Saturday, January 10, 2015

ชำแหละกำไร "กูรูหุ้น" ปี 57"วีไอ" เป๋าแบน "เทคนิค" เป๋าตุง


เซียนหุ้นวีไอ“เซ็ง”ตลาดหุ้นไทยปี 57 ขึ้นเร็วลงแรง กดผลตอบแทนขยับน้อยกว่าปีก่อนตรงข้าม“เทคนิค”และ“พันธุ์ผสม"  
กว่า “เหล่าเซียนหุ้น” จะยอมเปลี่ยนที่อยู่ของเงิน โยกจากฝากแบงก์มาลงทุนในตลาดหุ้น ก็ล่วงเลยปี 2557 มาแล้วเกือบครึ่งปี ในครานั้นนักลงทุนไซด์บิ๊กหลายราย พูดในทำนองเดียวกันว่า “การเมืองไทยที่วุ่นวายในช่วง 5 เดือนแรก ทำให้ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไม่ออก เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครหน้าไหนจะกล้าเล่นหุ้น”

ท่ามกลางความไม่ปกติของการเมืองไทย ทำให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ตลาดหุ้นค่อยๆ ขึ้นจาก “จุดต่ำสุด” 1,224.62 จุด (วันที่ 3 ม.ค.2557) มาแตะระดับ 1,401 จุด (วันที่ 16 เม.ย.) แต่เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย SET INDEX ก็ทะยานสู่ระดับ 1,543 จุด ในเดือนส.ค.ก่อนจะขึ้นไปสร้าง “จุดสูงสุด” ที่ 1,600 จุด (26 ก.ย.2557)

เมื่อดัชนีปี 2557 ผันผวนเช่นนี้ ผลตอบแทนของ “กูรูหุ้น” จะเป็นเช่นไร “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” มีคำตอบ

“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ในฐานะผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย หรือ วีไอ เล่าถึงผลตอบแทนจากการลงทุนของปี 2557 ว่า “พอร์ตรวมมีกำไรแต่บวกน้อยกว่าตลาดหุ้นเล็กน้อย” ซึ่งผลตอบแทนของตลาดหุ้นอยู่เฉลี่ย 20 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นเมื่อเราเป็นนักลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนจึงออกมาเป็นเช่นนี้

“ปี 2557 การลงทุนออกแนวไม่ค่อยสบายตัว เพราะราคาหุ้นตัวเล็กๆปรับขึ้นค่อนข้างรุนแรง ขณะที่หุ้นพื้นฐานไม่ค่อยไปไหน แถมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มออกมาไม่ค่อยดี”

จากสถานการณ์ตลาดหุ้นผันผวน ทำให้ในปี 2557 จำเป็นต้องจัดพอร์ตลงทุนใหม่ ด้วยการหันมาถือเงินสดมากถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือนำไปลงทุนในตลาดหุ้น 75 เปอร์เซ็นต์ นโยบายเก็บเงินสด ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี เพราะตั้งแต่เป็นนักลงทุนวีไอแทบนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น “ร้อยเปอร์เซ็นต์”

“นโยบายถือเงินสด ทำให้รู้สึกอึดอัด เพราะจะทำให้มีผลตอบแทนจากการลงทุนออกมาน้อยมาก”

“กูรูตลาดหุ้น” ยอมรับว่า ด้วยความที่ไม่อยากเก็บเงินสดไว้มากๆ ทำให้เมื่อ 3-4 เดือนก่อน เริ่มเข้าไปชิมลางตลาดหุ้นต่างประเทศ ด้วยการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม วิธีการ คือ เน้นซื้อหุ้นพื้นฐานที่มีราคาไม่แพง

ถามว่ามองเห็นอะไรในตลาดหุ้นเวียดนาม? แน่นอนว่า ผลตอบแทนย่อม “คุ้มค่า” กว่าตลาดหุ้นไทย อีกอย่างการหันออกไปลงทุนนอกบ้าน ถือเป็นการปรับตัว เพื่อให้เข้ากับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ปลายปี 2558

หากมองภาพรวมของพอร์ตในระยะยาว ตลาดหุ้นต่างประเทศอาจเริ่มมีนัยสำคัญ แต่ถ้ามองการลงทุนระยะสั้นยังคงให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นไทยเหมือนเคย เพราะในบ้างจังหวะที่หุ้นไทยปรับตัวลงมาแรงๆ ก็ถือเป็นโอกาสในการเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม

ตลาดหุ้นเวียดนามมีความแตกต่างจากตลาดหุ้นไทย ตรงที่ไม่ค่อยมีนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร ฉะนั้นผลตอบแทนจากการลงทุนย๋อมมีไม่มาก ฉะนั้นถือเป็นเรื่องยาก หากหวังจะมีกำไรในตลาดหุ้นเวียดนามมากๆเหมือนที่ทำได้ในตลาดหุ้นไทย

