Monday, August 10, 2015

เวลาขายหุ้นซุปเปอร์สต็อก/ดร.นิเวศน์

 นักลงทุนแนว VI “พันธุ์แท้” ที่ชื่นชมและศรัทธา วอเร็น บัฟเฟตต์ หลายคนมักชอบที่จะอ้างคำพูดที่ “คลาสสิก” ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ว่า  “หุ้นนั้นไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน  สิ่งที่คุณต้องทำทั้งหมดก็คือ  ซื้อหุ้นในธุรกิจที่ยิ่งใหญ่  บริหารโดยผู้จัดการที่มีความสามารถและความซื่อสัตย์สูงสุด  ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงของมัน  เสร็จแล้วคุณก็ถือหุ้นนั้นไว้ตลอดกาล”

ผมเองก็ยึดถือแนวทางส่วนใหญ่ของบัฟเฟตต์ในการลงทุนมานาน  อย่างไรก็ตาม  “ดีกรี” หรือความเข้มข้นในการที่จะปฏิบัติตามหลักการของบัฟเฟตต์นั้น  ก็ยังคงไม่เท่าสิ่งที่บัฟเฟตต์ทำ  เหตุผลไม่ใช่เพราะผมไม่เชื่อเขา  แต่เป็นเพราะสถานการณ์และตัวบริษัทหรือหุ้นที่อยู่ในประเทศไทยนั้น  ด้อยกว่าในตลาดหุ้นสหรัฐมาก   ประการแรกก็คือ  บริษัทที่  “ยิ่งใหญ่” ในตลาดหุ้นไทยนั้น  ยังห่างชั้นจากตลาดหุ้นสหรัฐมาก  เราเป็นได้เพียงบริษัทที่ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยในขณะที่บริษัทในสหรัฐที่ยิ่งใหญ่นั้น  ยิ่งใหญ่ในระดับโลกทั้งนั้น  ประการที่สองก็คือเรื่องของความรู้ความสามารถและความซื่อสัตย์ของผู้บริหารเองนั้น  เราก็ต้องยอมรับว่า  ในสังคมไทยที่ยังพัฒนาน้อยกว่า  บางทีเราก็ต้องยอมลดมาตรฐานลงมาบ้าง  และในประการสุดท้ายก็คือ  เรื่องของการถือหุ้นไว้ “ตลอดกาล”  นี่ก็เป็นเรื่องที่ยาก  เนื่องจากความ “ยิ่งใหญ่” ของหุ้นไทยนั้น  อาจจะไม่พอหรือไม่สามารถดำรงไว้ได้นานเหมือนกับหุ้นของสหรัฐ  ว่าที่จริง  แม้แต่หุ้นที่ยิ่งใหญ่หลายบริษัทของสหรัฐเองนั้น  เมื่อเวลาผ่านไปนานพอ  มันก็ตกต่ำลงมาเหมือนกันเพราะ  ไม่มีอะไรจะอยู่ “ค้ำฟ้า” ได้

คำถามสำคัญสำหรับ VI ที่เน้นลงทุนในแบบ “ซุปเปอร์สต็อก” ก็คือ  เราจะขายหุ้นเมื่อไร?   คำตอบนั้นผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเวลาที่เป็นเดือนหรือปี  ผมเองลงทุนซุปเปอร์สต็อกมานาน  วันที่ผมซื้อหุ้นนั้น  ผมไม่เคยคิดว่าจะขายในอีกกี่เดือนหรือกี่ปีข้างหน้า  ผมไม่เคยคิดว่าราคาเท่าไรจะขาย  พูดง่าย ๆ ไม่มีเป้าหมายว่าจะขาย  แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะถือตลอดกาล  ถ้าจะต้องตอบก็คือ  ผมจะถือไปเรื่อย ๆ จนกว่าสถานการณ์มันจะบอกว่าเราควรจะขายแล้ว   และต่อไปนี้คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าผมควรที่จะพิจารณาขายหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ถืออยู่

