรรคสังคมนิยมซ้ายจัด ซึ่งประกาศนโยบายต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดมีแนวโน้มจะชนะการเลือก ตั้ง ซึ่งอาจทำให้กรีซต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกของยูโรโซน นอกจากนี้ยังวิตกกับแนวโน้มการเติบโตของประเทศในยุโรปที่คาดว่าจะอยู่ใน ระดับต่ำ

ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ และเวสต์เทกซัส ราคาต่ำกว่า 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เหลือเพียง 49.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากความกังวลเกี่ยวกับปริมาณการผลิตน้ำมันในตลาดโลก หลังจากกลุ่มโอเปกยืนยันจะไม่ปรับลดเพดานการผลิต สวนทางกับความต้องการใช้น้ำมันที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก ตั้งแต่ยุโรปจนถึงจีนชะลอตัวลง

ตลาดหุ้นไทยหัวทิ่มติดอันดับ 30 

ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย 2 วันทำการ (5-6 ม.ค. 58) ปิดที่ 1,477.58 จุด ลดลง 20.09 จุด หรือ -1.34% โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 5,812.66 ล้านบาท 

นาย ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ภาพรวมภาวะตลาดหุ้นไทยเปิดศักราชปี 2558 ค่อนข้างย่ำแย่ หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างหนักช่วง 2 วันติดต่อกัน จนติดอันดับตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดอันดับที่ 30 ของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยได้รับแรงกดดันทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ 

โดย เฉพาะผลจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนภาวะตลาดอยู่ในช่วงขาลงชัดเจน ประกอบกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปที่ยังอ่อนแอ ขณะที่รัสเซียมีแนวโน้มอาจถูกปรับลดเครดิตเรตติ้ง เนื่องจากมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินภายใน รวมถึงปัจจัยใหม่ เช่น ความกังวลต่อการเลือกตั้งในกรีซ 

ส่วนปัจจัยในประเทศ ยังมีแรงขายของนักลงทุนกลุ่มสถาบัน โดยเฉพาะจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ครบกำหนดไถ่ถอนช่วงต้นปีจำนวนมาก โดย บล.ทรีนีตี้คาดการณ์กรอบดัชนีมีโอกาสลดลงถึง 1,420 จุด และมีแรงต้านอยู่ที่ระดับ 1,500 จุด

ทิ้งหุ้นซื้อดอลลาร์-ทองคำ

นาย ณัฐชาตกล่าวว่า มีแนวโน้มที่เงินทุนในโลกจะปรับตัวอย่างรุนแรง ในทิศทางไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้นโยกย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ดอลลาร์สหรัฐ, ฟรังก์สวิตเซอร์แลนด์ แล้วยังมีบางส่วนไหลเข้าไปลงทุนในทองคำ ซึ่งทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกเมื่อ 5 ม.ค. 58 ปรับตัวเพิ่มขึ้นปิดทะลุ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ 

นอกจากนี้ต้องจับตาดูผลการประชุมของธนาคาร กลางยุโรป (อีซีบี) ในวันที่ 22 ม.ค.นี้ ว่าจะมีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรืออัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาเพิ่มเติม หรือไม่ หากมีก็จะช่วยให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผ่อนคลายความวิตกลงได้บ้าง รวมทั้งการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) วันที่ 27-28 ม.ค. และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 28 ม.ค. หาก กนง.มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก็อาจผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักได้

ต่างชาติถือหุ้นไทยต่ำสุดรอบ 4 ปี

นาย ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 1/58 ยังเป็นช่วงยากลำบาก เนื่องจากนักลงทุนยังหวาดกลัวความไม่แน่นอน ทำให้เม็ดเงินต่างชาติยังไม่ไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นนี้ เพราะสัญญาณการลงทุนของโลกยังไม่สดใสนัก

แม้ปัจจัยภายในประเทศจะค่อน ข้างดี ตามคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยใน 1-3 เดือนข้างหน้าจะเติบโตมากขึ้นจากฐานของปีก่อนหน้าที่ค่อนข้างต่ำ และบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีทิศทางกำไรเติบโตกว่า 15-16% จากปีก่อน

