Monday, January 26, 2015

The Zulu Principle

   
   เมื่อผม  “เริ่มเดินทาง” สาย Value Investment อย่างจริงจังประมาณ 20 ปีมาแล้วนั้น  การอ่านหนังสือการลงทุนจากต่างประเทศเป็นกิจกรรมที่ผมทำอย่างเข้มข้น  หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนโดยเฉพาะแนว VI ที่  “โด่งดัง”  หรือเป็นหนังสือขายดีแบบ Best Seller แทบทุกเล่ม  เช่นเดียวกับหนังสือ Classic ที่ยอดเยี่ยมและไม่ขึ้นกับกาลเวลานั้น  ผมอ่านแทบทุกเล่ม  หนึ่งในหนังสือที่ผมรู้สึกว่าอ่านง่ายและได้ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ไม่ยากก็คือ  “The Zulu Principle”  หรือ  “หลักการของซูลู”  เขียนโดย Jim Slater  นักลงทุนชื่อดังชาวอังกฤษ หนังสือเขียนมาตั้งแต่ปี 1992 แต่ผมอ่านเวอร์ชั่นของปี 1997 ปีที่ไทยเกิดวิกฤติทางการเงิน

แนวความคิดของ จิม สเลเตอร์ ที่พูดถึงในหนังสือเล่มนี้ก็คือเขาต้องการที่จะแนะนำให้นักลงทุนรายย่อยที่เป็นคนชั้นกลางของอังกฤษหันมาลงทุนอย่างชาญฉลาดในตลาดหุ้นและมีความสุขกับมัน  เขาบอกว่านักลงทุนรายย่อยทุกคนนั้น   สามารถที่จะเป็น  “ผู้เชี่ยวชาญ” ในอุตสาหกรรมหรือหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ไม่ยาก  และถ้าทำแบบนั้นแล้ว  พวกเขานอกจากจะสามารถทำกำไรจากหุ้นที่เติบโตดีอย่างโดดเด่นมากแล้ว  ยังจะมีความสุขจากกระบวนการลงทุนนั้นด้วย

ในหนังสือ  The Zulu Principle นั้น  จิม สเลเตอร์ บอกว่าเขาได้ความคิดจากภรรยา  นั่นคือ  ในวันหนึ่งภรรยาเขาได้อ่านบทความเกี่ยวกับชนเผ่าซูลูในอาฟริกาที่มีความโดดเด่นน่าสนใจมากจากหนังสือ Readers Digest  และเพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น  ภรรยาเขาก็รู้เรื่องราวเกี่ยวกับซูลูมากกว่าตัวเขาเอง  และทันใดนั้น  เขาก็รู้สึกว่า  ถ้าภรรยาเขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับซูลูทั้งหมดในห้องสมุดของท้องถิ่น  หล่อนก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านของซูลูที่โดดเด่นในเมือง Surrey   และถ้านางสเลเตอร์ตัดสินใจเดินทางไปประเทศอาฟริกาใต้  ใช้เวลาซัก 6 เดือนศึกษาที่มหาวิทยาลัยโจฮานเนสเบิร์กและใช้เวลาบางส่วนในชุมชนอนุรักษ์ของชนเผ่านี้  หล่อนก็สามารถที่จะเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเกี่ยวกับชนเผ่าซูลูได้

จิม สเลเตอร์บอกว่า  มันไม่ได้ใช้เวลามากมายนักที่จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ  คนทั่วไปที่ใช้เวลาวันละหนึ่งชั่วโมงศึกษาบริษัทต่าง ๆ  ที่ผลิตหรือขายสินค้าหรือบริการในอุตสาหกรรมหนึ่งนั้น  ในที่สุดก็จะรู้จักกับบริษัทและอุตสาหกรรมอย่างลึกซึ้ง  และเขาก็จะไม่ตัดสินใจอะไรผิดพลาดได้ง่าย    เขาจะรู้ว่าบริษัทไหนดีและบริษัทไหนไม่ดี  บริษัทไหนจะประสบความสำเร็จในด้านไหนมากกว่าบริษัทอื่น  เขาจะรู้ก่อนคนอื่นว่าบริษัทไหนจะมีข่าวอะไรดี ๆ  ออกมา  การที่คนพยายามศึกษาบริษัทต่าง ๆ  ในหลาย ๆ  อุตสาหกรรมมากเกินไปนั้น  สุดท้ายเขาก็จะไม่รู้อะไรอย่างจริงจัง  วิธีที่ดีกว่าก็คือ  พยายามจับแค่หนึ่งหรือสองอุตสาหกรรมก็พอ

