ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ : วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะจับตาดูอย่างระมัดระวัง
แถวถัดลงมาจากกำไรขั้นต้นในงบกำไรขาดทุน คือกลุ่มของค่าใช้จ่ายซึ่งเรียกว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้คือค่าใช้จ่ายสำคัญเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารงาน ค่าใช้จ่ายในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ค่าปรับปรุงโครงสร้างและการด้อยค่าของทรัพย์สิน และค่าใช้จ่าย "อื่นๆ" ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายจิปาถะต่างๆ ทั้งค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่จากการดำเนินกิจการ และค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว
รายการเหล่านี้รวมกันเป็น "รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ" ของบริษัท ซึ่งจะนำมาหักออกจากกำไรขั้นต้นเพื่อที่จะได้ตัวเลขกำไรหรือขาดทุนจากการดำเนินกิจการของบริษัท เนื่องจากรายการเหล่านี้ทุกรายการล้วนมีผลกระทบต่อธรรมชาติของเศรษฐกิจของธุรกิจในระยะยาว เราจะมาดูรายการเหล่านี้ทีละรายการอย่าเจาลึกตามสไตล์ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ กันต่อไป
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขาย, ทั่วไป และการบริหาร
ในงบกำไรขาดทุน ภายใต้หัวข้อ ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling), ทั่วไป (General), และการบริหาร (Administrative Expense) หรือ SGA ที่ซึ่งบริษัทรายงานค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการบริหารทั้งที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือโดยอ้อม ในรอบบัญชีนั้นๆ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้รวมถึง เงินเดือนของผู้บริหาร ค่าโฆษณา ค่าเดินทาง ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับกฏหมาย ค่าคอมมิสชั่น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนทั้งหมด และอื่นๆ
ในบริษัทเช่นโคคา-โคล่า ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจสูงเป็นพันล้านและมีผลกระทบมหาศาลต่อกำไรสุทธิของบริษัท หากคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละต่อกำไรขั้นต้นแล้ว ตัวเลขค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในแต่ละธุรกิจจะต่างกันอย่างมาก แม้แต่ในระหว่างบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนแบบโคคา -โคล่า ตัวเลขค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็ยังแตกต่างกัน โคคา-โคล่า มีตัวเลขค่าใช้จ่าย SGA เฉลี่ย 59% ของกำไรขั้นต้นอย่างสม่ำเสมอ บริษัทอย่างมูดี้ส์มีตัวเลขเฉลี่ยที่ 25% อย่างสม่ำเสมอ และพร็อคเตอร์แอนด์แกมเบิลอยู่ที่ราว 61% อย่างสม่ำเสมอ ณ จุดนี้ คำว่า "สม่ำเสมอ" คือหัวใจสำคัญ
บริษัทที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนจะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุงแรง และมีตัวเลขค่าใช้จ่าย SGA ต่างกันอย่างมากเมื่อเทียบเป็นอัตราร้อยละต่อกำไรเบื้องต้น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จีเอ็มมีค่า SGA เพิ่มจาก 28% เป็น 83% ฟอร์ดมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ในช่วง 5 ปีตั้งแต่ 83% ถึง 780% ซึ่งหมายความว่าบริษัทกำลังสูญเสียเงินอย่างใหญ่หลวง ปัญหาของบริษัทก็คือเมื่อยอดขายเริ่มตก ซึ่งหมายความว่ารายได้ตกลงด้วย แต่ค่าใช้จ่ายในการขายทั่วไป และการบริหารยังคงอยู่ หากบริษัทไม่สามารถตัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้เร็วพอ กำไรเบื้องต้นจะเริ่มถูกกินลึกลงไปเรื่อยๆ
ในการค้นหาบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนบริษัทที่มีค่าใช้จ่ายการขาย ทั่วไป และการบริหารยิ่งต่ำจะยิ่งดี และหากสามารถคงความต่ำอย่างสม่ำเสมอก็จะดียิ่งขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม มีบริษัทจำนวนหนึ่งที่มีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันอย่างยั่งยืน แต่มีค่า SGA อยู่ในระหว่าง 30% ถึง 80% ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากเราเห็นบริษัทที่มีค่า SGA ใกล้เคียง หรือมากกว่า 100% ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมายความว่าเรากำลังเล่นอยู่กับบริษัทซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงมาก ทำให้ไม่มีบริษัทใดสามารถมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนได้
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทที่มีค่าใช้จ่ายการขาย ทั่วไป และบริหารต่ำหรือปานกลาง แต่ทำลายเศรษฐกิจของธุรกิจในระยะยาวที่ดีเยี่ยมของตนด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาลในการค้นคว้าพัฒนา ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนและ/หรือค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยกับหนี้ก้อนโตด้วย
อินเทลคือตัวอย่างที่ดีมากของบริษัที่มีอัตราร้อยละของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขาย ทั่วไป และบริหาร ต่อกำไรขั้นต้นในระดับต่ำ แต่เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการค้นคว้าพัฒนาสูง ทำให้เศรษฐกิจระยะยาวของธุรกิจลดต่ำเหลือเพียงปานกลางเท่านั้น แต่ถ้าหากอินเทลหยุดค้นคว้าวิจัย ผลิตภัณฑ์รุ่นที่มีอยู่ในปัจจุบันก็จะล้าสมัยใน 10 ปีข้างหน้าและต้องเลิกธุรกิจ
ยางกู๊ดเยี่ยร์มีอัตราร้อยละค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขาย ทั่วไป และบริหารต่อกำไรขั้นต้น 72% แต่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนและดอกเบี้ย (จากหนี้ซึ่งนำมาชำระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุน) ฉุดให้ผู้ผลิตยางรายนี้ขาดทุนทุกครั้งที่เศรษฐกิจถดถอย แต่ถ้าหากว่ากู๊ดเยี่ยร์ไม่สร้างหนี้เพื่อนำไปชำระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนและปรับปรุงบริษัท กู๊ดเยียร์ก็ไม่อาจคงความสามารถในการแข่งขันได้นาน
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียนรู้ที่จะอยู่ห่างจากบริษัทต้องสาปด้วยค่าใช้จ่ายการขาย ทั่วไป และบริหารสูงอย่างสม่ำเสมอ เรายังรู้อีกว่าเศรษฐกิจของบริษัทที่มีค่า SGA ต่ำ สามารถถูกทำลายลงด้วยค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนที่สูง และ/หรือหนี้ก้อนโต วอร์เรน บัฟเฟตต์จะหลีกเลี่ยงธุรกิจประเภทนี้ไม่ว่าราคาจะเท่าใดก็ตาม เพราะเขาทราบว่าเศรษฐกิจในระยะยาวของบริษัทเหล่านี้จะแย่มากโดยธรรมชาติ ที่แม้แต่ราคาขายถูกๆ ก็ไม่ทำให้นักลงทุนรอดพ้นจากผลประกอบการ "งั้นๆ" ตลอดอายุขัยของธุรกิจได้