ปีนี้แรงขายจากต่างชาติน่าจะลดน้อยลงแล้ว หลังจากปีที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ราว 3.7 หมื่นล้านบาท จากปี 2556 ขายสุทธิราว 1.9 แสนล้านบาท ทำให้ต่างชาติมีสัดส่วนการถือครองสุทธิหุ้นไทยเหลือระดับ 32.29% (ประกอบด้วย NVDR 6.45% และถือหุ้นตรง25.24%) เป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 4 ปี

LTF ครบกำหนด 1.4 แสนล้าน

นาย ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดเงินตลาดทุน และตลาดโภคภัณฑ์ของโลกปั่นป่วนอย่างหนัก นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับการกดดันจากการขายคืนหน่วยลงทุนใน LTF ที่ครบกำหนดอายุ 5 ปี ซึ่งในต้นปี 2558 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท โดยเป็น LTF ที่ครบกำหนดและมีสิทธิ์ไถ่ถอนตั้งแต่ปีที่แล้ว 8 หมื่นล้านบาท และ LTF ที่ครบกำหนดปีนี้อีก 6 หมื่นล้านบาท ที่สามารถไถ่ถอนได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

"เม็ดเงินก้อน 8 หมื่นล้านบาท เชื่อว่าจะขายไม่เยอะ เพราะถ้าอยากขายคงขายไปตั้งแต่ปีก่อนแล้ว แต่ในส่วนของเม็ดเงินก้อนใหม่ราว 6 หมื่นล้านบาท ก้อนนี้มีโอกาสที่จะไถ่ถอนสูง ข้อมูลในอดีตชี้ว่าภายในไตรมาสแรกของปี นักลงทุนจะมีการขายคืนหน่วยลงทุนเฉลี่ยประมาณ 33% ของมูลค่าที่สามารถขายได้ โดยจะขายหนักในเดือน ม.ค.ประมาณ 15%"

แม้ว่าตลาดจะมีแรงกดดันจากการ ขาย LTF ที่ครบกำหนด แต่เชื่อว่าดัชนีจะไม่ลงรุนแรงเหมือนต้นปี"57 เนื่องจากปีนี้ตลาดมี Trigger Fund กองใหม่ ๆ ที่เสนอขายกันไปในช่วงปลายเดือน ธ.ค. 57 มากกว่า 5 กอง ขนาดประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นตัวประคองดัชนีในภาพรวมได้

"สมหมาย" ชี้สร้างความเชื่อมั่น

นาย สมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่ต้นปีตลาดหุ้นไทยตกลง เป็นผลจากตลาดทั่วโลก ทั้งราคาน้ำมันที่ตกลงต่อเนื่อง รวมทั้งปัญหาการเมือง อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยก็ปรับขึ้นมาค่อนข้างเยอะ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยน เกิดการเทขายหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทย 

"นักลงทุนก็ตกใจก็เห็น มาร์เก็ตแคปหายไปเยอะ ซึ่งก็ขอให้อย่ามีอะไรที่แย่ลงไปอีก และก็ต้องมาสร้างความมั่นใจประเทศ ตั้งแต่เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ยอมรับว่าเงินที่ออกจากท่อยังไม่ถึง 50% ของเป้า แต่ก็ยังมีเวลาที่จะทำรวมถึงมาตรการจูงใจต่างชาติมาตั้งสำนักงานในไทย เป็นมาตรการระยะกลางที่จะสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้น" รมว.คลังกล่าวและว่า

อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจด้านเศรษฐกิจ ความเสี่ยงเป็นเรื่องตลาดโลกนักลงทุนไทยก็มีความกังวลและไม่มั่นใจว่าหลัง รัฐบาลชุดนี้อะไรจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ต่างชาติจะขนเงินมาลงทุนในประเทศไทยหรือไม่

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีที่ปัจจุบัน กนง.คาดการณ์ไว้ที่ราว 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลนั้น อาจจะต้องมีการปรับสมมุติฐานอีกครั้ง เนื่องจากครึ่งปีหลังคาดว่าจะอยู่ที่ราว 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ดีราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่ประเมินนี้ ไม่ได้มีแรงกดดันต่อนโยบายการเงินแต่อย่างใด และนโยบายการเงินที่มีความผ่อนคลายแล้วในปัจจุบัน จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยปี 2558 ให้ขยายตัวระดับ 4% ได้

ประชาชาติธุรกิจ