การดูแลรักษาพอร์ตการลงทุนก็เช่นเดียวกับการจัดการสวนที่ต้องการดูแลรักษาอยู่เป็นประจำ พอร์ตการลงทุนก็ต้องการการดูแลรักษาด้วยเช่นกัน หากไม่เป็นเช่นนั้นคุณก็อาจจะต้องสูญเสียการควบคุมในปัจจัยที่สำคัญเกี่ยวกับความเสี่ยงและผลตอบแทนของการจัดสรรการลงทุนในพอร์ตการลงทุนของคุณ ดังนั้นการปรับสมดุลจึงเป็นหนึ่่งในสองหัวข้อสำคัญที่เราจะพูดกันในข้างหน้านี้ ส่วนหนึ่งคือการวางแผนภาษี ซึ่งเราจะคุยกันอีกหัวข้อหนึ่งแต่ต้นนี้ขอเริ่มต้นที่ เรื่องการปรับสมดุลก่อนดังนี้
การปรับสมดุลของพอร์ตการลงทุน
การปรับสมดุลจะทำให้พอร์ตการลงทุนของคุณยังคงมีระดับความเสี่ยงตามที่วางแผนไว้ หากปราศจากการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอมันจะทำให้เกิด "แนวทางที่คลาดเคลื่อนไปจากแผนการลงทุน" ในช่วงตลาดขาขึ้น คุณจะมีความกล้าที่จะถือหุ้นเป็นส่วนใหญ่ในพอร์ตการลงทุนของคุณและถ้ายังไม่มีการปรับสมดุล....การลงทุนในหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นไปโดยอัตโนมัติ ทำให้มีการประเมินราคาหุ้นสูงขึ้น และควาคาดหวังต่อผลตอบแทนก็จะลดลง ในตลาดขาลง.. ความจริงที่เกิดขึ้นก็จะกลับกันนั้นคือ การถือครองหุ้นในพอร์ตการลงทุนของคุณก็จะลดลงไป...เมื่อมีการประเมินราคาหุ้นลดลงดังนั้นผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ก็จะสูงขึ้น วิธีการดังกล่าวจึงไม่น่าจะเป็นวิธีการลงทุนที่ชาญฉลาด
ซื้อราคาต่ำและขายราคาสูง
วิธีการปรับสมดุลเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก แต่ก็ไม่ง่าย นี่คือเหตุผลว่าทำไมอารมณ์จึงเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย การปรับสมดุลยังทำให้คุณลดการถือครองในประเภทสินทรัพย์ที่มีผลงานดีอีกด้วย (เพราะคุณมักจะขายออกไปก่อนในราคาสูง) และเพิ่มสินทรัพย์ประเภทที่ยังมีผลงานไม่ดีนัก (ซื้อเข้ามาแล้วในราคาถูก) อาจกล่าวได้ว่า ฝันของนักลงทุนทุกคนก็คือ การซื้อราคาต่ำและขายราคาสูงนั้นเอง
ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของการปรับสมดุลคือ เมื่อเวลาผ่านไป มันจะทำให้เกิดเงินโบนัสงอกเงยให้เราอีกด้วย ผลตอบแทนต่อปีของพอร์ตการลงทุน (Portfolio's annualized return) จะมากกว่าผลตอบแทน เฉลี่ยตามน้ำหนักของประเภทสินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนนั้นๆ ต่อปี นี่คือ "ผลตอบแทนของการกระจายพอร์ตการลงทุน" หรือคือ "เงินโบนัสจากการปรับสมดุล" นั่นเองในพอร์ตการลงทุนถ้ายิ่งมีสินทรัพย์ประเภทที่มีความผันผวนอยู่มาก ผลกระทบต่อการปรับสมดุลก็จะยิ่งสูงขึ้นตาม เหตุผลเป็นเพราะว่าเมื่อคุณปรับสมดุลแล้ว คุณจะต้องซื้อทรัพยืสินต่างๆ ในราคาต่ำลงไปอีกและต้องขายทรัพย์สินในราคาสูงขึ้นอีกไปอีกด้วย
การตัดสินใจที่สำคัญคือ การพิจารณากำหนดตัวชี้วัดการปรับสมดุล และต่อไปนี้จะเป็นกฏเบื้องต้นที่จะช่วยให้คุณพิจารณาได้
กฏ 5/25 เปอร์เซนต์
การปรับสมดุลอาจจะทำให้เกิดค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นและอาจจะตามมาด้วยภาระภาษีอีกด้วย ดังนั้นคุณควรจะปรับสมดุลก็ต่อเมื่อกองทุนใหม่ๆ เปิดขาย หรือการจัดสรรการลงทุนของคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญจากนโยบายเดิมทีวางไว้ เหตุผลที่ควรใช้กฏ 5/25 เปอร์เซ็นต์ เพื่อจัดสรรการลงทุนก่อนการปรับสมดุลคือ การปรับสมดุลจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสินทรัพย์ตัวหนึ่งตัวใดมากกว่าหรือน้อยกว่า 5% ของทรัพย์สินทั้งหมด หรือมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของสินทรัพย์มากกว่าหรือน้อยกว่า 25% ของมูลค่าของตัวมันเอง ซึ่งค่าการเปลี่ยนแปลงของตัวใดมีน้อยกว่า ก็จะใช้ค่าที่น้อยกว่านั้นเป็นเกณฑ์