นอกจากวิธีการเรียนรู้แบบซูลูแล้ว  สเลเตอร์ยังบอกด้วยว่าการลงทุนในหุ้นนั้นเป็นทั้งเรื่องของการทำเงินที่งดงามและเป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจในแง่ที่คุณจะได้รับความรื่นรมย์จากการใช้ความคิดและวิชาการ  นอกจากนั้นเขายังแนะนำให้นักลงทุนเข้าร่วมใน Investment Club หรือชมรมการลงทุนที่ซึ่งแต่ละคนจะช่วยกันเลือกหาหุ้นจากประสบการณ์ของตน  สเลเตอร์มองว่านักลงทุนรายย่อยนั้นมีข้อได้เปรียบบางอย่างเหนือนักลงทุนมืออาชีพ    เนื่องจากมีเงินลงทุนน้อย  ดังนั้น  พวกเขาสามารถลงทุนในบริษัทเล็กและสามารถเลือกเฉพาะหุ้นที่ดีที่สุดสิบตัวได้ในขณะที่นักลงทุนมืออาชีพต้องซื้อหุ้นจำนวนมากที่ทำให้ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีมากได้

ในส่วนของการเลือกหุ้นนั้น  สเลเตอร์แนะนำว่าเราควรลงทุนในหุ้นที่มี PE ต่ำ  มีความได้เปรียบในการแข่งขันซึ่งอาจจะมาจากยี่ห้อของสินค้าที่โดดเด่นหรือมีสิทธิบัตรเฉพาะเช่นพวกยาเป็นต้น    และเมื่อพบหุ้นเหล่านี้แล้วก็จะดูต่อไปว่าบริษัทมีการเติบโตที่โดดเด่นหรือไม่  ซึ่งความหมายของการเติบโตก็คือ  บริษัทควรมี EPS หรือกำไรต่อหุ้นเติบโตในอัตราอย่างน้อย 15% ต่อปี  และการเติบโตนี้  ในความเห็นของเขาก็คือ  ควรมาจากการที่บริษัทสามารถ  “Clone” หรือทำกิจกรรมบางอย่างที่ประสบความสำเร็จแล้วซ้ำ ๆ  เช่น เปิดร้านเครือข่ายเพิ่ม  เปิดภัตตาคารเพิ่ม หุ้นที่ทำได้แบบนี้จะมีอนาคตที่น่าสนใจมาก  ในส่วนของผู้บริหารของบริษัทนั้น  สเลเตอร์ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะสามารถตัดสินความสามารถหรือความซื่อสัตย์โดยเฉพาะของบริษัทเล็กที่โตเร็วได้   ดังนั้น  สิ่งที่เขาแนะนำก็คือ  ให้เริ่มดูจากตัวเลขต่าง ๆ  ของบริษัทก่อน  โดยที่  กฎสำคัญเป็นดังต่อไปนี้:

หนึ่ง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น  บริษัทจะต้องกำไรทุกปีไม่มีข้อยกเว้น

สอง  กำไรในช่วง 4 ปีหลังนั้นจะต้องเพิ่มขึ้นทุกปีและ EPS หรือกำไรต่อหุ้นปกติจากการดำเนินงานในปีล่าสุดจะต้องสูงสุด  ซึ่งนี่จะเป็นสัญญาณว่าบริษัทกำลัง “เดินหน้า” จริง ๆ

สาม หุ้นอสังหาริมทรัพย์จะต้องถูกตัดออกเพราะว่ามันเป็นเรื่องของทรัพย์สินมากกว่าการเจริญเติบโต  ทรัพย์สินนั้นอาจจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้แต่มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากความสามารถของผู้บริหาร

สี่  หุ้นควรจะมีโบรกเกอร์วิเคราะห์ติดตาม  และคำแนะนำจะต้องเป็น  “ซื้อ” กฏข้อนี้มีขึ้นเพราะสเลเตอร์คิดว่านักลงทุนรายย่อยนั้นไม่สามารถที่จะได้ข้อมูลลึก ๆ ของบริษัท  ดังนั้น  การได้นักวิเคราะห์มาช่วยวิเคราะห์และคาดการณ์จะทำให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น

ห้า สเลเตอร์ค่อนข้างจะระมัดระวังเกี่ยวกับหุ้นวัฏจักรเช่นหุ้นรับเหมาก่อสร้างมาก  ถ้าจะเป็นบริษัทที่โตเร็ว  หุ้นพวกนี้จะต้องเข้าข่ายตามกฎทั้งหลายที่กล่าวมาด้วย  ซึ่งนี่ก็มักจะทำให้หุ้นในกลุ่มนี้ตกรอบไม่ถือว่าเป็นหุ้นเติบโตเร็ว

สุดท้ายก็คือ  จิม สเลเตอร์ แนะนำว่าเราควรที่จะดูค่า PEG หรือค่า PE เมื่อเทียบกับการเจริญเติบโตของบริษัท  นั่นก็คือ  ค่า PE หรือระดับราคาหุ้นที่เราจ่ายเมื่อเทียบกับศักยภาพในการเจริญเติบโตของบริษัท  โดยหุ้นที่น่าสนใจก็คือหุ้นที่มีค่า PEG ต่ำกว่า 1 เท่า  โดยที่สเลเตอร์มองว่าหุ้นที่เรามองหาควรจะมีการเติบโตระหว่าง 15% ถึง 25% ต่อปี  เพราะหุ้นที่โตเกินนี้จะเป็นการโตที่ไม่ยั่งยืน  ดังนั้น  ถ้ามองในแนวนี้  หุ้นที่มี PE เกิน 25 เท่าโดยทั่วไปก็จะไม่น่าสนใจในสายตาของสเลเตอร์

นอกจากเรื่องของตัวเลขดังกล่าวแล้ว  อีกสิ่งหนึ่งที่สเลเตอร์แนะนำก็คือ  เราควรหลีกเลี่ยงที่จะลงทุนในบริษัทที่ผู้บริหารใช้ชีวิตอย่าง  “หรูหราฟู่ฟ่า” เกินไป  ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารใช้รถหรูเบอร์ป้ายทะเบียนรถพิเศษ  หรือถ้าผู้บริหารเข้าไปถือหุ้นค่อนข้างมากในสโมสรฟุตบอลนี่ก็จะเป็น “หายนะ”  เพราะมันเป็นเรื่องของ  “อีโก้” ที่ยิ่งใหญ่แต่มักเป็นกำไรที่ “จิ๊บจ๊อย”

  จิม สเลเตอร์ เป็นนักลงทุนที่มี  “สีสัน”  ในตลาดหุ้นของอังกฤษในช่วงทศวรรษ 1970 ขณะอายุประมาณ 40-50 ปี  เขาเป็นนักเทคโอเวอร์ประเภทซื้อบริษัทมาแล้วตัดขายทรัพย์สินทำกำไรรวดเร็วจนมีชื่อเสียงและเคยถูกดำเนินคดีแต่ก็หลุดมาได้  เขาเคยเล่นทองและคอมโมดิตี้  เป็นนักเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ชื่อดังและอื่น ๆ  อีกมาก  เขาเคยรวยและ “จน”  จนแทบล้มละลายครั้งหนึ่ง งานอดิเรกของเขาคือการเล่นหมากรุกและเขาเคยบริจาคเงินเพื่อกิจกรรมนี้หลายล้านบาท  ดูเหมือนว่าเขาจะชอบกิจกรรมที่ต้องใช้กลยุทธ์ในการต่อสู้เฉกเช่นเดียวกับที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ชอบเล่นไพ่บริดจ์  ว่าที่จริงสเลเตอร์เองนั้นต้องถือว่าเป็นคนรุ่นเดียวกับ วอเร็น บัฟเฟตต์ เพราะเขาเกิดในปี 1929 ในขณะที่บัฟเฟตต์เกิดปี 1930  ถึงปัจจุบันนี้  ชื่อของสเลเตอร์ก็เลือนหายไปแล้วแต่หนังสือหลายเล่มที่เขาเขียนนั้นก็จะยังอยู่ในชั้นของนักลงทุนรุ่นเก่าจำนวนไม่น้อยรวมถึงตัวผมเอง  และ “หลักการของซูลู” ก็จะเป็นแนวความคิดที่มีประโยชน์ต่อไปอีกนาน