“นักลงทุนวีไอจะไม่ค่อยชอบตลาดกระทิง แต่จะชอบตลาดหุ้นอนุรักษ์นิยม”

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ปี 2557 “ดร.นิเวศน์” ถือลงทุนหุ้นหลากหลายกลุ่ม เช่น หุ้น บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ หรือ BAFS จำนวน 4,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.78 เปอร์เซ็นต์ หุ้น จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก หรือ EASTW จำนวน 10,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.60 เปอร์เซ็นต์ หุ้น เอ็ม บี เค หรือ MBK จำนวน 10,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.53 เปอร์เซ็นต์ หุ้น มูราโมโต้ อีเล็คตรอน หรือ METCO จำนวน 120,000 หุ้น คิดเป็น 0.57 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น

ด้าน “เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” เซียนหุ้นรายใหญ่ บอกว่า ผลตอบแทนที่ทำได้ในปี 2557 อยู่ที่ตัวเลขประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่มาจาก 4 หุ้นหลัก แบ่งเป็นหุ้นไอพีโอ 2 ตัว คือ หุ้น เซ็ปเป้ หรือ SAPPE และ หุ้น ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 หรือ SAWAD ซึ่งหุ้นสองตัวนี้ได้มาตั้งแต่ราคาไอพีโอ (หุ้น SAPPE ราคาไอพีโอ 13.50 บาท หุ้น SAWAD 6.90)

ส่วนหุ้นอีก 2 ตัว คือ หุ้น ทรัพย์ศรีไทย หรือ SST และ หุ้น เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ หรือ WORK ซึ่งได้มาตั้งแต่ต้นทุน 20 บาท สนใจหุ้น WORK เพราะเขาคือ อันดับหนึ่งของธุรกิจทีวีดิจิทัล ปัจจุบันหุ้น WORK ซื้อขายเฉลี่ย 44.64 บาท และหุ้น SST ซื้อขายเฉลี่ย 27.52 บาท

“ตลอดปี 2557 หุ้น IPO ถือเป็นตัวสร้างกำไรดีที่สุด ซึ่งในปี 2558 เชื่อว่าหุ้น IPO ยังคงน่าสนใจเหมือนเดิม หากราคาไม่สูงเกินไป และมีอนาคตที่ดี เนื่องจากปัจจุบันหุ้นหลายตัวที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นมีราคาแพงเกินไป หลังถูกนักลงทุนบางรายลากราคาขึ้นไปค่อนข้างสูง ซึ่งหุ้นประเภทนี้ผมจะไม่เข้าไปยุ่ง”

“เสี่ยปู่” บอกว่า ปัจจุบันได้ปรับลดพอร์ตลงทุนลงมาอยู่ระดับ 80-90 เปอร์เซ็นต์ หลังหันมากระจายความเสี่ยง ด้วยการซื้อที่ดินในแถบกรุงเทพฯและปริมณฑลมากขึ้น วิธีการ คือ ทยอยสะสม และหากได้ราคาที่ดี ก็จะขายทำกำไรทันที ซึ่งการลงทุนในที่ดินจะให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง

ตลอดปี 2557 “เสี่ยปู่” ถือลงทุน หุ้น บางกอก เดค-คอน หรือ BKD จำนวน 10,000,000 หุ้น คิดเป็น 1.43 เปอร์เซ็นต์ หุ้น บ้านร็อคการ์เด้น หรือ BROCK จำนวน 87,569,650 หุ้น คิดเป็น 8.54 เปอร์เซ็นต์ หุ้น ช.การช่าง หรือ CK จำนวน 12,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.71 เปอร์เซ็นต์ หุ้น เด็มโก้ หรือ DEMCO จำนวน 9,228,600 หุ้น คิดเป็น 1.33 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น

"เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์” เจ้าของพอร์ตหุ้นหลายพันล้าน ส่งยิ้มเป็นคำตอบ ก่อนบอกว่า “ร้อยเปอร์เซ็นต์” คือ ตัวเลขกำไรที่ทำได้ในปี 2557 ส่วนใหญ่ได้จาก “หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง”ซึ่งในปี 2558 ยังคงให้น้ำหนักในกลุ่มนี้ต่อไป

ตลอดปี 2557 ได้ปรับลดพอร์ตลงทุน จาก “ร้อยเปอร์เซ็นต์” เหลือเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ โดยกระจายการลงทุนไปในกลุ่มอสังหริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้าง แต่การลงทุนในปี 2558 คงไม่ปรับลดน้ำหนักไปมากกว่านี้ ตรงข้ามจะรอจังหวะซื้อเพิ่มมากกว่า

สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจอาจเป็นบริษัทที่จะได้รับผลประโยชน์จากนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐบาล อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หรือหุ้นที่มีพื้นฐานดี และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

