Tuesday, December 9, 2014

อึ้ง-ทึ่ง-เสียว

         


    บรรยากาศของตลาดหุ้นในช่วงนี้  ถ้าจะให้ผมบรรยายด้วยคำเพียง 3 คำ  ผมคิดว่าคำที่เหมาะสมที่สุดก็คือ  อึ้ง-ทึ่ง-เสียว  เพราะเหตุการณ์  เรื่องราว  และสถานะของหุ้นจำนวนไม่น้อยทำให้ผมเกิดความรู้สึกวนเวียนอยู่ในสามอาการดังกล่าวนั่นก็คือ  อึ้ง  เพราะเรื่องราวที่ปรากฏเป็นข่าวหรือบริษัทมีการกระทำหรือได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกว่ามันท้าทายจริยธรรมและความเชื่อปกติของสังคมนักลงทุนมากจนทำให้เรา  พูดไม่ออก  หรือ  ไม่กล้าพูด หรือ  ไม่อยากพูด   ผม  ทึ่ง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหลายอย่างนั้น  มัน  แหกกฎเกณฑ์หรือทฤษฎี  หรือมันเกินไปจาก  ประสบการณ์หรือ  ภาวะปกติ ที่ผมคุ้นเคยไปมาก  และสุดท้าย  มัน  เสียว  เพราะหลาย ๆ  เรื่องที่เกิดขึ้นหรือเป็นข่าวนั้น  ดูเหมือนว่ามันน่ากลัวหรือดูมีความเสี่ยงสูง  แต่คนก็เข้าไปทำกันอย่าง  บ้าคลั่ง ราวกับว่ามันมีแต่ได้กับได้ในขณะที่ผมดูแล้วมันมีอันตรายสูงและตัวเอง  เสียว จนต้องพยายามลดความเสี่ยงลง

                        ที่จริงผมเคยเจอสถานการณ์แบบ อึ้ง-ทึ่ง-เสียว มาแล้วในช่วงที่ตลาดหุ้นบูมสุด ๆ ในช่วงประมาณปี 2536 ถึง 2538 อาการหลาย ๆ  อย่างในตลาดหุ้นในช่วงนั้นก็คล้าย ๆ  กับในช่วงนี้  ความแตกต่างดูเหมือนว่าจะเป็น  รายละเอียด ของเหตุการณ์และความรุนแรงของแต่ละเรื่อง  นอกจากนั้น  ความแตกต่างอีกข้อหนึ่งที่สำคัญก็คือ  ในช่วงนั้น  เศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตเร็วมากระดับ 7%-10ต่อปี จนทุกคนคิดว่าเรากำลังเป็น  เสือ ทางเศรษฐกิจของเอเชีย  ในขณะที่ปัจจุบัน  เศรษฐกิจไทยกำลัง  มีปัญหา และน่าจะเติบโต  รั้งท้าย ในเอเชีย  อย่างไรก็ตาม  คนต่างก็คิดว่าเราน่าจะกำลัง  ฟื้นตัว  ในขณะที่ช่วงปี 2536-2538 นั้น  เราโตอย่าง  ไร้คุณภาพ เป็น  ฟองสบู่ ทางเศรษฐกิจ  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  อาการในตลาดหุ้นนั้น  คล้ายคลึงกัน  สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือ  มันจะจบเหมือนกันหรือไม่?

                        เรื่องที่ทำให้ อึ้ง” นั้น  ค่อย ๆ  ทยอยออกมาเป็นระยะ  หลาย ๆ  เรื่องก็จะเกี่ยวข้องกับคน นอก ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับหุ้นและตลาดหุ้นในทางใดทางหนึ่งหรือนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นรายใหญ่ในตลาดหุ้น  ในอดีตนั้น  เราก็จะพบเหตุการณ์เช่นว่าคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูงในวงราชการที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับตลาดเงินตลาดทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นที่มีแผนจะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  หรือมีนักการเมืองบางคนมาเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นบางตัวอะไรทำนองนี้แต่ก็ไม่มีใครจะพูดอะไรเพราะมันเป็น  สิทธิ อันชอบธรรมของทุกคนตราบที่เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อะไรของตลาด

