Monday, August 24, 2015

อารมณ์ของนักลงทุน / ดร.นิเวศน์

   
   สิ่งที่นักลงทุนจะต้องคิดและจัดการนั้น  นอกจากการศึกษาหาข้อมูลและวิเคราะห์กิจการและตัวหุ้นแล้วก็คือ  “อารมณ์และความรู้สึก” ของตัวเองเวลาลงทุน  เพราะเรื่องนี้มีผลต่อความสำเร็จ  อาจจะไม่น้อยไปกว่าความสามารถในการเลือกหุ้น  ลองมาดูกันว่ามีอารมณ์ที่สำคัญอะไรบ้างที่เราจะต้อง “ควบคุมดูแล” หรือจัดการให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมเพื่อที่จะได้ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

  ความโลภ  นี่เป็นอารมณ์ที่สำคัญมากที่มักจะมีผลกระทบต่อการลงทุนอย่างแรง  สุภาษิตโบราณของไทยบอกว่า  “โลภมากมักลาภหาย”  แต่ในการลงทุนนั้น  นอกจากลาภจะหายแล้ว  เราก็อาจจะ “หมดตัว” ได้ด้วย  ความโลภในเรื่องของการลงทุนนั้นก็คือ  เราไม่ได้ต้องการเพียงผลตอบแทนที่ “เหมาะสม” จากการลงทุนซึ่งมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่เหมาะสมด้วย  แต่เรา  “โลภมาก”  อยากได้ผลตอบแทนที่สูงลิ่วเกินกว่าที่ตัวกิจการหรือหุ้นจะให้ได้  ดังนั้นหลาย ๆ  คนจึงใช้ “เครื่องมือขยายผล” ที่จะเพิ่มผลตอบแทน  เช่น  การเล่นหุ้นด้วยมาร์จินซึ่งก็คือการกู้เงินมาลงทุน  หรือแทนที่จะลงทุนในหุ้นปกติก็ไปเล่นวอแร้นต์ของหุ้นที่มักมีราคาต่ำและราคาขึ้นลงบางทีเป็นหลายเท่าของหุ้นตัวแม่  ผลที่เกิดขึ้นก็คือ  ความเสี่ยงของการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก  และมีโอกาสที่เราจะ “หมดตัว”  นั่นก็คือ  ถ้าหุ้นตกหนักถึงจุดหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง  เงินลงทุนของเราอาจจะกลายเป็นศูนย์ได้  ดังนั้น  ถ้าไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนจริง ๆ  แล้วละก็  เราก็อย่าไปโลภขนาดนั้น  ถ้าหุ้นมันดีจริงเราก็กำไรดีมากอยู่แล้ว  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไป “รีบรวย” เกินไป

  ความโลภนั้น  ยังทำให้เรา “ทุ่มซื้อหุ้น” ในยามที่ตลาดหุ้นร้อนแรงมากกว่าปกติเพราะเราเห็นว่าจะทำเงินได้มาก  นี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดมานั่นก็คือ  คนจำนวนมากนั้น  ในช่วงที่ตลาดหุ้น “เหงา”   พวกเขาก็มักจะลงทุนในหุ้นไม่มากนัก  เงินส่วนใหญ่อาจจะถูกฝากไว้กับสถาบันการเงิน  ต่อมาหุ้นคึกคักและราคาปรับตัวขึ้นพวกเขาก็เริ่มรู้สึกดี  นักลงทุนรายใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดมากขึ้นและราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ  จนทำให้หุ้นคึกคักถึง  “ขีดสุด”  ในระหว่างนั้น  เม็ดเงินหรือพอร์ตการลงทุนในหุ้นของเราก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  แต่เราก็ยังไม่พอใจ  เราคิดว่าถ้าเรานำเงินมาลงทุนซื้อหุ้นเพิ่ม  เราก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้นไปอีก  เราเริ่มขอเงินหรือขอยืมเงินพ่อแม่  คู่ครอง หรือนำเงินจากแหล่งอื่นที่พอจะหาได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นเพิ่ม เราไม่คิด  “ถอนเงิน” ที่ได้กำไรมาแล้วในช่วงที่หุ้นกำลังปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ  เรานำเงินใหม่เข้าไปลงทุนทั้ง ๆ  ที่หุ้นนั้นมีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ  และถ้ามองในฐานะนักลงทุนระยะยาวแล้ว  ราคาที่แพงหรือสูงขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนในอนาคตของการลงทุนลดลง  มันอาจจะไม่ใช่เวลาที่เราจะลงทุน  มันคือความเสี่ยงที่จะทำให้เราเสียหายหนักได้และบ่อยครั้งมันก็เป็นอย่างนั้น

