ดอกเบี้ยจ่าย : วอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ต้องการ
ดอกเบี้ยจ่าย คือ ดอกเบี้นที่บริษัทจ่ายออกไประหว่างไตรมาสหรือปี สำหรับหนี้ของบริษัทซึ่งปรากฏในงบดุลในหมวด หนี้สิน ในขณะที่เป็นไปได้ที่บริษัทจะมีรายรับจากดอกเบี้ยมากกว่าที่จ่ายออกไป เช่น ธนาคาร แต่ธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและการขายปลีกส่วนใหญ่มักจะมีดอกเบี้ยจ่ายมากกว่าดอกเบี้ยรับ
ค่าใช้จ่ายนี้เรียกว่าต้นทุนทางการเงิน ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ และจะแยกออกมาเป็นอีกรายการโดดๆ เพราะดอกเบี้ยจ่ายจะไม่ผูกพันกับการผลิตหรือการขาย แต่สะท้อนให้เห็นถึงหนี้ทั้งหมดที่บริษัทมีในบัญชี ยิ่งบริษัทมีหนี้เท่าใด ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็สูงขึ้นเท่านั้น
ในบริษัทที่มีดอกเบี้ยจ่ายสูงเทียบกับรายได้จากการดำเนินกิจการมีแนวโน้มที่จะเป็น 1 ใน 2 ประเภทนี้ คือ : เป็นบริษัทซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันรุนแรง ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุนสูงเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ หรือเป็นบริษัทที่มีเศรษฐกิจของธุรกิจยอดเยี่ยมซึ่งมีหนี้จากการซื้อกิจการด้วยเงินกู้
สิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ค้นพบก็คือ บริษัที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนมักจะมีดอกเบี้ยจ่ายน้อยหรือไม่มีเลย พร็อคเตอร์แอนก์แกมเบิล บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาวมีดอกเบี้ยจ่ายเพียง 8% ของรายได้จากการดำเนินกิจการเท่านั้น ในขณะที่ริกลี่ย์มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เฉลี่ย 7% ตรงกันข้ามกับกู๊ดเยียร์ซึ่งอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและเป็นธุรกิจที่มีการลงทุนสูง ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเฉลี่ยสูงถึง 49% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ
แม้แต่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงเช่นธุรกิจสายการบิน ตัวเลขดอกเบี้ยที่จ่ายออกไปจากรายได้จากการดำเนินกิจการก็สามารถนำมาบ่งชี้บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันได้ด้วยเช่นกัน สายการบินเซาธ์เวสท์ที่มีกำไรสม่ำเสมอ มีดอกเบี้ยจ่ายเพียง 9% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ ในขณะที่สายการบินยูไนเต็ดคู่แข่งที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่เสมอ มีดอกเบี้ยจ่ายถึง 61% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ และสายการบินอเมริกันคู่แข่งอีกหนึ่งของเซาธ์เวสท์ซึ่งมีปัญหารุมเร้าอยู่มีดอกเบี้ยจ่ายสูงถึง 92% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นกฏว่า ... บริษัทในกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนซึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ลงทุนอยู่ทั้งหมดต้องมีดอกเบี้ยจ่ายต่ำกว่า 15% ของรายได้จากการดำเนินกิจการทั้งสิ้นอย่างไรก็ตาม ร้อยละของดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้จากการดำเนินกิจการของแต่ละอุตสาหกรรมสามารถมีความแตกต่างกันอย่างมาก ตัวอย่างเช่น เวลส์ ฟาร์โก ธนาคารซึ่งวอร์เรนถือหุ้นอยู่ 14% จ่ายดอกเบี้ยประมาณ 30% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ ซึ่งดูเหมือนสูง เมื่อเทียบกับโค้ก แต่ความเป็นจริงแล้วกลับทำให้เวลส์ ฟาร์โกเป็นธนาคารดีที่สุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของอเมริกา ซึ่งมีอัราส่วนการจ่ายดอกเบี้ยต่ำที่สุดและน่าสนใจที่สุด นอกจากนี้ เวลส์ ฟาร์โกยังเป็นธนาคารเดียวที่มีความมั่นคงระดับ AAA จากการจัดอันดับของสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์สด้วย
อัตราส่วนของดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้จากการดำเนินกิจการยังเป็นตัวบ่งชี้อย่างดีถึงระดับความอันตรายของเศรษฐกิจที่บริษัทจัดอยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น ธนาคารวาณิชธนกิจซึ่งมีดอกเบี้ยจ่ายราว 70% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ คนที่มีสายตาละเอียดจะเน้นว่า ในปี 2006 แบร์ สเติร์นส์ รายงานว่าบริษัทมีดอกเบี้ยจ่าย 70% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ แต่เมื่อถึงไตรมาสสิ้นสุด ณ เดือนพฤศจิกายน 2007 อัตราการจ่ายดอกเบี้ยต่อรายได้จากการดำเนินกิจการได้กระโดยสูงขึ้นถึง 230% ซึ่งหมายความว่า บริษัทต้องนำเงินจากส่วนผู้ถือหุ้นมาโปะตรงส่วนต่างนี้ การทำเช่นนี้ในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูงเช่น แบร์ สเติร์นส์ หมายถึงหายนะ และเพียงเดือนมีนาคม 2008 แบร์ สเติร์นที่เคยยิ่งใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 ปี มีราคาซื้อขายในตลาดสูงถึง $170 เหรียญต่อหุ้น ก็ถูกบังคับให้ควบรวมกับเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ในราคาเพียงหุ้นละ $10 เหรียญเท่านั้น
กฏในบทนี้ธรรมดามาก : ในทุกอุตสาหกรรม บริษัทที่มีอัตราส่วนดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้การดำเนินธุรกิจต่ำที่สุดมักจะเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน และในโลกของวอร์เรน บัฟเฟตต์ การลงทุนในบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน เป็นหนทางเดียวที่สามารถรับรองได้ว่าจะนำไปสู่ความร่ำรวยได้ในระยะยาว