Tuesday, March 29, 2016

บทเรียนการลงทุนจาก WW II / โดยดร.นิเวศ เหมวชิรวรากร


ผมจำไม่ได้ว่าเริ่มสนใจศึกษาและรู้สึก “หลงใหล” กับการอ่านเรื่องของสงครามโลกครั้งที่สองหรือที่มักเขียนเป็นตัวย่อภาษาอังกฤษว่า WW II (World War II) ตั้งแต่เมื่อไร  รู้แต่ว่าเกิดขึ้นหลังจากที่ผมกลายเป็นนักลงทุน VI ที่มุ่งมั่นประมาณ 20 ปีมาแล้ว  ภาพยนตร์และสารคดีที่เกี่ยวกับหรืออิงกับสงครามโลกครั้งที่สองเกือบทุกเรื่องกลายเป็นเรื่องที่ผมอยากชม  หลายเรื่องไม่เกี่ยวกับการรบแต่เป็นเรื่องของชีวิตในช่วงสงคราม เช่น เรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยนาซีก็กลายเป็นหนังที่ผมชอบดูไปด้วย  เหตุผลที่ผมชอบนั้นส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ  สงครามโลกครั้งที่สองนั้นเป็นสงครามที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์และได้เผยให้เห็นพฤติกรรมและธาตุแท้ของมนุษย์ถึงแก่น  และในเหตุการณ์นั้น  คนแต่ละกลุ่มหรือชาติได้ใช้สรรพกำลัง ความคิด และอารมณ์ขั้นสูงสุดที่จะ “เอาชนะ” เพื่อที่จะดำรงความเป็นมนุษย์ที่สูงที่สุดหรือดีที่สุดของตนเองและเผ่าพันธุ์ของตนเอง  ดังนั้น  การเรียนรู้เรื่องของ WW II น่าจะทำให้เราเข้าใจเรื่องของมนุษย์และสังคมมากมายอย่างที่หาได้ยากจากเรื่องอื่น ๆ

บทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่สองนั้น  ผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ได้กับเรื่องของการต่อสู้และการแข่งขันได้เกือบทุกเรื่อง  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องของธุรกิจและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนยอดของธุรกิจ  และต่อไปนี้ก็คือบทเรียนบางประการจากสงครามที่ผมอยากนำมาพูดถึง

เรื่องย่อที่สุดของ WW II ก็คือ  เยอรมันเริ่มก่อสงครามโดยการบุกยึดครองยุโรปตะวันตกเฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเศษได้สำเร็จในเวลาอันสั้น  กลยุทธ์ก็คือการรุกรบอย่างรวดเร็วแบบสายฟ้าแลบนำโดยรถถังแพนเซอร์ที่ทรงประสิทธิภาพและทหารที่มีความสามารถยอดเยี่ยมที่ถูกเตรียมการอย่างดีโดยการบังคับและการ “ล้างสมอง” ประชาชนโดยพรรคนาซีที่ได้เข้ากุมอำนาจเด็ดขาดในรัฐบาล  วัตถุประสงค์ของนาซีก็คือการที่จะเข้าครอบครองประเทศและทรัพยากรแทบทั้งหมดในยุโรปโดยคนเยอรมัน  พันธมิตรหลักของเยอรมันที่เรียกว่าฝ่ายอักษะที่สำคัญก็คือ  อิตาลีที่นำโดยมุสโสลินีผู้เผด็จการฟาสซิสที่หวังครอบครองยุโรปบางส่วนและอาฟริกา  และญี่ปุ่นที่นำโดยกลุ่มทหารที่ต้องการครอบครองเอเชียเพื่อความมั่งคั่งของญี่ปุ่น

ฝ่ายสัมพันธมิตรที่ทำสงครามต่อต้านฝ่ายอักษะที่สำคัญก็คืออังกฤษ สหภาพโซเวียตรัสเซีย อเมริกาและประเทศประเทศหลัก ๆ  ของโลกแทบจะทุกประเทศ  ส่วนหนึ่งเพราะประเทศเหล่านั้นมีความเกี่ยวดองกับอังกฤษในฐานะประเทศอาณานิคมหรืออดีตอาณานิคม  ดังนั้น  ถ้าจะว่าไปแล้ว  จำนวนคนและทรัพยากรของฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นมากกว่าฝ่ายอักษะหลายเท่าแม้ว่าในช่วงเริ่มต้นของสงครามประเทศเหล่านั้นจะยังไม่มีความพร้อมอะไรเลยเนื่องจากเป็นประเทศที่ไม่สามารถบังคับหรือล้างสมองให้คนเตรียมเข้าสู้รบ

หลังจากความสำเร็จในการยึดครองฝรั่งเศสและยุโรปเกือบทั้งหมด  เยอรมันก็บุกรัสเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ หนาวเย็นมากในฤดูหนาวและมีคนจำนวนมาก  เยอรมันคิดว่ากองทัพรัสเซียอ่อนแอมากและน่าจะสามารถยึดได้ในเวลาอันรวดเร็วและไม่ได้ “เผื่อ” สถานการณ์ที่ “ไม่คาดฝัน” อะไรเลยรวมทั้ง “ดูแคลน” คนรัสเซียว่าด้อยความสามารถ  อย่างไรก็ตาม  ก่อนที่เยอรมันจะชนะนั้น  ภาวะอากาศที่หนาวเย็นและการบังคับให้ทหารต่อสู้จนตัวตายโดยสตาลินซึ่งเป็น “เผด็จการสังคมนิยม” ก็ทำให้เยอรมันต้อง  “ติดหล่ม” ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรทุกชาติโดยเฉพาะรัสเซียมีเวลาระดมสรรพกำลังและต่อสู้จนได้ชัยชนะในที่สุด  โดยที่ญี่ปุ่นเองนั้นก็มีเรื่องราวหรือชะตากรรมแบบเดียวกับเยอรมันที่ชนะในช่วงแรกแต่สุดท้ายก็ถูกอเมริกาที่ใหญ่กว่ามากถล่มจนยับเยิน

บทเรียนแรกที่ผมคิดว่าเราสามารถนำมาใช้กับธุรกิจและการลงทุนก็คือ  ในสงครามนั้น  เยอรมันรบโดยไม่ได้ปฏิบัติตาม  “กฎของสงคราม” โดยเฉพาะกฎที่ว่าผู้ชนะนั้นคือผู้ที่มีทรัพยากรมากกว่าในสนามรบและกฎอื่น ๆ   หลายครั้งโดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ  ของสงครามนั้น  ฮิตเลอร์บัญชาการรบเองและมีความเชื่อมั่นในความสามารถและความแข็งแกร่งของกองทัพมากเกินไปจึงสั่งการในแบบที่ผิดกฎของสงครามมากโดยไม่ฟังแม่ทัพนายกองที่ทักท้วง  ผลก็คือความพ่ายแพ้  ในการลงทุนก็เช่นกัน  ผมคิดว่ามี “กฎเหล็ก”  ของการลงทุนหลายอย่างที่เราไม่ควรฝืน  อย่าไปคิดว่าเราแน่หรือคิดว่าครั้งนี้มีข้อยกเว้นและเรา “มั่นใจมาก”  เราอาจจะเคยทำสำเร็จได้กำไรมากด้วยการทำผิดกฎหลักของการลงทุน เช่น  การทุ่มลงทุนตัวเดียวเต็มพอร์ต  แต่การทำแบบนั้นก็อาจจะเหมือนกับที่ฮิตเลอร์สามารถชนะฝรั่งเศษในเวลาอันสั้นและไปแพ้จนเป็นหายนะในรัสเซียก็ได้

บทเรียนข้อสองของผมก็คือ  อย่าซื้อหุ้นถ้าไม่แน่ใจว่าจะไม่ขาดทุน  หรืออย่าเข้าสนามรบโดยไม่มั่นใจว่าจะชนะแน่  นี่เป็นสิ่งที่ผมเห็นจากการที่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอเมริกานั้น  เวลาจะบุกเข้ายึดเมืองหรือประเทศคืนและรุกเข้ายึดครองประเทศฝ่ายอักษะนั้น  พวกเขาจะมีการวางแผนอย่างดีและยอมใช้เวลาค่อย ๆ  “รุกคืบ”  ตัวอย่างเช่น  แทนที่จะบุกเข้ายุโรปทันที  พวกเขากลับเริ่มโดยบุกเข้าทางอาฟริกาเหนือเพื่อที่จะต่อไปที่อิตาลีที่ค่อนข้างอ่อนแอและฝรั่งเศสจนถึงเยอรมัน  เป็นต้น  เช่นเดียวกัน  สหรัฐเองนั้นก่อนที่จะเข้าโจมตีเกาะญี่ปุ่น  อเมริกาค่อย ๆ  ยึดเกาะต่าง ๆ  ในมหาสมุทรเพื่อที่จะ “ตั้งฐาน” ใกล้เกาะญี่ปุ่นเข้าไปเรื่อย ๆ  และในการรบทุกครั้งนั้น  อเมริกาจะทุ่มคนและอาวุธโดยเฉพาะเรือรบและเครื่องบินเข้าไปมากกว่าฝ่ายญี่ปุ่นอย่างน้อย 3 เท่าเพื่อให้มั่นใจว่าชนะแน่

ในแง่ของการลงทุนนั้น  ผมคิดว่าในการซื้อหุ้นเราก็ควรจะต้องประเมินอย่างรอบคอบมาก ๆ  ว่า  โอกาสที่เราจะชนะหรือได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ—ในระยะยาว  อาจจะตั้งไว้ซัก 2-3 ปี  นั้นสูงมาก  ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเราก็จะไม่ซื้อ  เราจะไม่เสี่ยงที่จะซื้อหุ้นเพียงเพราะเราหวังว่าเราจะได้กำไรเร็ว ๆ  ในเวลาอันสั้นแต่ความไม่แน่นอนสูง  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  ถ้าดูแล้วมีโอกาสขาดทุนเนื่องจากมีปัจจัยไม่แน่นอนหลายอย่างที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูง  เราไม่เอา  เราไม่ต้องการที่จะเข้าไป “ติดหุ้น”  เหมือนอย่างที่เยอรมันเข้าไปติดอยู่ในรัสเซียเพราะกำลังทหารและสรรพาวุธไม่พอเนื่องจากระยะทางเดินทัพนั้นไกลมาก

บทเรียนสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  ถ้ารู้ว่า “แพ้” ก็ต้องมีกลยุทธ์ในการ “ถอย”  นี่ก็อีกเช่นกัน  เป็นเรื่องของฝ่ายสัมพันธมิตรมากกว่าฝ่ายอักษะและรัสเซีย  เหตุผลอาจจะเป็นว่าในประเทศของ “โลกเสรี” นั้น  รัฐมีอำนาจจำกัดในการบังคับพลเมือง  และการสั่งหรือปล่อยให้คน “สู้ตาย” นั้น  ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องไม่ว่าในกรณีใด  ตรงกันข้าม  ฮิตเลอร์มักสั่งให้กองทัพ “ยืนหยัด” สู้ตายทั้ง ๆ  ที่กำลัง “แพ้” ซึ่งทำให้กำลังทหารอ่อนแอลงไปมาก  และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือญี่ปุ่นที่ทหารส่วนใหญ่ไม่ยอมแพ้และต้องตายเกือบทั้งหมดในแทบทุกสมรภูมิ   ตรงกันข้าม  กลยุทธ์ในการ “หนี” ของกองทัพอังกฤษเป็นแสน ๆ คน ที่ชายหาดดังเคิร์กข้ามทะเลกลับเกาะอังกฤษ และการ “หนี” ของแมคอาเธอร์จากเกาะฟิลิปปินส์และคำพูดอมตะว่า  “I shall return”  นั้นเป็นกลยุทธ์ที่ดีต่อการรบในเวลาต่อมามาก  และผมก็คิดเช่นเดียวกันว่า  ในการลงทุนนั้น  ถ้ารู้ว่าแพ้  เช่น หุ้นที่เราถืออยู่มีการเปลี่ยนแปลงของพื้นฐานหรือเราคิดว่ามีโอกาสที่จะแย่ลงมากและราคาหุ้นได้ตกลงไปมาก  เราก็อาจจะต้อง “ยอมแพ้”  และ “หนี”  คือขายหุ้นไปแม้จะขาดทุนมาก  เราอาจจะ “ปลอบใจตัวเอง” ว่า  I shall return ได้กำไรจากเงินที่ขายไปและไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นแทนก็ได้

การนำบทเรียนของ WW II มาใช้ในการลงทุนนั้น  เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  ว่าที่จริงผมยังนำมันมาใช้ในเรื่องอื่น ๆ  อีกมากรวมถึงเรื่องเศรษฐกิจ สังคม  และการเมือง  ชะตากรรมของชาวยิวและเหตุผลที่มันเกิดขึ้นเตือนให้ผมรู้ว่าโลกนี้มีอันตรายมากมายที่เราต้องตระหนัก  บางสิ่งบางอย่างมันก็เกินจากความคาดคิดได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมมักจะหาคำตอบว่าทำไมสังคมเยอรมันที่ประกอบไปด้วยคนที่มีความสามารถสูงและ “ฉลาด” มากสามารถก่อให้เกิดเรื่องราวทั้งสงครามและการก่ออาชญากรรมแบบนั้นได้  และคำตอบนั้นก็จะกลายมาเป็น  “บทเรียน” ที่ผมจะนำมาใช้คาดการณ์หรือมองว่าสังคมของไทยและ/หรือสังคมของโลก จะไปทางไหนในอนาคตมองจากสถานะในปัจจุบัน