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าประเภทของสินทรัพย์ตัวหนึ่งตัวใดถูกวางแผนไว้เป็น 10% ของพอร์ตการลงทุน เราก็จะเริ่มใช้กฏ 5 เปอร์เซนต์ ดังนั้นหากประเภทของสินทรัพย์นั้นๆ ไม่ได้เกิดเปลี่ยนแปลงกับมูลค่าสินทรัพย์ตัวหนึ่งตัวใดมากกว่าหรือน้อยกว่า 5% ของสินทรัพย์ทั้งหมด หรือมูลค่ายังอยู่ในช่วง 5% - 15% แล้ว ก็จะไม่มีการปรับสมดุลใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม เรายังต้องใช้กฏ 25 เปอร์เซ็นต์ด้วย นั่นคือหากราคาสินทรัพย์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า 25% ของมูลค่าของตัวมันเองหรือคือ 25% ของมูลของตัวมันเองซึ่งอยู่ที่ 10% นั่นคือ 25% คูณ 10% เท่ากับ 2.5% ดังนั้นหากมูลค่ายังอยู่ในช่วง 7.5% - 12.5% แล้วไม่มีการปรับสมดุลใดๆ
ในกรณีนั้น กฏ 25 เปอร์เซ็นต์จะเป็นเกณฑ์ที่นำมาใช้ เพราะให้ค่าความเปลี่ยนแปลงเพียง 2.5% ซึ่งน้อยกว่ากฏ 5 เปอร์เซ็นต์ที่ให้ค่าความเปลี่ยนแปลง 5% แต่หากมีการจัดสรรทรัพย์สินอยู่ที่ 50% แทนที่จะเป็น 10% แล้ว กฏ 5/25 เปอร์เซ็นต์ ก็จะให้ผลดังนี้ กฏ 5 เปอร์เซ็นต์จะให้ค่าการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 5% และให้ช่วงการเปลี่ยนแปลงอยู่ระหว่าง 45% - 55% ส่วนกฏ 25 เปอร์เซ็นต์จะให้ค่าการเปลี่ยนแปลง 25% คูณ 50% เท่ากับ 12.5% และทำให้ช่วงการเปลี่ยนแปลงอยู่ระหว่าง 37.5% - 62.5% ดังนั้นในกรณีนี้ กฏ 5 เปอร์เซ็นต์จะให้ค่าความเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 5% ซึ่งน้อยกว่า จึงเลือกใช้กฏ 5 เปอร์เซ็นต์เป็นเกณฑ์ และหามูลค่าทรัพย์สินยังอยู่ในช่วง 45% - 55% ก็ไม่ต้องปรับสมดุลใดๆ
ขณะที่การปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนควรทำบนพื้นฐานความเสี่ยง (ตามที่แสดงไว้ข้างต้น) ไม่ใช่ปรับสมดุลตามระยะเวลาปฏิทินเท่านั้น ถ้าคุณกำลังปรับสมดุลด้วยตัวคุณเอง คุณควรพยายามทำให้ง่ายเข้าไว้และใช้กฏ 5/25 เปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะทำทุกไตรมาส คุณควรมั่นใจว่ากฏที่คุณใช้นั้นครอบคลุมได้ทั้ง 3 ระดับคือ
- ระดับกว้างซึ่งหมายถึง หุ้นและตราสารหนี้
- ระดับของประเภทสินทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ระดับแคบลงมาถึงสินทรัพย์แต่ละประเภท ( เช่น ตลาดเกิดใหม่ อสังหาริมทรัพย์ หุ้นขนาดเล็ก หุ้นเน้นคุณค่า และอื่นๆ )
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในมุมมองที่กว้างขึ้น การปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนอาจมีความจำเป็นต้องใช้เพราะเหตุว่าหากหุ้นทั้ง 6 ประเภท แต่ละประเภทเพิ่มขึ้นเป็น 11% ของพอร์ตการลงทุน สินทรัพย์ประเภทหุ้นจะมีสัดส่วนรวมกัน 66% การเพิ่มชึ้นจาก 60% ไปเป็น 66% ก็ทำให้ต้องใช้กฏ 5/25 เปอร์เซ็นต์ เพราะกฏ 5 เปอร์เซ็นต์จะให้ช่วง 55%-65% ส่วนกฏ 25 เปอร์เซ็นต์จะให้ช่วง 45%-75% ดังนั้นกรณีนี้ กฏ 5 เปอร์เซ็นต์จะต้องนำมาใช้เป็นเกณฑ์เพราะมีค่าน้อยกว่า และเมื่อมูลค่าสินทรัพย์ไปอยู่ที่ 66% แล้วก็จะเกินช่วงกฏ 5 เปอร์เซ็นต์ข้างต้น ทำให้ต้องมีการปรับสมดุลในกรณีนี้
สถาณการณ์ที่กลับกันอาจจะเกิดขึ้นเมื่อพิจารณาสินทรัพย์โดยภาพรวมอีกครั้งหนึ่งที่กฏ 5/25 เปอร์เซ็นต์อาจจะใช้เป็นแนวทางหนึ่งในการพิจารณาได้ ซึ่งคุณอาจจะสร้างแนวทางในการปรับสมดุลเพื่อลดความเสี่ยงด้วยตัวคุณเอง และระเบียบวินัยของกฏที่ใช้จะมีความสำคัญกว่าจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่คุณกำหนดลงไปอีกด้วย