กำไรสุทธิ : สิ่งที่วอร์เรนมองหา
หลังจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดและภาษีถูกนำมาหักออกจากรายได้ของบริษัทแล้ว เราก็จะได้กำไรสุทธิของบริษัท และตรงนี้คือที่ซึ่งเราจะทราบว่าบริษัททำเงินได้เท่าใดหลังจากที่จ่ายภาษีรายได้แล้ว มีแนวคิดสองสามแนวคิดที่วอร์เรนใช้อยู่เมื่อเขาดูตัวเลขนี้ ซึ่งจะช่วยให้เขาตัดสินใจได้ว่าบริษัทนั้นๆ มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือไม่.....เพราะฉะนั้น ทำไมเราไม่เริ่มที่นี่เลยล่ะ
แรกสุด ในรายการของวอร์เรน บัฟเฟตต์คือ ประวัติของกำไรสุทธินี้มีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ ตัวเลขกำไรสุทธิเพียงปีเดียวไม่มีค่าสำหรับวอร์เรน บัฟเฟตต์ สิ่งที่วอร์เรนสนใจคือภาพกำไรนั้นมีความสม่ำเสมอหรือไม่ และแนวโน้มในระยะยาวสูงขึ้นเรื่อยๆ ไหม --- ทั้ง 2 ข้อนี้แปลความหมายได้เท่ากับ "ความยั่งยืน" ของความได้เปรียบในการแข่งขัน... สำหรับวอร์เรนแล้ว การเดินทางไม่จำเป็นต้องราบรื่นเสมอ สิ่งที่เขามองหาคือประวัติแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ให้หมายเหตุไว้ว่า : จากโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัท เป็นไปได้ว่าประวัติแนวโน้มกำไรสุทธิของบริษัทอาจต่างจากประวัติแนวโน้มของกำไรต่อหุ้น โครงการซื้อหุ้นคืนจะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจากการลดลงของจำนวนหุ้นที่นำมาหารกำไรสุทธิของบริษัท ทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น แม้ว่ากำไรสุทธิที่แท้จริงจะไม่เพิ่มขึ้นเลยก็ตาม ในกรณีสุดโต่ง โครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทยังทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิจริงของบริษัทลดลงก็มี
แม้ว่าการวิเคราะห์การเงินส่วนใหญ่จะเน้นที่กำไรต่อหุ้นของบริษัทแต่วอร์เรน บัฟเฟตต์จะมองที่กำไรสุทธิของธุรกิจเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่
สิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์เรียนรู้ก็คือ บริษัที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนจะรายงานร้อยละของกำไรสุทธิต่อยอดรวมรายได้สูงกว่าคู่แข่ง วอร์เรนบอกว่าหากได้เลือกเป็นเจ้าของบริษัทที่มีกำไร $20,000 ล้านเหรียญ จากรายได้รวม $10,000 ล้าน กับบริษัทที่มีกำไร $5,000 ล้าน จากรายได้รวม $100,000 ล้าน เขาจะเลือกบริษัทที่มีกำไร $2,000 ล้าน ทั้งนี้ก็เพราะว่า บริษัที่มีกำไรสุทธิ $2,000 ล้าน มีกำไรเท่ากับ 20% ของยอดรวมรายได้ ในขณะที่บริษัทมีกำไร $5,000 ล้าน มีกำไรเพียง 5% ของยอดรวมรายได้เท่านั้น
ดังนั้น ตัวเลขยอดรวมรายได้อย่างเดียวจึงบอกอะไรเกี่ยวกับเศรษฐกิจของธุรกิจน้อยมาก แต่อัตราส่วนของกำไรสุทธิต่อยอดรวมรายได้จะสามารถบอกอะไรได้มากมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจของธุรกิจเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่น
ธุรกิจที่น่าทึ่ง เช่น โคคา - โคล่า มีกำไร 21% จากยอดรวมรายได้ขณะที่มูดี้ส์ทำได้ 31% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่แฝงอยู่ในธุรกิจซึ่งเหนือกว่าโคคา - โคล่า แต่บริษัทอย่างสายการบินเซาธ์เวสท์ มีกำไรน้อยนิดเพียง 7% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของธุรกิจสายการบินที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง ซึ่งไม่มีสายการบินใดมีความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือเพื่อนร่วมธุรกิจเลย ในทางกลับกัน แม้แต่ในปีที่ดี (คือไม่ขาดทุน) จีเอ็ม มีกำไรเพียง 3% ของยอดรวมรายได้เท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจห่วยแตกที่แฝงอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการแข่งขันซูเปอร์สูง
กฏง่ายๆ (และมีข้อยกเว้น) ก็คือ : หากบริษัทมีประวัติการทำกำไรมากว่า 20% ของยอดรวมรายได้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าบริษัทนั้นได้รับประโยชน์บางอย่างจากความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว ส่วนบริษัทที่แสดงตัวเลขรายได้สุทธิต่ำกว่า 10% ของยอดรวมรายได้อย่างสม่ำเสมอ ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงที่ไม่มีบริษัทใดมีความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือคู่แข่ง แน่นอน ระหว่างกำไร 10% และ 20% ของยอดรวมรายได้นั้น มีพื้นที่สีเทากว้างมาก และในพื้นที่นี้เต็มไปด้วยบริษัทมากมายที่พร้อมที่จะให้นักลงทุนเข้ามาเก็บเกี่ยวทองคำในระยะยาวซึ่งยังไม่มีผู้ใดค้นพบ
หนึ่งในข้อยกเว้นของกฏข้อนี้คือ ธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อมีอัตราร้อยละระหว่างกำไรสุทธิและยอดรวมรายได้สูงผิดปกติ มักจะหมายถึงความไม่มีประสิทธิภาพของฝ่ายบริหารความเสี่ยงในขณะที่ตัวเลขของธุรกิจเหล่านี้ดูเย้ายวนใจนั้น ความจริงมันกำลังบ่งบอกถึงการยอมรับความเสี่ยงมากกว่าเพื่อทำกำไรอย่างง่ายๆ ซึ่งในเกมของการให้กู้ยืมเงินแล้ว มักจะเป็นสูตรสำเร็จของหายนะในระยะยาวและการประสบความหายนะทางการเงินนั้น ไม่ใช่วิธีที่จะพาใครไปสู่ความร่ำรวยอย่างแน่นอน
กำไรต่อหุ้น : วอร์เรน บัฟเฟตต์รู้ได้อย่างไรใครคือผู้ชนะ ใครคือผู้แพ้
กำไรต่อหุ้น คือ กำไรสุทธิของบริษัทของแต่ละหุ้นในรอบบัญชีหนึ่ง ซึ่งคือตัวเลขสำคัญในโลกของการลงทุน เพราะกฏมีว่า... ยิ่งบริษัทมีกำไรต่อหุ้นมากเท่าใด ราคาหุ้นก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ในการที่จะทราบว่าบริษัทมีกำไรต่อหุ้นเท่าใดนั้น ให้เรานำกำไรสุทธิของบริษัทมาหารด้วยจำนวนหุ้นที่อยู่ในมือผู้ถือหุ้น (Outstanding share) ของบริษัทตัวอย่างเช่น หากบริษัทมีกำไรสุทธิ $10 ล้าน ในปีนั้นๆ และบริษัทมีหุ้นที่อยู่ในมือผู้ถือหุ้น 1 ล้านหุ้น กำไรต่อหุ้นในปีนั้นก็คือ $10 ดอลลาร์ต่อหุ้น
ในขณะที่กำไรต่อหุ้นเพียงปีเดียวไม่สามารถนำมาใช้บ่งชี้ว่าบริษัทหนึ่งๆ มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือไม่ แต่กำไรต่อหุ้นในระยะเวลา 10 ปีจะสามารถให้ภาพที่ชัดเจนว่า บริษัทนั้นๆ มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาวหรือไม่ และสิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ค้นหาคือ ภาพกำไรต่อหุ้นในช่วง 10 ปีที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
อะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับตัวเลขด้านล่างนี้
08 $2.95
07 $2.68
06 $2.37
05 $2.17
04 $2.06
03 $1.95
02 $1.65
01 $1.60
00 $1.48
99 $1.30
98 $1.42
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้วอร์เรน บัฟเฟตต์เห็นว่า บริษัทมีกำไรสม่ำเสมอและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะยาว ซึ่งเป็นสัญญานดีเยี่ยมที่บ่งว่า บริษัทนี้มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว ปกติแล้วกำไรที่สม่ำเสมอเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า บริษัทกำลังขายผลิตภัณฑ์ตัวเดียวหรือหลายตัวซึ่งไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อันเป็นงานที่มีค่าใช้จ่ายสูง ส่วนกำไรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หมายความว่า เศรษฐกิจของบริษัทแข็งแกร่งพอที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดด้วยการโฆษณาหรือขยายกิจการ หรือทำวิศวกรรมทางการเงิน เช่น การซื้อหุ้นคืน เป็นต้น ได้
บริษัที่วอร์เรน บัฟเฟตต์จะถอยห่างคือ บริษัที่มีภาพกำไรสับสน เอาแน่ไม่ได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
08 $2.50
07 $(0.45) ขาดทุน
06 $3.89
05 $(6.05) ขาดทุน
04 $6.39
03 $5.03
02 $3.35
01 $1.77
00 $6.68
99 $8.53
98 $5.24
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นแนวโน้มที่ต่ำลงสลับกับขาดทุน ซึ่งบอกวอร์เรนให้รู้ว่าบริษัทนี้อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันที่รุนแรงและมีแนวโน้มที่จะรุ่งหรือจะดับไปเลยก็ได้ บริษัทจะรุ่งเมื่ออุปสงค์มากกว่าอุปทาน แต่เมื่ออุปสงค์มีมาก บริษัทก็จะเพิ่มการผลิตเพื่อตอบสนองซึ่งทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และนำไปสู่ภาวะอุปทานล้นตลาดในที่สุด ภาวะสินค้าล้นตลาดทำให้ราคาตก ซึ่งหมายความว่า บริษัทจะขาดทุนจนกว่าตลาดจะสดใสขึ้นมาอีก มีบริษัทนับพันที่เป็นเช่นนี้ ทำให้ราคาหุ้นผันผวนอย่างมากเนื่องจากกำไรที่ไม่คงที่ และทำให้นักลงทุนประเภทเน้นคุณค่า (Value Investor) คิดว่าคือโอกาสในการซื้อ แต่ความจริงก็คือ พวกเขากำลังตีตั๋วขึ้นเรือแจวที่ไม่สามารถนำนักลงทุนไปไหนได้ไกล