Thursday, March 13, 2014

การวางแผนจัดสรรเงินทุน และตารางการปรับสมดุล หุ้นแบบ VI

การวางแผนจัดสรรการลงทุน  และตารางการปรับสมดุล

      การวางแผนการลงทุนควรจะรวมถึงการจัดสรรการลงทุนและตารางการปรับสมดุล  ตารางควรจะรวมทั้งระดับเป้าหมายของสินทรัพย์ในแต่ละประเภท  ระดับต่ำสุด  และระดับสูงสุด  เพื่อให้สามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่งเพราะการปรับสมดุลทุกครั้งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น  รวมถึงค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมหรือภาษีที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย


กระบวนการปรับสมดุล

      ในช่วงการสะสมเงินลงทุนนั้น  จะมีวิธีการปรับสมดุลอยู่ 2 วิธี  วิธีแรกคือ การขายสิ่งที่มีราคาสูงออกไป  และซื้อสิ่งที่มีราคาต่ำเข้ามาแทนที่  วิธีที่สองคือการเพิ่มเงินสดใหม่ๆ เข้ามาในการจัดสรรการลงทุนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่มีระดับต่ำกว่าเป้าหมาย  การผสมผสานกลยุทธ์ทั้งสองวิธียังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อีกด้วย  แต่การเพิ่มเงินสดจะเป็นวิธีที่ดีกว่าเกิดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำกว่า  และยังไม่ก่อให้เกิดภาษีที่เกิดจากกำไรส่วนต่างมูลค่าหุ้นจากการขายสิ่งที่มีราคาสูงออกไปตามวิธีแรกอีกด้วยและในช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์  นักลงทุนก็อาจขายสินทรัพย์ที่มีราคาสูงออกไปได้

      กลยุทธ์หนึ่งที่ควรจะพิจารณาคือ  การกระจายพอร์ตการลงทุนออกไปโดยการใช้เงินสดเพิ่มเข้าไปในการลงทุนเพื่อการปรับสมดุลมากกว่าจะนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนเดิมไปลงทุนต่อโดยอัตโนมัติ  อย่างไรก็ตามคุณควรพิจารณาถึงขนาดของพอร์ตการลงทุนและค่าธรรมเนี่ยมการทำธุรกรรมที่จะเกิดขึ้นด้วย  สำหรับนักลงทุนรายย่อยนั้น ค่าธุรกรรมจะยังมีผลอย่างมากซึ่งอาจไม่ใช่เป็นกลยุทธ์ที่ดี  และนี่คือคำแนะนำการใช้กระบวนการปรับสมดุล :
  • จงพิจารณากองทุนที่ให้ผลตอแทนในอนาคตอันใกล้ (เช่น ประโยชน์จากการคืนภาษี  โบนัสการขาย หรือได้รับเงินปันผล ) ถ้าการปรับสมดุลทำให้เิกิดภาษีจากกำไรส่วนต่างราคาหุ้นที่ขายออกไปมันอาจจะดีกว่าที่จะรอไว้ก่อน
  • จงพิจารณาชะลดการปรับสมดุลออกไป  ซึ่งในระยะสั้นมักจะก่อให้เกิดส่วนต่างมูลค่าหุ้นจำนวนมาก  ขนาดของกำไรที่เกิดขึ้นควรเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาเพราะยิ่งได้กำไรมาก  ผลประโยชน์ที่รอคอยซึ่งจะได้รับจากกำไรในระยะยาวก็ยิ่งมาก  ซึ่งยังต้องพิจารณาด้วยว่าอีกนานเท่าใดกว่าจะมีเงินทุนก้อนใหม่เพื่อนำไปใช้ปรับสมดุล
  • ถ้าภาษีส่วนต่างมูลค่าหุ้นเกิดขึ้นจำนวนมาก  จงพิจารณาปรับสมดุลเพื่อลดภาษีที่เกิดขึ้นให้ต่ำที่สุด  ดีกว่าจะมาปรับปรุงการจัดสรรการลงทุนให้กลับไปสู่ระดับเป้าหมายเดิม
        จากนี้ไปเราจะเข้าสู่เรื่องสำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งคือ  การจัดการภาษี

         การจัดการภาษี

       กลยุทธ์เพื่อเอาชนะการลงทุนนั้นควรใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้ง  แต่การจัดการพอร์ตการลงทุึนแบบซื้อขายน้อยครั้งโดยไม่คำนึงถึงภาษีนั้นอาจเป็นสิ่งที่ผิด  นักลงทุนจะสามารถปรับปรุงผลตอบแทนหลังภาษีของพอร์ตการลงทุนได้โดยจัดการภาษีล่วงหน้า  ดังนั้นการจัดการภาษีจึงต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการดังต่อไปนี้ :
  • จงเลือกประเภทการลงทุนที่สามารถลดภาระภาษีได้สูงสุด
  • จงพิจารณาขายหุ้นที่มีผลประกอบการขาดทุนมาทั้งปีถ้าผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้มากกว่าค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น  และนำเงินจากการขายหุ้นนั้นๆ  กลับไปลงทุนอีก (ในสหรัฐอเมริกา  ผลขาดทุนจากการขายหุ้นจะนำไปลดหย่อนภาษีได้)  ทั้งนี้จะต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นไปตามกฏ wase sale ซึ่งเป็นการกระทำที่ลดหย่อนภาษีไม่ได้ (ในสหรัฐอเมริการ  กฏนี้หมายถึงการขายหุ้นอย่างขาดทุนและซื้อหุ้นที่ขายไปกลับมาทั้งหมดภายใน 30 วันเื่พื่อนำผลขาดทุนไปลดภาษี)  พอร์ตการลงทุนควรได้รับการตรวจเช็คอยู่เป็นประจำ (อย่างน้อยที่สุดไตรมาสละึครั้ง)  เืพื่อพิจารณาว่าถึงเวลาจะขายหุ้นเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้วหรือยัง  การรอจนถึงสิ้นปีจึงจะจัดการเรื่องภาษีอาจเป็นความผิดพลาด  เพราะความสูญเสียอาจอยู่ในช่วงต้นปีและอาจส่งผลครอบคลุมไปไม่ถึงช่วงสิ้นปี
  • จงขายกองทุนชุดที่มีค่าใช้จ่ายสูงสุดก่อนเพื่อกำไรและก่อให้เกิดความเสียหายสูงสุด  ตามกฏหมายในปี 2012 ผู้รับฝากหลักทรัพย์ จะต้องติดตามข้อมูลเหล่านี้และแจ้งให้คุณทราบ
  • โดยทั่วไป  จงอย่าขายกองทุนระยะสั้งเพื่อผลกำไร  ให้รอจนกระทั่งผลกำไรดังกล่าวกลายเป็นผลกำไรระยะยาวไปแล้ว  จงระลึกเสมอว่าหากการจัดสรรหุ้นของคุณทำได้ดีกว่าเป้าหมายแล้ว  คุณอาจจะไม่อยากทำตามคำแนะนำนี้  จงเปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยงที่ "มากเกิน" ของการถือครองหุ้น  กับผลประโยชน์ทางภาีษีที่จะได้รับในบางกรณีคุณอาจจะต้องยอมขาดทุนจากส่วนต่างมูลค่าหุ้นเสียก่อนจึงจะสามารถได้รับการชดเชยผลขาดทุนเหล่านี้ในภายหลัง
  • จงซื้อขายในช่วงใกล้กับวันจ่ายเงินปันผล  นักลงทุนไม่ควรซื้อจำนวนหุ้นในกองทุนใกล้วันปิดสมุดทะเบียนเพื่อจ่ายเงินปันผล  จงระลึกไว้ว่า  วันปิดสมุดทะเบียนไม่ใช่วันเดียวกับวันจ่ายเงินปันผลให้ผู้ที่ถือหุ้น  วันที่มีสิทธิรับเงินปันผลคือวันที่ชื่อของคุณปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนของบริษัทในฐานะผู้ถือหุ้นที่มีสิืทธิรับเงินปันผลแล้ว วันปิดสมุดทะเบียนคือวันถัดจากวันที่มีสิทธิรับเงินปันผลซึ่งมีการจ่ายเงินปันผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ราคากองทุนที่ซื้อขายมักจะตกต่ำลงหลังจากนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของการกระจายพอร์ตการลงทุนที่คาดหวัง  คุณจึงไม่ควรพิจารณาซื้อกองทุนภายใน 30-60 วันหลังจากวันปิดสมุดทะเบียนแล้ว 
  • จงซื้อขายในช่วงสิ้นปี  กองทุนส่วนใหญ่มักจะกระจายการลงทุนออกมาปีละครั้ง  โดยปกติจะทำกันในเดือนธันวาคม  กองทุนบางหน่วยอาจจะทำบ่อยครั้งกว่า  และบางครั้งพวกเขาก็จะกระจายการลงทุนออกไปเป็นกรณีพิเศษด้วย  ลองตรวจสอบดูว่ามีการกระจายการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อทำกำไรตามปกติหรือกำไรระยะสั้งหรือไม่  ถ้าคุณกำลังพิจารณาซื้อกองทุนนั้นๆ ในช่วงที่มันอยู่ระหว่างกระจายการลงทุนอยู่ละก็  คุณควรจะรอจนกว่ากิจกรรมนั้นจะเสร็จสิ้นไปเสียก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษีที่ต้องจ่ายสำหรับกำไรที่ได้รับจากกองทุน  ถ้าคุณกำลังพิจารณาขายกองทุน  คุณควรจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการขายกองทุนก่อนจะถึงวันสุดท้ายที่มีสิทธิรับเงินปันผล  เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้สินทรัพย์สุทธิที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นกำไรในระยะยาวและภาษีที่เกิดขึ้นก็เป็นภาษีอัตราต่ำระยะยาวอีกด้วย  ถ้าคุณกำลังจะขายกองทุนก้อนใหญ่ออกไปแต่มูลค่าน้อยกว่าภาษีที่คุณจะต้องจ่าย  จงพิจารณาขายกองทุนก่อนจะมีการกระจายการลงทุนออกไป  ถ้าไม่เช่นนั้น  คุณจะต้องจ่ายภาษีจากการกระจายการลงทุนทั้งๆ  ที่คุณก็ขาดทุนจากการขายกองทุนนั้นอยู่แล้ว  ดังนั้นจึงควรพิจารณาช่วงเวลาจะซื้อและขายกองทุนอย่างรอบคอบเพื่อคุณจะไม่ต้องมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น
        เราจะไปต่อถึงคำถามที่ว่า  คุณควรจะเป็นนักลงทุนที่ลงทุนด้วยตัวเองหรือควรจะจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน ?