กำไรขั้นต้น/ส่วนต่างกำไรขั้นต้น ตัวเลขสำคัญสำหรับวอร์เรนในการค้นหาขุมทองในระยะยาว
ตอนนี้หากเรานำตัวเลขที่บริษัทรายงานว่าคือ ต้นทุนสินค้าขายมาหักจากยอด รวมรายได้ ของบริษัท เราจะได้กำไรขั้นต้น ตัวอย่าง เช่น : ยอดรวมรายได้ $10 ล้าน ลบต้นทุนสินค้าขาย $7 ล้าน เท่ากับกำไรขั้นต้น $3 ล้าน
กำไรขึ้นต้น คือเงินที่บริษัททำได้จากรายได้ขั้นต้นหลังจากหักต้นทุนของวัตถุดิบและแรงงานที่ใช้ในการทำสินค้าแล้ว แต่ยังไม่รวมค่าใช้จ่าย เช่น ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร ค่าเสื่อมราคา และต้นทุนของดอกเบี้ยในการดำเนินธุรกิจ
ตัวเลขกำไรขั้นต้นเพียงตัวเดียวบอกอะไรได้น้อยมาก แต่เราสามารถนำตัวเลขนี้มาคำนวณส่วนต่างกำไรขั้นต้นของบริษัท ซึ่งจะบอกให้เราได้ทราบอะไรบางอย่างเกี่ยวกับธรรมชาติของเศรษฐกิจของบริษัทนั้นๆ ได้อย่างดี สมการในการหาส่วนต่างกำไรขั้นต้น คือ
กำไรขั้นต้น / ยอดรวมรายได้ = ส่วนต่างกำไรขั้นต้น
สำหรับวอร์เรน บัฟเฟตต์ สิ่งที่เขามองหาคือ บริษัที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนบางอย่าง หรือธุรกิจที่เขาสามารถทำกำไรได้ในระยะยาว และสิ่งที่เขาพบก็คือ บริษัทที่มีเศรษฐกิจยอดเยี่ยมที่ได้เปรียบในระยะยาวมักจะมีส่วนต่างกำไรขั้นต้นสูงอย่าง สม่ำเสมอ กว่าบริษัทอื่น เราจะยกตัวอย่างใหคุณดู
ส่วนต่างรายได้ขั้นต้นของบริษัทที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ บ่งชี้แล้วว่ามีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนรวมถึง : โคคา - โคล่า ซึ่งมีส่วนต่างกำไรขั้นต้น 60% หรือมากกว่าให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ บริษัทจัดอันดับพันธบัตรมูดี้ส์ มีส่วนต่าง 73% เดอะ เบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ เรลเวย์ 61% และบริษัทเคี้ยวมันอย่างหมากฝรั่งริกลี่ย์ 51%
จากการเปรียบเทียบธุรกิจชั้นยอดเหล่านี้กับบริษัทอื่นๆ ทำให้เราทราบถึงความแตกต่าง บริษัทที่มีเศรษฐกิจของธุรกิจไม่ดีนักในระยะยาว เช่น สายการบินยูไนเต็ด ที่ล้มละลายฟื้นๆ ฟุบๆ เป็นประจำ มีส่วนต่างกำไรขั้นต้น 14% บริษัทผลิตรถยนต์เจนเนอรัล มอเตอร์สที่กำลังประสบปัญหาทำได้ 21% แบบหืดขึ้นคอ, ยูเอส สตีล บริษัทซึ่งเริ่มทำกำไรได้แล้วแต่ยังไม่แข็งแกร่งนักมี 17% และยางกู๊ดเยียร์ ที่วิ่งได้ในทุกสภาพอากาศ แต่ในเศรษฐกิจที่ไม่ดีนักเริ่มวิ่งไม่ออก มีตัวเลขที่ไม่น่าประทับใจนักที่ 20%
ธุรกิจเทคโนโลยีคือธุรกิจที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขออยู่ห่างๆ เพราะว่าเขาไม่เข้าใจ แม้ไมโครซอฟท์จะมีส่วนต่างกำไรขั้นต้นสม่ำเสมอสูงถึง 79% ขณะที่แอปเปิ้ลอยู่ที่ 33% ตัวเลขร้อยละนี้ชี้ให้เห็นว่า ไม่โครซอฟท์มีเศรษฐกิจที่ดีกว่าจากการขายระบบปฏิบัติการและซอฟแวร์ เทียบกับแอปเปิ้ลซึ่งขายฮาร์ดแวร์และบริการ
สิ่งที่สร้างส่วนต่างกำไรขั้นต้นสูงให้กับบริษัทคือ ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งทำให้บริษัทมีอิสระในการกำหนดราคาผลิตภัณฑ์และบริการที่จำหน่ายสูงกว่าต้นทุนสินค้าขายได้มาก หากไม่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน บริษัทจะต้องต่อสู้กับคู่แข่งด้วยการลดราคาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ขาย ซึ่งทำให้ส่วนต่างกำไรและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้น จึงเป็นกฏธรรมดามาก (และมีข้อยกเว้น) ว่า : บริษัทซึ่งมีส่วนต่างกำไรขั้นต้น 40% หรือมากกว่า มีแนวโน้มที่จะเป็นบริษัทที่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนประการใดประการหนึ่ง ในขณะที่บริษัทที่มีตัวเลขน้อยกว่า 40% มีแนวโน้มที่จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งการแข่งขันส่งผลกระทบต่อส่วนต่างกำไรโดยรวม (นี่ก็มีข้อยกเว้นด้วยเช่นกัน) ส่วนต่างกำไรขั้นต้น 20% หรือน้อยกว่า มักเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าอุตสาหกรรมนั้นๆ มีการแข่งขันที่ดุเดือด และไม่มีบริษัทใดในอุตสาหกรรมนี้ที่สามารถสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่ยั่งยืนเหนือคู่แข่งได้ และบริษัทในอุตสหกรรมที่มีการแข่งขันสูงซึ่งไม่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันใดๆ ไม่มีวันจะทำให้เรารวยได้ในระยะยาว
ในขณะที่ส่วนต่างกำไรขั้นต้นไม่ได้เป็นหลักประกันว่าบริษัทจะรอบพ้นจากความล้มเหลว แต่ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ตัวแรกๆ ว่าบริษัทมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนและมีความสม่ำเสมอ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เน้นคำว่า "ยั่งยืน" เป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย เราจึงควรตรวจสอบตัวเลขส่วนต่างกำไรขั้นต้นของบริษัทในช่วง 10 ปีล่าสุด เพื่อความมั่นใจว่าบริษัทมีความ "สม่ำเสมอ" วอร์เรนทราบว่า เมื่อเราจะค้นหาบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน "ความสม่ำเสมอ" คือหัวใจของเกมนี้
ตอนนี้เราจะพูดถึงสาเหตุหลายประการที่ทำให้บริษัทซึ่งมีส่วนต่างผลกำไรสูงหลงทาง ทำให้บริษัทสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว
- คือต้นทุนการค้นคว้าที่สูงลิ่ว
- บริษัทมีต้นทุนการขายและการบริหารสูง
- ต้นทุนดอกเบี้ยจากหนี้ของบริษัทสูง