                        ประเด็นที่ทำให้คน อึ้ง” นั้น  อยู่ที่ว่า ดีล  หรือเงื่อนไขที่ได้มานั้น  บางทีมันก็  ดีเกินไป และคนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องเป็นอย่างนั้น  ใครได้ประโยชน์และใครเสียประโยชน์  และถ้าเป็นคนอื่นเขาจะได้เงื่อนไขแบบนั้นหรือไม่  ประเด็นที่สำคัญยังอยู่ที่ว่าไม่มีใครหรือหน่วยงานไหนที่จะเข้าไปตรวจสอบหรือขัดขวางการดำเนินการอะไรอย่างจริงจัง   ว่าที่จริงพวกเขาก็อาจจะทำอะไรไม่ได้จริง ๆ  และเขาก็อาจจะไม่อยากทำเพราะเหตุผลสารพัดที่ไม่อยากจะพูด  นั่นก็คือ  พวกเขาก็  อึ้ง  เหมือนกัน  ในช่วงปัจจุบันนั้น  ผมเองก็คิดว่ามันมีหลายเรื่องที่ผมรู้สึกว่ามันแปลก และมีความไม่ชอบมาพากล  แต่ในเมื่อมัน  ไม่ผิดกฎเกณฑ์อะไร ผมก็ได้แต่เก็บความคิดและความรู้สึกเอาไว้  และนี่ก็คือความหมายของคำว่า  อึ้ง

                        เรื่องน่า ทึ่ง ที่ผมเห็นนั้นมีมากมาย  ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องที่  ไม่น่าเป็นไปได้โดยสามัญสำนึกหรือโดยประสบการณ์  ปกติ  นี่เป็นสิ่งที่มักปรากฏขึ้นในยามที่ตลาด  ไม่ปกติ  โดยเฉพาะในยามที่ตลาดบูมมาก ๆ  เป็น ฟองสบู่”  ในอดีตนั้น  สิ่งที่เห็นชัดเจนและเป็นเรื่องน่าทึ่งก็คือราคาหุ้นขนาดเล็กโดยเฉพาะที่เป็นหุ้น  IPO นั้น  มีราคาที่สูงมากเกินกว่าผลประกอบการที่ทำได้ไปมากจนไม่น่าเชื่อ  และราคาที่ปรับขึ้นมานั้น  ส่วนมากก็ปรับขึ้นตั้งแต่วันแรก ๆ  ของการเข้ามาซื้อขายในตลาด  ในช่วงเร็ว ๆ นี้หุ้น IPO มีความน่าทึ่งยิ่งกว่าในช่วงปี 2536-2538   เพราะหลายตัวปรับขึ้นถึง 200ในวันแรกนอกจากนั้น  หุ้นตัวเล็กที่มีเรื่องราวน่าสนใจก็มีราคาสูงมากจนไม่น่าเชื่อ  ค่า PE เฉลี่ยของหุ้น MAI ที่เป็นหุ้นตัวเล็กนั้น  สูงถึง 60-70 เท่า  และที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นก็คือ  ปริมาณการซื้อขายของหุ้นตัวเล็กที่มีมูลค่าตลาดเพียงหลักพันล้านบาทนั้น  บ่อยครั้ง  สูงกว่าหุ้นตัวใหญ่ระดับแสนล้านบาท

                        นอกจากเรื่องของราคาและปริมาณการซื้อขายของหุ้นขนาดเล็กที่ กลบรัศมี  หุ้นตัวใหญ่แล้ว  ความน่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ  ในช่วงที่ตลาดหุ้นบูมหนักนั้น  เราก็มักจะพบความน่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่งก็คือ  มักจะมีรายการ  หนูกินช้าง” หรือ  ปลาเล็กกินปลาใหญ่” ในอดีตนั้น  เราเห็นบริษัทเงินทุนเอกธนกิจพยายามเทคโอเวอร์ธนาคารไทยทนุที่เป็นธนาคารที่ใหญ่กว่ามาก  แม้แต่ในต่างประเทศอย่างในตลาดสหรัฐเองนั้น  เวลาที่ตลาดหุ้นบูมหนักในบางครั้งเราก็จะเห็นความน่าทึ่งแบบนี้ที่ปลาเล็กหรือหุ้นบริษัทเล็กที่  ร้อนแรง  เทคโอเวอร์บริษัทใหญ่หรือกินปลาใหญ่ที่อ่อนแอ  ในช่วงเร็ว ๆ  นี้เราก็เริ่มได้ยินข่าวแบบนี้บ้างแล้วในตลาดหุ้นไทย

