หนึ่ง บริษัทที่สินทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจมีแนวโน้มที่มูลค่าสูงขึ้นตามกาลเวลา บริษัทพวกนี้มักอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่า, ค้าปลีก หรือ โรงแรม ทั้งนี้เพราะราคาที่ดินและค่าก่อสร้างซึ่งมีแรงผลักดันของเงินเฟ้ออยู่เบื้องหลังทำให้ราคาสูงขึ้น จากสถิติย้อนหลัง อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของไทยน่าจะอยู่ที่ราวๆ 4% ทำให้สินทรัพย์ของบริษัทมีมูลค่าเพิ่มตามไปด้วย ยิ่งบริษัทที่มีสินทรัพย์อยู่ในทำเลที่ดีๆ เช่น ใกล้ระบบขนส่ง หรือ สถานที่ท่องเที่ยว มูลค่าก็จะเพิ่มมากกว่าอัตราเงินเฟ้อเป็นทวีคูณ ข้อเสียของบริษัทประเภทนี้คือต้องใช้เงินลงทุนในสินทรัพย์สูง แต่ข้อดีคือบริษัทมักมีมูลค่าสินทรัพย์แฝงในตัวเอง หากวันใดกำไรบริษัทลดลง หรือแย่ขนาดขาดทุน มูลค่าของกิจการจะไม่ผันผวนมากนัก ทั้งนี้เพราะมีมูลค่าของสินทรัพย์ค้ำยันมูลค่าของกิจการอยู่
สอง บริษัทที่สินทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นตามกาลเวลา แต่เป็นสินทรัพย์ประเภทไม่มีตัวตน บริษัทในกลุ่มนี้มักจะได้แก่ บริษัทที่มี แบรนด์, เทคโนโลยี, ฐานลูกค้า และ ช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง กิจการเหล่านี้มักจะมีค่า PBV ค่อนข้างสูง เนื่องจากมูลค่าสินทรัพย์ที่ ใช้ในการประกอบธุรกิจเหล่านี้มักจะไม่แสดงอยู่ในงบดุล จึงเป็นการยากสำหรับนักลงทุนผู้ซึ่งเพิ่งเริ่มต้น จะทำการประเมินมูลค่า การอ่านกรณีศึกษาของการควบรวมกิจการในอดีตจะพอให้เห็นภาพโดยรวมได้ อย่างเช่นการที่ Facebook จ่ายเงินถึง 1,000 ล้านเหรียญเพื่อซื้อ Instagram ที่มีจำนวนผู้ใช้งาน 30 ล้านคนในปี 2012 หลังจากที่ Instagrom ก่อตั้งมาเพียง 2 ปี หรือ ในกรณีที่ P&G รวมกิจการกับ Gillette ในปี 2005 ด้วยมูลค่ามากกว่า 50,000 ล้านเหรียญ กล่าวกันว่าราวๆ 50% เป็นค่าแบรนด์ต่างๆ ที่ Gillette ครอบครองอยู่
สาม บริษัทที่สินทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าลดลงตามกาลเวลา ตัวอย่างของ กิจการประเภทนี้ได้แก่ บริษัทรถเช่า, สายการบิน, ผู้รับเหมา หรือ โรงงานรับจ้างผลิต เนื่องจากสินทรัพย์ที่ใช้ประกอบธุรกิจเป็นเครื่องจักร ซึ่งมีสภาพและมูลค่าเสื่อมไปตามกาลเวลา ทำให้มูลค่าของกิจการจะอิง กับตัวเลขของกำไรค่อนข้างมาก และหากตัวเลขกำไรเกิดเสียหายขึ้นมา มูลค่าของกิจการจะมีการ ตอบสนองค่อนข้างมากเพราะไม่มีสินทรัพย์ที่มีคุณภาพเป็นตัวคอยค้ำไว้ และเนื่องจากเครื่องจักรมีการ เสื่อมสภาพ และมีรุ่นใหม่ๆออกมาเสมอ ทำให้กิจการเหล่านี้ต้องคอยลงทุนในสินทรัพย์ใหม่อยู่ตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นก็ตามยังมีหลายบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล่านี้ที่สามารถสร้างมูลค่าของกิจการได้เป็น อย่างดีเพราะมีการบริหารที่เยี่ยมยอด อย่างหุ้นของสายการบิน Southwest Airlines ก็ให้ผลตอบแทน ในรอบ 10 ปี ดีกว่าหุ้นค้าปลีกในอเมริกาบางตัวเสียอีก
การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเน้นการมองหุ้นเสมือนเป็นธุรกิจ ทำให้มักไม่ค่อยดูตัวเลขหรืออัตราส่วน ทางการเงินในแง่มุมใดแง่มุมเดียวเป็นหลัก หากแต่มองออกไปหลายๆด้านเพื่อให้เห็นภาพโดยรวมของการทำธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น การศึกษาบริษัทในแง่ของสินทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบกิจการก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการประเมินมูลค่า นักลงทุนควรศึกษาทั้งภาพรวมของอุตสาหกรรม, คู่แข่ง, ความสามารถ ในการแข่งขัน และ ตัวเลขอัตราส่วนตัวเลขทางการเงินหลายๆด้านประกอบการตัดสินใจ เพราะ “หุ้น” ก็คือส่วนหนึ่งของบริษัท ที่มีคนทำงานจริง มีการขายของและบริการจริง มีกำไรจริง มีขาดทุนจริง จึงมีหลายแง่มุมให้เราต้องศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าที่จะคอยดูแต่ราคาที่วิ่งไปวิ่งมา ราคาหุ้นนั้น หากใครเข้า internet ก็สามารถดูได้ จึงไม่สร้างความแตกต่างอะไร แต่การประเมินมูลค่าที่แท้จริงนั้น เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนและทำได้ยาก แต่หากทำได้ก็จะกลายเป็น “ความสามารถในการแข่งขัน” ให้กับ นักลงทุนนั้นๆอย่างแท้จริง