“ปีก่อนแอบเห็นนักลงทุนบางรายได้รับผลตอบแทนน้อย บางคนถึงขั้น “ขาดทุน” แม้ดัชนีจะขึ้นไปกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนที่ลงทุนในกลุ่มพลังงานทดแทน”

ตลอดปี 2557 พบชื่อ “เสี่ยยักษ์” ถือหุ้นหลากหลายตัว เช่น หุ้น บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี หรือ BJCHI จำนวน 12,632,600 หุ้น คิดเป็น 3.95 เปอร์เซ็นต์ หุ้น บางกอกแลนด์ หรือ BLAND จำนวน 142,002,000 หุ้น คิดเป็น 0.69 เปอร์เซ็นต์ หุ้น ช.การช่าง หรือ CK จำนวน 11,741,800 หุ้น คิดเป็น 0.69 เปอร์เซ็นต์ หุ้น ซีเค พาวเวอร์ หรือ CKP จำนวน 9,533,300 หุ้น คิดเป็น 0.87 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนั้นยังมีหุ้น มิลล์คอน สตีล หรือ MILL จำนวน 40,000,000 หุ้น คิดเป็น 2.15 เปอร์เซ็นต์ หุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE จำนวน 203,132,500 หุ้น คิดเป็น 1.40 เปอร์เซ็นต์ หุ้น ทรีซิกตี้ไฟว์ หรือ TSF จำนวน 12,355,473 หุ้น คิดเป็น 0.51 เปอร์เซ็นต์ หุ้น วินเทจ วิศวกรรม หรือ VTE จำนวน 10,500,000 หุ้น คิดเป็น 3.30 เปอร์เซ็นต์ และหุ้น วธน แคปปิตัล หรือ WAT จำนวน 308,091,200 หุ้น คิดเป็น 0.58 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น

ฟาก “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” เซียนหุ้นเทคนิค เล่าว่า แม้ตลาดหุ้นจะออกแนวหวือหวาจนทำให้เกิดความกังวลในหลายๆครั้ง แต่พอร์ตรวมก็ยังมี “กำไรกว่า 50 เปอร์เซ็นต์” สำหรับ “พระเอกของพอร์ต” คือ “กลุ่มสื่อสาร” ไม่ว่าจะเป็นหุ้น โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ DTAC หุ้น แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC และหุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE

นอกจากยังมี “กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” และ “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ขณะเดียวกันยังมีกำไรมาจาก “หุ้น IPO” ส่วนตัวเชื่อว่า ปี 2558 หุ้น IPO ยังคงน่าสนใจเหมือนเคย แต่จะดีมากหรือดีน้อยให้จับตาดูภาพรวมของตลาดหุ้นไทย หากดัชนีวิ่งต่อ หุ้น IPO สวยเหมือนปีก่อนแน่

เขา ยอมรับว่า กำไรกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จริงๆ เพิ่งมาได้ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557 เพราะครึ่งปีแรกไม่ค่อยกล้าลงทุนเท่าไหร่ หลังสถานการณ์ต่างๆไม่เอื้ออำนวย ช่วงนั้นได้แต่นั่งดูหุ้นทุกวัน แต่ไม่กล้าควักเงินซื้อ แต่ทันทีที่บ้านเมืองสงบสุข ก็กลับเข้ามาลงทุนเต็มตัวอีกครั้ง

“ตลาดหุ้นปี 2558 น่าจะกลับมาพีคอีกครั้ง แต่ต้องอยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่า หุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น ครอบครัวปตท. เป็นต้น”

จากการสำรวจข้อมูล พบว่า “เสี่ยป๋อง” ถือหุ้น บางกอกแลนด์ หรือ BLAND จำนวน 220,000,000 หุ้น คิดเป็น 1.06 เปอร์เซ็นต์ หุ้น คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ หรือ CGD จำนวน 50,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.72 เปอร์เซ็นต์ หุ้น ช.การช่าง หรือ CK จำนวน 8,800,000 หุ้น คิดเป็น 0.52 เปอร์เซ็นต์ หุ้น ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง หรือ ECL จำนวน 6,500,000 หุ้น คิดเป็น 1.09 เปอร์เซ็นต์

หุ้น อิชิตัน กรุ๊ป หรือ ICHI จำนวน 7,500,000 หุ้น คิดเป็น 0.58 เปอร์เซ็นต์ หุ้น เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น หรือ MLINK จำนวน 5,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.93 เปอร์เซ็นต์ หุ้น ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 หรือ SAWAD จำนวน 5,100,000 หุ้น คิดเป็น 0.51 เปอร์เซ็นต์ หุ้น ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม หรือ TFD จำนวน 10,600,000 หุ้น คิดเป็น 0.83 เปอร์เซ็นต์ และหุ้น ไทยรับประกันภัยต่อ หรือ THRE จำนวน 30,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.85 เปอร์เซ็นต์