Friday, August 7, 2015

การลงทุนของ Barack Obama / โดย คนขายของ

 
   ประธานาธิบดีของสหรัฐได้ชื่อว่าเป็นผู้ซึ่งทรงอิทธิพลคนหนึ่งของโลก ซึ่งคงเป็นธรรมดาของคน ที่อยู่ในตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงที่ต้องมีเรื่องวุ่นๆเข้ามามากมาย  แล้วประธานาธิปบดีสหรัฐ มีการวางแผนทางการเงินอย่างไร? เขาลงทุนในสินทรัพย์ชนิดไหนมากที่สุด? การลงทุนของ โอบามามีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหน? ผมเชื่อว่าการมองผ่านการวางแผนทางการเงินของ ประธานาธิบดีสหรัฐคงให้แนวความคิดเพื่อที่เราจะมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้บ้าง

เว็ปไซด์ therichest.com ได้รายงานว่าประธานาธิบดีโอบามามีรายได้จากเงินเดือนปีละ 400,000 เหรียญคิดเป็นเงินไทยก็ตกเดือนละประมาณ 1.16 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีรายได้ จากการเขียนหนังสือประมาณปีละเกือบ 10 ล้านบาท ท่านประธานาธิบดีมีบ้านหนึ่งหลัง ราคา ประมาณ​ 1.6 ล้านเหรียญอยู่ที่ชิคาโก้ ซึ่งยังคงติดจำนองอยู่ 1 ล้านเหรียญ และ ผ่อนด้วยอัตรา ดอกเบี้ย 5.625% นิตยสาร Forbes และ Casey Research บริษัททำงานวิจัยเรื่อง การเงินการลงทุนประเมินว่า โอบามามีความมั่งคั่งสุทธิ Net Worth) สูงถึงราวๆ 7 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 210 ล้านบาท

จากที่ผมได้รวบรวมข้อมูลจาก CNBC และ Casey Research พบว่าพอร์ตลงทุนของ ประธานาธิบดีโอบามาน่าจะอยู่ที่ราวๆ 6 ล้านเหรียญ มีการลงทุนในพันธบัตรระยะยาวในสัดส่วน สูงที่สุดถึง 83% ของพอร์ต ตามมาด้วย กองทุนที่ลงทุนในดัชนี Index Fund) บริหารโดย Vanguard สองกองทุนมูลค่ารวมคิดเป็น 10% ของพอร์ต อันดับสาม เป็นการลงทุนใน พันธบัตรระยะสั้น Bills) ราว 8% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือเป็น กองทุนเพื่อการออม สำหรับการเรียนต่อในระดับ college สำหรับลูกสาว เมื่อพิจารณาดอกเบี้ย และเงินปันผลรวม ของพอร์ตลงทุน คาดว่าน่าจะอยู่ที่ปีละประมาณ 5.25 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรา 2.5% ของเงินลงทุนทั้งหมด เมื่อรวมรายได้จากการลงทุน และรายได้จากลิขสิทธิ์หนังสือซึ่งเป็น รายได้ทางอ้อมเข้าด้วยกัน โอบามาจะสามารถมีเงินใช้ได้ประมาณปีละ 15 ล้านบาท แม้ว่าวาระ การเป็นประธานาธิบดีของเขาจะหมดลงในปี 2559

แต่กระนั้น ผู้เชี่ยวชาญทางการวางแผนทางการเงินในสหรัฐได้แสดงความเห็นไว้ว่า โอบามา น่าจะสามารถลดรายจ่ายในเรื่องดอกเบี้ยของการผ่อนบ้าน ซึ่งตอนนี้โอบามาจ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 5.526% โดยทำการรีไฟแนนซ์เป็นดอกเบี้ยที่ต่ำลง หรือเอาเงินที่ลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งได้ดอกเบี้ยต่ำกว่า 1% มาจ่ายคืนธนาคารเพื่อลดภาระจำนอง ส่วนเรื่องการลงทุนนั้น ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า ท่านประธานาธิบดีลงทุนในหุ้นน้อยไป ซึ่งในปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่แค่ 10% ซึ่งกองทุนที่โอบามาถืออยู่นั้น ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน อาจจะต้องเพิ่มการถือครองหุ้นขนาดกลาง และเล็กที่มีคุณภาพดี


เราจะเห็นได้ว่าโอบามาได้วางแผนการเงินไว้เป็นอย่างดี มีรายได้เข้ามาหลายทางทำให้ชีวิตไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเงินเดือนเพียงอย่างเดียว ในปัจจุบันนี้โอบามามีรายได้ถึง 3 ทางคือ หนึ่งเงินเดือน สอง ลิขสิทธ์หนังสือ และสามเงินลงทุน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชนชั้นกลางของประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่ ทำงานเป็นลูกจ้างรัฐ และเอกชนควรให้ความสนใจ การมีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว ยังไม่สามารถนับว่ามั่นคงจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน มีหลายบริษัทใช้นโยบายลดพนักงาน เพื่อลดค่าใช้จ่าย หากท่านถูกให้ออก ครอบครัวต้องสูญรายได้ที่มีทั้งหมดไป

ในขณะเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนหลายท่านที่ลงทุนในตลาดหุ้น และมีอิสระภาพทาง การเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ขอให้อย่าเพิ่งชะล่าใจไปในอิสระภาพทางการเงินที่ได้มา ตลาดหุ้นใน เวลาที่แย่มากๆ เช่นใน ช่วงปี คศ 1929-1932 ในสหรัฐ ตลาดลดลง 90% ในสี่ปี หรือตลาดหุ้น ไทยในช่วงปี พศ 2539 – 2541 ซึ่งลดลงมากกว่า 80% ภายในสามปี แม้โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า วิกฤตเศรษฐกิจของไทยในระดับนั้น คงไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้ แต่ก็ไม่มีใครการันตีได้ว่า เหตุการณ์อย่างนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก ดังนั้นการกระจายเงินลงทุนออกไปให้มีรายได้หลายทาง ถือเป็นการบริหารความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญทำให้นักลงทุนอยู่รอดในทุกสถานะการณ์ในโลกที่ ไม่มีอะไรแน่นอนใบนี้