คอลัมน์ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ โดย ชาย มโนภาส
เป็นที่รู้กันดีว่าสองมหาเศรษฐีนักลงทุนของโลก George Soros และ Warren Buffett ถึงแม้ว่าจะเกิดเดือนเดียวปีเดียวกัน แต่แนวการลงทุนของทั้งสองท่านแตกต่างกันมากทีเดียว Soros นั้นเน้นการเก็งกำไร โดยอาศัยทั้งหลักเศรษฐศาสตร์ การเมืองและจิตวิทยามวลชน แต่ Buffett จะเน้นแนวที่เรียกกันว่า Value Investing
หากหันมาดูพอร์ตลงทุนของทั้งสองจะพบว่า หุ้นที่ Soros ถือมากที่สุดในพอร์ตตอนนี้คือหุ้นสุดยอดบริษัทขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตของจีนชื่อ Alibaba ซึ่งเป็นหุ้นแนวเทคโนโลยี โดยให้น้ำหนักถึง 5% ของพอร์ต แต่ Buffett กลับเลือกที่จะถือหุ้นธนาคาร Wells Fargo ซึ่งโมเดลการทำธุรกิจแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงจากในอดีต โดยให้น้ำหนักถึง 23% ของพอร์ต ถึงแม้ว่าแนวการลงทุนจะแตกต่างกัน หลังจากศึกษาหุ้นที่ทั้งสองนักลงทุนเอกของโลกถือครองอยู่ ณ สิ้นปี 2014 กลับพบว่ามีหุ้นอยู่ทั้งหมดเจ็ดตัวที่ทั้ง Buffett และ Soros ถือเหมือนกัน ซึ่งในบทความนี้ขอยกมา 3 ตัว เพื่อศึกษาว่ากิจการเหล่านี้มีดีอย่างไร
บริษัทที่หนึ่ง General Motor (GM) บริษัทผลิตรถยนต์ของอเมริกาซึ่งมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน Buffett ถือ GM อยู่ 1.3% ของพอร์ตในขณะที่ Soros ถือหุ้น GM อยู่ 1.5% ทำไมทั้งสองคนถึงสนใจลงทุนในหุ้นบริษัทรถยนต์แห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่ GM เคยมีประวัติผลประกอบการที่ย่ำแย่?
นักวิเคราะห์ต่างชาติหลายคนประเมินว่า หลังจากการเพิ่มทุนครั้งใหญ่หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ฐานะทางการเงินของ GM เปลี่ยนไปอย่างมาก ในตอนนี้ GM มีมูลค่ากิจการ 60,000 ล้านเหรียญ แต่บริษัทถือครองเงินสดไว้ราว 28,000 ล้านเหรียญตั้งแต่ปี 2010 เรื่อยมา เรียกว่าถ้าซื้อ GM ทั้งบริษัทแล้วเอาเงินสดออกมา GM จะมีมูลค่าแค่ 32,000 ล้านเหรียญ ซึ่งถูกกว่า Ford คู่แข่งหลักราว 50% แต่ GM มีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงกว่า และในตอนนี้ยังมีการเรียกร้องจากกองทุนที่ถือหุ้นของ GM ให้บริษัทนำเงินสดส่วนเกินมาซื้อหุ้นคืนในตลาด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น
หากมองกันตามที่นักวิเคราะห์ต่างประเทศได้ว่ามา ผมก็เชื่อว่าไม่ใช่แต่ Buffett เท่านั้น Soros เองก็มีมุมมองของ "Value Investing" ด้วยเหมือนกัน
บริษัทที่สอง Direct TV (DTV) เป็นบริษัทบริการรายการทีวีส่งตรงถึงบ้านผ่านระบบดาวเทียม มีแพ็กเกจหลากหลายให้เลือกทั้งในสหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้ โดยในสหรัฐมีฐานสมาชิกถึง 20 ล้านคน คู่แข่งหลักโดยตรงกับ Direct TV มีอยู่รายเดียวคือ Dish Network แต่ DTV ทำอัตรากำไรสุทธิได้ดีกว่า กิจการทีวี แบบบอกรับสมาชิกสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมหาศาล ซึ่งกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ DTV สูงกว่ากำไรสุทธิราว 100% ตั้งแต่ปี 2010 ทำให้เงินสดในงบดุลของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในรอบห้าปีที่ผ่านมา