  ความกลัว  นี่เป็นอารมณ์ที่อยู่ตรงข้ามกับความโลภ  เรากลัวการขาดทุนจากการลงทุนในหุ้น  สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ  เรากลัวการขาดทุน  “หลังจากที่เราขาดทุนไปแล้ว” ทางตัวเลข  ก่อนที่หุ้นจะตกและเราขาดทุนนั้น  เราไม่ได้กลัวขาดทุน  เพราะถ้าเรากลัวเราก็คงจะไม่ซื้อตั้งแต่แรก  ตอนเราซื้อนั้น  เราไม่กลัวว่าจะขาดทุน  ตรงกันข้าม  เราคิดว่าเราจะได้กำไรเราไม่ได้คิดถึงการขาดทุน  พอหุ้นตกถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึก  “เจ็บ”  เช่น หุ้นตกไป 20%  เราจะเริ่มรู้สึกกลัว  กลัวว่ามันจะตกลงไปอีกและเราจะเสียหายหนัก  ดังนั้น  เราก็อาจจะตัดสินใจขายหุ้นทิ้งทั้ง ๆ ที่กิจการของบริษัทอาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย  ราคาหุ้นผันผวนด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้แต่เราตัดสินใจขายด้วยอารมณ์ของความกลัว

  ความกลัวตลาดหุ้นตกหนัก  กลัววิกฤติตลาดหุ้น  กลัวว่าเมื่อตลาดหุ้นตกหนักหุ้นทุกตัวก็จะตกลงมาตาม  ดังนั้น  เมื่อตลาดหุ้นตกลงมาแรง  เราก็มักจะขายหุ้นทุกตัวที่ถืออยู่ทันทีเพราะเรากลัวว่าถ้าไม่รีบขายมันจะตกลงไปอีกในนาที  ชั่วโมงหรือวันต่อ ๆ  ไป  ความกลัวในเรื่องของดัชนีตลาดนั้น  ทำให้เราต้องซื้อขายหุ้นบ่อยมาก  และทำให้เรากลายเป็นคน “เล่นดัชนี” โดยไม่รู้ตัว  ไม่ใช่เป็นคนลงทุนในหุ้นเป็นรายตัวอย่างที่ควรจะเป็น  ผลก็คือ  เราไม่ได้กำไรอะไรเลยในระยะยาวเพราะค่าคอมมิชชั่นและส่วนต่างราคาซื้อ-ขายของหุ้นนั้น  กินผลตอบแทนที่จะได้หมด

  ถ้าเราจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น  สิ่งสำคัญก็คือทำอย่างที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ บอก  นั่นก็คือ  “จงพยายามกลัวเมื่อคนอื่นกำลังกล้า และพยายามกล้าเมื่อคนอื่นกำลังกลัว” ดูว่าตนเองซื้อหุ้นน้อยลงไหมเวลาคนกำลังเล่นหุ้น  ซื้อขายหุ้นในปริมาณที่มาก  และเราเข้าไปซื้อหุ้นอย่างคึกคักเวลาคนอื่นชะลอหรือหยุดเล่นหุ้นกันแล้วหรือไม่ ถ้าใช่ก็แปลว่าเราเริ่มสามารถควบคุมตัวเองในด้านของความโลภและความกลัวได้ดีขึ้น

  อารมณ์ดีใจ-เสียใจ เวลาหุ้นขึ้น-หุ้นตก  นี่ก็เป็นความรู้สึกธรรมดาของนักลงทุน  แต่คนที่มีประสบการณ์หรือระดับ EQ ในการลงทุนสูงก็จะสามารถควบคุมตนเองได้ดีกว่า  นั่นก็คือ  เวลากำไรก็จะไม่ดีใจจนเกินไป  เช่นเดียวกัน  เวลาขาดทุนก็จะไม่ “ฟูมฟาย”  หรือเศร้าเสียใจมากนัก  พวกเขาจะดูว่ามันมีเรื่องของความ “ผันผวน” อยู่ในราคาหุ้นอยู่มากโดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ  ดังนั้น  หุ้นขึ้นหรือหุ้นลงวันต่อวันหรือเดือนต่อเดือนนั้น  อาจจะไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เราคิดถูกต้อง  ในระยะเวลาสั้น ๆ  นั้น  ราคาหุ้นอาจจะขึ้นหรือลงได้โดยที่ไม่ได้อิงอยู่กับผลประกอบการหรือความเข้มแข็งหรือความสามารถในการแข่งขันของบริษัทก็ได้  ไม่ต้องดีใจหรือเสียใจมากจนเกินไป  รอดูไปจนถึงสิ้นปีแล้วค่อยประเมินดูว่าเราควรจะดีใจหรือเสียใจโดยดูว่าหุ้นขึ้นหรือหุ้นลงไปเท่าใด  นอกจากนั้น  เราก็ควรจะต้องประเมินด้วยว่าหุ้นที่ขึ้นหรือลงนั้นสอดคล้องกับตัวกิจการหรือบริษัทหรือไม่

ถ้าหุ้นขึ้นและบริษัทดีขึ้น  นี่คือสิ่งที่เราควรจะยินดี  ถ้าหุ้นขึ้นแต่ที่จริงบริษัทไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลง  เราก็ควรจะ “ดีใจ” ที่เรา  “โชคดี”  แต่ถ้าหุ้นลงและบริษัทก็แย่ลงแบบนี้เราก็ควรจะเสียใจที่เราคาดการณ์ผิด  และในกรณีสุดท้าย  ถ้าหุ้นตกลงมาแต่กิจการของบริษัทกลับดีขึ้น  แบบนี้เราก็ไม่ควรที่จะเสียใจ  เพราะไม่ช้าก็เร็วหุ้นก็น่าจะปรับตัวขึ้นได้  พูดโดยสรุปก็คือ  หุ้นขึ้นลงในช่วงเวลาสั้น ๆ  นั้น  ไม่ต้องดีใจหรือเสียใจอะไรมากมายเพราะมันอาจจะเปลี่ยนไปได้อีกมากระหว่างที่ยังไม่ “สิ้นปี” หรือยาวพอ  การ “วางเฉย” ต่ออารมณ์ดีใจหรือเสียใจนั้น  จะช่วยให้เราไม่ตัดสินใจอะไรอย่างรวดเร็วและไม่รอบคอบ  การตัดสินใจเวลาเราดีใจหรือเวลาเราเสียใจนั้น  ผมคิดว่าจะทำให้เรามีความลำเอียงและอาจไม่เป็นเหตุเป็นผลที่ดี เช่น ทำให้เราซื้อหรือขายหุ้น  “ผิดเวลา”

ความรู้สึกเหมือนถูก  “ทรมาน”  นั้น  นักลงทุนก็มักจะพบเจออยู่บ่อย ๆ   บางครั้งบางช่วงเวลานั้น  ตลาดหุ้นขึ้นเอา ๆ  แต่หุ้นที่เราถืออยู่กลับนิ่งหรือตกลงมาอีกต่างหาก  เราได้แต่มองและรู้สึก “ทรมานใจ”  จนในบางครั้งเราอาจจะตัดสินใจขายหุ้นทิ้งเพื่อที่จะไปซื้อหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ  เพราะ  ความ “อดทน” ของเราอาจจะมีจำกัด  นี่ก็อาจจะเป็นเรื่องของจิตวิทยาที่เรียกว่า  “สนามหญ้าของเพื่อนบ้านเขียวกว่าเสมอ” นักลงทุนที่ “ทนทรมาน” ได้น้อยก็จะมีแนวโน้มที่จะรอหุ้นให้ขึ้นตามพื้นฐานไม่ไหวและขายหุ้นเร็วเกินไปอยู่เรื่อย ๆ  เช่นเดียวกัน  บางช่วงเวลา  อาจจะเป็นปี ๆ ตลาดหุ้นเอาแต่ปรับตัวลงอยู่เรื่อย ๆ  พอร์ตหุ้นที่เราถืออยู่โดยรวมก็ไม่ไปไหนหรือปรับตัวลดลงเป็นระยะ ๆ  เรารู้สึก “ทรมานใจ” และถ้าทนไม่ไหว  เราก็อาจจะตัดสินใจทำอะไรที่ไม่เหมาะสม  เช่น  ขายหุ้นที่ดีมีคุณค่าทิ้ง เป็นต้น

ความรู้สึก  “กังวล” นอนไม่หลับ  กลัวว่าบางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นแล้วกระทบกับการลงทุนของเราอย่างแรง เช่นกลัวว่าตลาดหุ้นจะเกิดวิกฤติหรือกลัวว่าหุ้นที่เราถืออยู่นั้นอาจจะถูกผลกระทบที่รุนแรงที่เรา  “กลัว”  อยู่  นี่ทำให้เรากังวลทั้ง ๆ  ที่โอกาสจะเกิดขึ้นอาจจะน้อย  ในกรณีแบบนี้เราก็ต้องพิจารณาวิเคราะห์  “Scenario”  หรือภาพที่อาจจะเกิดขึ้นหลาย ๆ  ภาพแล้วดูว่าผลจะเป็นอย่างไรโดยเฉพาะในกรณีที่เกิดภาพเลวร้ายที่สุด  เสร็จแล้วก็ตัดสินใจทำสิ่งที่จะช่วยลดความกังวลนั้นให้เหลือน้อยลงจนยอมรับได้  หลังจากนั้นก็  “เลิกกังวล” เพราะเราจะไม่มีวัน “เจ๊ง” จากการลงทุนอย่างแน่นอนถ้าเราวิเคราะห์ “ความเสี่ยง” อย่างดีแล้ว