เรื่องแรกก็คือ  ตลาดของสินค้าของบริษัทเริ่ม “อิ่มตัว”  นี่น่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญมากที่สุดข้อหนึ่ง  เพราะในความหมายของซุปเปอร์สต็อกนั้น  มันมักจะเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่กำลังเติบโตและบริษัทเป็น  “ผู้ชนะ” ที่ครอง Market Share หรือส่วนแบ่งตลาดที่สูงสุดและเหนือคู่แข่งมาก  ดังนั้น  การที่ยอดขายจะเติบโตได้เร็วต้องหมายความว่าตัวอุตสาหกรรมหรือธุรกิจจะต้องโตต่อไป  แต่ถ้าคนเกือบ “ทั้งประเทศ” ที่มีเงินและต้องการใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทต่างก็ได้ใช้แล้ว  โอกาสที่บริษัทจะโตเร็วแบบเดิมก็จะยาก  และเมื่อถึงจุดนั้น  บริษัทก็จะสูญเสียสถานะของการเป็น “ซุปเปอร์สต็อก”  ค่า PE ที่สูงของหุ้นก็จะค่อย ๆ  ลดลง  บริษัทจะกลายเป็นหุ้น  “แข็งแกร่ง”  ที่ยังใหญ่โต  มีกำไรที่ดี  แต่ไม่โตหรือโตช้า  ผลก็คือ  ราคาหุ้นอาจจะไม่ไปไหนหรือลดลงด้วยซ้ำ  ดังนั้น  ถ้าเราคิดว่าตลาดเริ่มอิ่มตัว  เราก็อาจจะพิจารณาขายหุ้นทิ้งก่อนที่ “ภาพ” ของบริษัทจะเปลี่ยนไป

ข้อที่ต้องระวังมากสำหรับเรื่องของการ “อิ่มตัว” ของตลาดก็คือ  เราอาจจะเข้าใจผิดหรือสับสนระหว่างการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ยอดขายของบริษัทโตช้าลง  กับการอิ่มตัวของตลาด  วิธีที่จะดูทางหนึ่งก็คือ  ดูว่าอัตราการใช้สินค้าหรือบริการหรือยอดขายของอุตสาหกรรมเทียบกับ GDP ว่ามันสูงพอ ๆ  กับอัตราของประเทศอื่นที่มีระดับการพัฒนาพอ ๆ กันหรือสูงกว่าหรือยัง  ถ้ายังห่างมาก  นี่อาจจะเป็นสัญญาณว่าการชะลอตัวของยอดขายน่าจะเป็นเรื่องของการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากกว่า เป็นต้น

ประเด็นที่สองที่ทำให้เราต้องพิจารณาขายหุ้นซุปเปอร์สต็อกก็คือเรื่องของ  “การแข่งขัน”  นี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการที่ตลาดสินค้าอิ่มตัว  จริงอยู่ที่ว่าซุปเปอร์สต็อกนั้นมักจะเป็น  “ผู้ชนะ”  ในการแข่งขันที่ค่อนข้าง “เด็ดขาด”  อย่างไรก็ตาม  นั่นมักจะเป็นการชนะที่เกิดจาก Model หรือรูปแบบทางธุรกิจที่ใช้อยู่  แต่ประเด็นสำคัญที่อาจจะเกิดขึ้นในยุคนี้ก็คือ  มี Model ทางธุรกิจใหม่เกิดขึ้นค่อนข้างเร็วและมากซึ่งเป็นอานิสงค์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ  สามารถนำมาใช้และทำให้ได้เปรียบธุรกิจที่ใช้ Model เดิม  ตัวอย่างเช่น  บริษัทวอลมาร์ทที่เป็นซุปเปอร์สต็อกในด้านของการค้าปลีกสินค้าของใช้ประจำวันนั้น  เมื่อเร็ว ๆ  นี้ก็ดูเหมือนว่ากำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทอะเมซอนที่ขายสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ต  เป็นต้น  ในกรณีแบบนี้  เราอาจจะมองว่าวอลมาร์ทกำลัง “แพ้” อะเมซอนในการแข่งขันและราคาหุ้นก็สะท้อนออกมาโดยการที่หุ้นอะเมซอนในขณะนี้มีมูลค่าสูงกว่าหุ้นวอลมาร์ทแล้ว

ในตลาดไทยเองนั้น  เราก็ได้เห็นหุ้นค้าปลีกหรือหุ้นบันเทิงบางตัวสูญเสีย “ความสามารถในการแข่งขัน” ให้กับ  “เทคโนโลยีไอที” ที่เปลี่ยน “แผนภูมิ”  ในการแข่งขันไปอย่างสิ้นเชิง  ตัวอย่างเช่น กิจการเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ทั้งหลายที่เสีย “ลูกค้า”  ให้กับสื่ออิเลคโทรนิกที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาถูกมาก  หรือตลาดเทปเพลงหรือภาพยนตร์ที่กลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยในยุคที่ทุกอย่างสามารถ “ดาวน์โหลด” จากอินเตอร์เน็ต เป็นต้น

เรื่องที่สามก็คือ  บางครั้งเราอาจจะต้องพิจารณาขายซุปเปอร์สต็อกเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านของกฎหมาย  กฎเกณฑ์ และระเบียบใหม่ในการทำธุรกิจของหน่วยงานรัฐ  ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่สำคัญในแง่ที่ว่ามันเป็น  “อำนาจที่ยิ่งใหญ่” ที่สามารถ “Overrule” หรือ “ลบล้าง”  ทุกเรื่องรวมถึงความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้  โดยปกติ  บริษัทที่ยิ่งใหญ่นั้นมักจะไม่ได้อาศัย “รัฐ” ในการแข่งขัน  แต่ในทางตรงกันข้าม  กฎเกณฑ์ที่ออกใหม่สามารถ “ทำลาย”  หรือลดความสามารถในการทำกำไรของซุปเปอร์สต็อกได้มาก  ผมเองเวลาที่ถือหุ้นซุปเปอร์สต็อกไว้  ผมจะไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกฎระเบียบอะไรทั้งสิ้นในอุตสาหกรรม   เพราะซุปเปอร์สต็อกนั้น  โดยปกติไม่มีคู่แข่งที่จะทำลายมันได้อยู่แล้วยกเว้น  “อำนาจรัฐ”
ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงในกฎเกณฑ์ในเร็ว ๆ  นี้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านของธุรกิจทีวี  การเปลี่ยนแปลงในแง่ของการการให้ใบอนุญาตคลื่นความถี่โทรคมนาคม  และที่เราอาจจะไม่ได้คิดหรือตระหนักถึงก็คือ  การเปลี่ยนแปลงที่มาจากหน่วยงาน  “เหนือรัฐ” จากนอกประเทศ  เช่น เรื่องของการบิน การประมง และอื่น ๆ  อีกมาก  ทั้งหมดนั้นเราต้องคอยติดตามและวิเคราะห์ว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรกับซุปเปอร์สต็อกของเรา

เรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดก็คือ  ราคาหรือมูลค่าหุ้นซุปเปอร์สต็อก  นี่เป็นประเด็นที่ผมจะไม่ค่อยสนใจมากนักยกเว้นแต่ว่าราคามัน  “เวอร์”  ไปจริง ๆ  อย่างไรก็ตาม  ประสบการณ์ก็คือ  หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่แท้จริงนั้น  แม้ว่าบางครั้งราคาจะขึ้นไปสูงมากวัดจากค่า PE  เช่นสูงเป็น 30-40 เท่า มันก็ไม่ใช่ราคาที่ Overvalue หรือราคาสูงเกินพื้นฐานโดยเฉพาะถ้าวัดจาก  Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งบริษัท  เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นซุปเปอร์สต็อกนั้นมักจะมีศักยภาพสูงมาก  มันจะโตไปเรื่อย ๆ  ไปอีกนานจนมีขนาดใหญ่มาก  ดังนั้น  แม้ว่าในบางช่วงที่ดูเหมือนว่าจะแพงเกินไป  เราก็มักจะไม่จำเป็นต้องขาย  อย่างไรก็ตาม  ในบางครั้ง  โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นมีมูลค่าสูงมากแล้ว  และตลาดหุ้นกำลังเป็น “ฟองสบู่”  แบบนี้  เราก็อาจจะพิจารณาขายทิ้งเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดได้