นักธุรกิจและนักลงทุนไทยนั้น ดูเหมือนจะไม่ใคร่ให้ความสำคัญกับการ “ลดต้นทุน” ของการผลิตมากเท่ากับการ “เพิ่มรายได้” โดยการขยายธุรกิจหรือการเพิ่มยอดขาย เหตุผลอาจจะเป็นเพราะการลดต้นทุนนั้น มักจะถูกมองว่าเป็นเรื่องของการมองย้อนหลังหรืออยู่กับที่ เป็นการมองด้านลบ เป็นเรื่องของงาน “หลังบ้าน” ที่คนทำไม่ได้เครดิตหรือหน้าตาแต่มักจะถูกต่อว่าจากเพื่อนร่วมงานที่บ่อยครั้งต้องถูกลดผลตอบแทนหรือรายได้หรือก่อให้เกิดความไม่สะดวกต่าง ๆ ที่เคยได้รับ
ดังนั้น เวลาที่บริษัทอยากที่จะทำกำไรเพิ่มหรือรักษากำไรไว้ให้ได้ กลยุทธ์หลักจึงมักจะเน้นไปที่การเพิ่มรายได้แทนที่จะลดรายจ่ายหรือต้นทุนของสินค้าหรือบริการ แต่นั่นคือกลยุทธ์ในอดีตที่อาจจะเหมาะกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตดีมีโอกาสที่จะขายสินค้าเพิ่มได้ง่าย ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจกำลังถดถอยลงและการเติบโตเร็ว ๆ อาจจะเกิดยากขึ้นเรื่อย ๆ กลยุทธ์การทำกำไรของธุรกิจในอนาคตอาจจะต้องเปลี่ยนไป การ “ลดต้นทุน” อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้บริหารจะต้องทำมากขึ้นเรื่อย ๆ “ปัจจัยด้านต้นทุน” อาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดผลประกอบการของบริษัทในช่วงเร็ว ๆ นี้ หรือพูดง่าย ๆ ในมุมของนักลงทุนก็คือ หุ้นที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีอาจจะมาจากการที่บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มาก ไม่ใช่หุ้นที่บริษัทเน้นโตเร็วอย่างที่ผ่านมา
ต้นทุนหลัก 3 ด้านของธุรกิจเกือบทุกประเภทก็คือ ต้นทุนทางด้านแรงงาน ต้นทุนด้านวัตถุดิบ และต้นทุนทางด้านการเงินหรือต้นทุนของการลงทุน มองจาก “ภาพใหญ่” โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ “โชคดี” ที่ว่าดูเหมือนบริษัทส่วนใหญ่น่าจะมีต้นทุนที่ลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้นเพราะ ข้อแรก ค่าแรงงานของไทยในช่วงนี้คงไม่ใคร่เพิ่มขึ้นมากนักเปรียบเทียบกับในอดีต เรื่องของวัตถุดิบเองนั้น ดูเหมือนว่าราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นวัตถุดิบของสินค้าต่าง ๆ มีราคาลดลงมากเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์การเกษตร ในส่วนของต้นทุนการเงินนั้น ดอกเบี้ยก็ลดลงอยู่ในระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ ดังนั้น ธุรกิจที่มีต้นทุนเหล่านี้ในสัดส่วนที่สูงก็จะได้ประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่สามารถขายสินค้าในราคาเท่าเดิมหรือใกล้เคียงกับราคาเดิมได้ ตัวอย่างเช่นกิจการที่ขายสินค้าให้กับผู้ซื้อรายย่อยหรือผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น ราคาอาหารสำเร็จรูปนั้นไม่ได้ลดลงในขณะที่ราคาเนื้อสัตว์และวัตถุดิบในการปรุงอาหารลดลง เช่นเดียวกัน ราคาค่าโดยสารแท็กซี่ก็ไม่ได้ลดแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลงมาเป็นต้น
ลองมาดูว่าบริษัทหรืออุตสาหกรรมไหนจะได้ประโยชน์มากน้อยเท่าไรจากการที่ราคาของปัจจัยการผลิตทั้งสามด้านลดลงมาอย่างมีนัยสำคัญ ประเด็นแรกก็คือเรื่องแรงงาน บริษัทที่ใช้คนจำนวนมากในกระบวนการผลิตหรือการให้บริการ มีต้นทุนค่าแรงงานสูง การที่ค่าแรงปรับตัวขึ้นน้อยนั้นคงไม่ถึงกับทำให้ต้นทุนส่วนนี้ลดลงแต่ก็จะทำให้มันไม่ใคร่เพิ่มขึ้นอย่างที่เป็นมาในอดีต นอกจากนั้น ในกรณีที่เป็นพนักงานในระดับที่ไม่ได้ใช้ทักษะสูง การลดการใช้โอเวอร์ไทม์หรือการใช้เครื่องจักรมาแทนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตก็สามารถที่จะลดต้นทุนทางด้านแรงงานได้
ในระยะยาวแล้ว การเพิ่มประสิทธิภาพของคนงานและลดค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนแรงงานอย่าง “ถาวร” มักจะขึ้นอยู่กับการ “ปรับกระบวนการทำงาน” โดยการใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะทางด้านไอทีเข้ามาช่วย ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตที่เด่นชัดก็เช่นในเรื่องของธุรกิจค้าปลีกที่มีการนำบาร์โค้ดมาใช้ในการคิดเงินค่าสินค้าและการใช้ระบบเอทีเอ็มในระบบธนาคารพาณิชย์เป็นต้น ในส่วนของการผลิตทางอุตสาหกรรมเองนั้นก็มีการใช้หุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนคนในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ในส่วนนี้ถ้าหากเป็นการผลิตสินค้าเพื่อขายให้กับผู้ซื้อรายใหญ่ บริษัทก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์มากนักเพราะราคาขายก็จะลดลงเนื่องจากคู่แข่งก็มักจะใช้หุ่นยนต์เหมือนกันทำให้ต้องลดราคาเพื่อให้แข่งขันได้ ดังนั้น บริษัทที่จะได้ประโยชน์จริง ๆ จะต้องเป็นบริษัทที่สามารถทำได้อยู่รายเดียวหรือน้อยรายในขณะที่คู่แข่งไม่สามารถที่จะทำได้ด้วยเหตุผลบางอย่างเช่น คู่แข่งเป็นรายเล็กที่ไม่คุ้มที่จะใช้ระบบอัตโนมัติเหล่านั้น เป็นต้น
ต้นทุนวัตถุดิบที่เป็นโภคภัณฑ์นั้น ราคาที่ลดลงซึ่งทำให้ต้นทุนลดลงนั้นมักจะเป็นเรื่องชั่วคราวแม้ว่าอาจจะเป็นหลายปี ซึ่งนั่นก็เป็นประโยชน์ต่อบริษัทที่ใช้วัตถุดิบเหล่านั้น ตัวอย่างของบริษัทที่ได้ประโยชน์มากเช่น กิจการที่ใช้เชื้อเพลิงที่เป็นน้ำมัน เช่น บริษัทที่ทำเกี่ยวกับโลจิสติคขนส่งสินค้าจำนวนมากซึ่งน่าจะรวมถึงผู้ค้าปลีกที่ขายสินค้าประจำวัน การบิน การขนส่งทางเรือ และรวมไปถึงผู้ผลิตสินค้าที่ต้องใช้เชื้อเพลิงจำนวนมากในกระบวนการผลิตเช่น ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ เป็นต้น ในส่วนของผลิตภัณฑ์การเกษตรเช่น น้ำมันพืช ข้าว เนื้อสัตว์ เหล่านี้ ก็คงเป็นประโยชน์โดยตรงกับผู้ขายอาหาร หรือถ้าเป็นผลิตภัณฑ์อย่างยางพาราก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ยางในการผลิตชิ้นส่วนยาง เป็นต้น
ในระยะยาวแล้ว การลดต้นทุนวัตถุดิบนั้น ขึ้นอยู่กับกระบวนการการผลิตที่จะเลือกใช้วัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำกว่าแต่สามารถทดแทนกันได้เช่น การใช้ถ่านหินแทนน้ำมันหรือก๊าซในการให้ความร้อนในกระบวนการผลิตสินค้า การใช้วัสดุชีวมวลที่มีราคาต่ำกว่าเชื้อเพลิงอื่นในการผลิตไฟฟ้า “พลังงานทดแทน” ขายให้แก่การไฟฟ้าเป็นต้น