                        เรื่องน่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่งก็คือ  การเป็นเศรษฐี  ช่วงข้ามคืน”  ของคนหลาย ๆ  คนโดยเฉพาะที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นครั้งแรกหรือในหุ้นเล็กที่  มีการเปลี่ยนแปลง  ซึ่งทำให้ราคาหุ้นทะยานขึ้นไป มโหฬาร” ภายในระยะเวลาอันสั้น  ความร่ำรวยของคนหลายคนในช่วงเวลาอันสั้นนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าทึ่ง  โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการที่ถ้าเขาไม่ได้เข้ามาจดทะเบียนในตลาด เหตุผลก็เพราะว่า  หลายบริษัทนั้น  ไม่ได้มีกำไรอะไรมากมายนักและมีขนาดเล็ก  ถ้าอยู่นอกตลาดก็อาจจะเป็นแค่บริษัทขนาดเล็กธรรมดา ๆ ที่เจ้าของไม่สามารถที่จะเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างแน่นอน

                        ความ เสียว  นั้น  น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเป็นส่วนตัวมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของสังคมนักลงทุนไทย  เหตุเพราะว่านักลงทุนส่วนใหญ่  รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเช่น  นักวิเคราะห์  โบรกเกอร์ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่างก็ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยและหุ้นส่วนใหญ่นั้น  ยังแข็งแรงดีอยู่  ราคาหุ้นโดยส่วนรวมก็ยังไม่แพงเทียบกับเพื่อนบ้านแม้ว่าบางคนจะดูว่าหุ้นตัวเล็กมีราคาสูงเกินไปเป็น  ฟองสบู่” แต่ถ้ามีปัญหาก็คงไม่กระทบกับหุ้นทั้งตลาด  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  สภาพของเศรษฐกิจ การเงิน สังคม  การเมืองและตลาดหุ้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรน่าวิตก  ค่า PEตลาดหุ้นไทยที่สูงถึง 19 เท่าและพอ ๆ  กับจุดสูงสุดในช่วงวิกฤติตลาดหุ้นรอบที่แล้วก็อาจจะไม่ได้แปลว่าหุ้นไทยมีราคาแพง  เหตุผลก็เพราะอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้นค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ที่ต่ำติดดิน  ดังนั้น  PE 19 เท่าจึงไม่ถือว่าแพง  แต่ถ้ายังคิดว่าแพงก็มีเหตุผลว่าคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในเวลานี้ก็สูงกว่าในอดีต  ดังนั้น  สรุปว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่ากลัว

                        สิ่งที่ผมกังวลนั้น  เกิดจากเหตุการณ์และสถานการณ์หลาย ๆ  เรื่องที่โอกาสจะเกิดขึ้นอาจจะไม่สูงแต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็มี ศักยภาพ  ที่จะทำให้เกิดอาการช็อกได้กับตลาดหุ้น   ตัวอย่างเช่นเศรษฐกิจไทยในปีหน้า  ถ้ายังแย่อยู่แบบปีนี้  ผลก็อาจจะรุนแรงได้เพราะมันอาจจะเปลี่ยนความเชื่อ” ของนักลงทุนว่าหุ้นจะดี  เช่นเดียวกับด้านของการเมือง  ถ้าทุกอย่างไม่ได้  ลงตัว  ปัญหาก็อาจจะรุนแรงได้  ประเด็นสำคัญก็คือ  ทุกครั้งที่หุ้นปรับตัวขึ้นมามากและดัชนีหุ้นขึ้นไปเร็วและสูงกว่ามาตรฐานระยะยาวแล้ว  โอกาสที่มันจะปรับตัวลงแรงก็มักจะมีสูงขึ้นเมื่อตลาดหุ้นประสบปัญหา  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้  ประกอบกับสัญญาณของความ  อึ้ง” และ “ทึ่ง” ดังที่กล่าว  ผมจึงรู้สึก เสียว จนบอกไม่ถูก 

มุมมอง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร