กำไร (ขาดทุน) จากการขายสินทรัพย์และอื่นๆ
เมื่อบริษัททำการขายสินทรัพย์ (ที่ไม่ใช่สินค้าคงคลัง) กำไรหรือขาดทุนจากการขายจะได้รับการบันทึกภายใต้ กำไร (ขาดทุน) จากการขายสินทรัพย์ โดยกำไรคือส่วนต่างของเงินที่ได้รับจากการขายและมูลค่าของสินทรัพย์ที่ปรากฏในบัญชีของบริษัท หากบริษัทมีอาคารที่ได้มาในราคา $1 ล้าน หลังจากตัดค่าเสื่อมไปเหลือมูลค่าเพียง $500,000 แล้วขายไป $800,000 บริษัทจะบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์เท่ากับ $300,000 ในทางเดียวกัน หากบริษัทขายอาคารไปในราคา $400,000 เหรียญ บริษัทก็จะบันทึกขาดทุนเท่ากับ $100,000สำหรับบัญชีอื่นๆ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันนี้ บัญชีนี้คือที่ที่รายได้และค่าใช้จ่ายซึ่งไม่เกี่ยวกับการดำเนินกิจการ ค่าใช้จ่ายที่ไม่ปกติและไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ได้รับการคำนวณออกมาและบันทึกลงในงบกำไรขาดทุน รายการเหล่านี้รวมถึงการขายสินทรัพย์ถาวร เช่น ที่ดิน โรงงาน และเครื่องจักร ส่วนที่รวมอยู่ในรายการ อื่นๆ อาจมี เช่น การอนุญาติใช้สิทธิ์และการขายสิทธิบัตร หากสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับธุรกิจปกติของบริษัท
บางครั้งรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็มีนัยสำคัญต่อตัวเลขกำไรขาดทุนของบริษัทเช่่นกัน แต่เนื่องจากมันเป็นรายการที่จะไม่เกิดอีก วอร์เรนจึงเชื่อว่าในการจะตัดสินว่าบริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันหรือไม่นั้น รายการเหล่านี้มันไม่ควรนำมาคำนวณรวมในกำไรสุทธิของบริษัท
กำไรก่อนหักภาษี : ตัวเลขซึ่งวอร์เรน บัฟเฟตต์ใช้
กำไรก่อนหักภาษี คือกำไรของบริษัทหลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว แต่ยังไม่หักภาษี นี่คืออีกหนึ่งตัวเลขที่วอร์เรนใช้ในการคำนวณผลตอบแทนที่จะได้รับเมื่อเขาซื้อธุรกิจทั้งธุรกิจ หรือซื้อเพียงบางส่วนจากการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นอกจากการลงทุนที่ได้รับการยกเว้นภาษีแล้ว ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนทุกรูปแบบจะถูกนำเสนอต่อตลาดในรูปก่อนการหักภาษีและเนื่องจากการลงทุนทุกชนิดจะต้องมีการแข่งขัน ดังนั้น การคิดถึงธุรกิจเหล่านี้ภายใต้เงื่อนไขที่เท่าเทียมกันจึงง่ายกว่า
เมื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์ซื้อพันธบัตรปลอดภาษีมูลค่า $139 ล้านเหรียญ ของวอชิงตัน พับบลิค เพาเวอร์ ซัพพลาย ซิสเต็ม (Washington Public Power Supply System - WPPSS) ซึ่งจ่ายดอกเบี้ยให้เขาปีละ $22.7 ล้านเหรียญ โดยไม่ต้องหักภาษีนั้น เขาให้เหตุผลว่ารายได้หลังหักภาษี $22 ล้านเหรียญ เท่ากับรายได้ก่อนหักภาษี $45 ล้าน ซึ่งปกติการซื้อธุรกิจที่จะทำรายได้ก่อนหักภาษีให้เขา $45 ล้าน เขาต้องจ่ายเงิน $250 ล้าน ถึง $300 ล้าน ดังนั้น เขาจึงมองว่าพันธบัตรของ WPPSS เป็นธุรกิจที่เขาซื้อได้ในราคาส่วนลด 50% เทียบกับมูลค่าของธุรกิจอื่นที่มีเศรษฐกิจเดียวกันซึ่งขายกันอยู่ในตลาด
วอร์เรนจะพูดถึงรายได้ของบริษัทในรูปรายได้ก่อนหักภาษีเสมอเพราะทำให้เขาสามารถเปรียบเทียบธุรกิจหรือการลงทุนหนึ่งกับอีกธุรกิจหรือการลงทุนอื่นๆได้ หนึ่งในความจริงสำคัญที่วอร์เรนเผยให้เห็นก็คือ บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ความจริงแล้วก็คือ "ตราสารทุน" (Equity bond) ประเภทหนึ่งที่ให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเสมอ เราจะท้าการสำรวจทฤษฏีเกี่ยวกับ "ตราสารทุน" ของวอร์เรนอย่างละเอียดขึ้นในครั้งท้าย ๆ ของการตีความงบการเงินนี้
ภาษีจ่าย : วอร์เรนทราบได้อย่างไรว่าใครพูดความจริง
เช่นเดียวกันกับผู้เสียภาษีทุกคน บริษัทสัญชาติอเมริกันทุกบริษัทต้องเสียภาษีรายได้ โดยปัจจุบันอัตราภาษีที่ชำระอยู่ที่ประมาณ 35% ของรายได้บริษัท เมื่อมีการจ่ายภาษีจำนวนดังกล่าวจะได้รับการบันทึกลงในงบกำไรขาดทุนภายใต้ ภาษีรายได้ หรือ ภาษีจ่าย
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ภาษีจ่าย ก็คือ มันสะท้อนให้เห็นถึงรายได้ก่อนหักภาษีที่แท้จริงของบริษัท บางครั้งหลายบริษัทชอบอวดโลกว่า ธุรกิจทำเงินมากกว่าที่ทำได้จริง (ช็อคล่ะสิ?) ดังนั้น วิธีหนึ่งที่จะรู้ว่าพวกเขาพูดความจริงหรือไม่ก็คือ ไปดูเอกสารที่ยื่น SEC ว่าพวกเขาเสียภาษีรายได้เท่าไหร่ โดยให้ดูตัวเลขตรงที่ระบุว่า รายได้จากการดำเนินกิจการก่อนหักภาษี แล้วหักออก 35% หากจำนวนที่ได้ไม่เท่ากับจำนวนที่บริษัทระบุไว้ใน ภาษีจ่าย ก็เริ่มสงสัยได้
วอร์เรน บัฟเฟตต์เรียนรู้จากประสบการณ์อันยาวนานว่า บริษัmที่วุ่นวายกับการตบตาสรรพากร มักจะพยายามอย่างยิ่งในการตบตาผู้ถือหุ้นด้วยและความงดงามของบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว คือ การที่บริษัททำเงินได้มากจนไม่ต้องสร้างภาพตบตาใคร