โดย Berkshire Hathaway ของ Buffett เข้าไปถือหุ้นอยู่ 2.5% ของพอร์ต และ Soros Fund ถืออยู่ 0.29% ถึงแม้ว่าคนเลือก DTV เข้าพอร์ตของ Berkshire น่าจะเป็น Todd Combs มือขวา Buffett มากกว่าที่จะเป็นตัว Buffett เอง แต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่ Berkshire เริ่มสนใจในบริษัทที่ต้องใช้เทคโนโลยีในการประกอบธุรกิจ นอกเหนือจากหุ้นธนาคารและอุปโภคบริโภคที่เป็นหุ้นหลักของบริษัท ส่วน Soros เองถือหุ้นเทคโนโลยีเป็นเรื่องปกติ ซึ่งในพอร์ตของเขามีทั้ง Alibaba, Facebook และ Yahoo
บริษัทที่สามคือ Phillips 66 (PSX) ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิ่งลงปลายปีที่ผ่านมา ทั้ง Buffett และ Soros ต่างขายหุ้นบริษัท Exxon Mobil ทิ้งออกจากพอร์ต แต่ทั้งสองคนยังเก็บหุ้น Phillips 66 ไว้ นอกจากนั้น Buffett ยังซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคมหลังจากที่ขายไปบางส่วนตอนต้นปี 2014
PSX ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันและปิโตรเคมีแต่ไม่มีธุรกิจสำรวจและขุดเจาะ โดยเน้นกลางน้ำและปลายน้ำ มีธุรกิจท่อส่งก๊าซ รถขนส่ง และปั๊มน้ำมัน ความสามารถในการแข่งขันของ PSX อยู่ที่โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งโรงกลั่นและระบบขนส่งเป็นของตัวเอง การค้นพบ Shale Gas และ Shale Oil ปริมาณมหาศาลในแถบตอนกลางของอเมริกาเหนือ ทำให้บริษัทมีต้นทุนน้ำมันดิบในการผลิตที่ต่ำลง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแข่งขันกับของยุโรปที่ใช้น้ำมันดิบอ้างอิงราคา Brent ซึ่งปกติราคาสูงกว่าได้เป็นอย่างดี ถึงแม้กำไรจากการดำเนินงานจะสูง ๆ ต่ำ ๆ ตามแบบหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ Buffett ก็ยังถือหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ปี 2012 และ Soros เริ่มซื้อมาตั้งแต่ปี 2013
ถึงแม้ว่า Soros จะมีการลงทุนที่เน้นการเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่า อย่างหุ้น APPLE ก็ซื้อ ๆ ขาย ๆ ตลอด แต่ Buffett ลงทุนในหุ้น IBM มีแต่ซื้อเข้าอย่างเดียวทุกปีตั้งแต่ปี 2011 ไม่เล่นรอบเลย กูรูทั้งสองเลือกลงทุนในหุ้นแต่ละตัวผ่านการพิจารณาทั้งในเรื่องการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม, ความสามารถในการแข่งขัน และอัตราส่วนทางการเงินมาเป็นอย่างดี
ตอนนี้ความมั่งคั่งของทั้งสองคนก็อยู่ในระดับเกิน 20,000 ล้านเหรียญ แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะลงทุนแบบเล่นรอบหรือถือลงทุนยาว นักลงทุนสามารถสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองได้ แต่การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนนั้นนักลงทุนต้องใช้ "ความรู้" ในการวิเคราะห์กิจการ และมีความเข้าใจในธุรกิจที่บริษัททำอยู่พอสมควร ไม่ใช้การคิดนึกคาดเดาเอาเองเป็นหลัก
หลายคนเล่นหุ้นเน้นเฉพาะการเก็งกำไรรู้จักแค่ตัวย่อ, ชื่อหุ้น และราคาหุ้น หากเราใส่ความพยายามลงไปเพียงเท่านั้นขนาดของกำไรที่พอคาดหวังได้ก็คงไม่ต่างกัน
ที่มา : ประชาชาติออนไลน์