สุดท้ายก็คือเรื่องของต้นทุนเงินทุนที่ลดลง นี่ก็เป็นเรื่องของบริษัทที่มีเงินกู้สูงมากและเป็นต้นทุนที่สูงของกิจการ การที่ดอกเบี้ยลดลงในรอบนี้และดูเหมือนว่าจะยังต่ำอยู่ยาวนานพอสมควร นี่ก็จะช่วยให้บริษัทมีต้นทุนที่ลดลงโดยที่รายได้จากการขายสินค้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น พูดง่าย ๆ ว่าได้ผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย บริษัทที่มีหนี้มากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินและรายได้นั้น ส่วนมากก็จะเป็นบริษัทที่ต้องลงทุนในโรงงานและ/หรืออุปกรณ์ที่มีราคาสูงเรียกว่าเป็นธุรกิจ Capital Intensive และกระแสเงินสดของกิจการไม่ดีนัก เช่น เป็นผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็ก และปิโตรเคมี เป็นต้น
บริษัทที่มี “หนี้” มากนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจดังกล่าว ว่าที่จริง สถาบันการเงินต่าง ๆ นั้น ต่างก็มีหนี้มากทั้งนั้น ดังนั้น ต้นทุนในการกู้ยืมจึงลดลง ประเด็นอยู่ที่ว่ารายได้หรือเงินที่ปล่อยกู้ให้ลูกค้าลดลงด้วยหรือไม่ ในกรณีของธนาคารที่ปล่อยกู้ให้กับธุรกิจทั่วไปนั้นรายได้ก็ลดลงตามดอกเบี้ยที่ลดลงด้วย จึงไม่ได้ประโยชน์ แต่ธนาคารหรือบริษัทลีสซิ่งที่ปล่อยกู้ให้กับลูกค้าเช่าซื้อที่มีอัตราดอกเบี้ยตายตัวรายได้จะไม่ลดลงก็จะได้ประโยชน์
กล่าวโดยสรุปก็คือ หุ้นหรือบริษัทที่มีต้นทุนลดลงอย่างมีนัยยะเนื่องจากบริษัทอาจจะมีต้นทุนด้านบุคลากรสูง และ/หรือ มีต้นทุนด้านพลังงานสูง และ/หรือมีต้นทุนทางด้านการเงินสูง ก็จะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์เศรษฐกิจในรอบนี้ ยิ่งมีปัจจัยต้นทุนสูงและหลายด้านก็ยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้น ถ้าพิจารณาว่าเศรษฐกิจไทยเองอาจจะไม่ใช่เศรษฐกิจที่จะโตเร็วมากอีกต่อไปแล้ว บริษัทที่เน้นกลยุทธ์ในเรื่องของการลดต้นทุนในทุก ๆ ด้านดังกล่าวก็น่าจะเป็นบริษัทที่มีผลงานทำกำไรที่ดีกว่าบริษัทที่เน้นแต่กลยุทธ์การเติบโตเพียงอย่างเดียวและดังนั้นก็น่าจะมี Value หรือคุณค่ามากขึ้น นั่นก็คือ มันควรมีค่า PE ที่สูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
Monday, August 31, 2015
Friday, August 28, 2015
คาถาของ..บัฟเฟตต์ “เงินสด..เงินสด..เงินสด”
วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนึ่งในมหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่รวยที่สุดคนหนึ่งของโลก อาจกล่าวได้ว่า เขาเป็นคนธรรมดาๆที่พลิกผันชีวิตของตนด้วยการลงทุนและการซื้อกิจการ จนกลายไปเป็นบุคคลที่มั่งคั่งติดอันดับโลก บัฟเฟตต์เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับ “การถือเงินสด” เป็นอย่างยิ่ง โดยสังเกตได้จากปริมาณเงินสดที่บริษัทของบัฟเฟตต์ที่ชื่อ เบิร์กไชร์ ฮาทาเวย์ ถืออยู่ซึ่งพบว่า งบดุลของเบิร์กไชร์เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2555 มีเงินสดอยู่ 40.7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของงบประมาณของประเทศไทยทั้งประเทศ) ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากทีเดียว แล้วทำไม? บัฟเฟตต์จึงต้องถือเงินสดมากมายถึงเพียงนี้ ผมพอมีคำตอบที่อยากจะเล่าให้คุณผู้อ่านได้อ่านดังนี้ครับ
หนึ่ง เงินสด สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่..แย่มาก แต่อาจให้โอกาสการลงทุนที่..ดีมาก
ในเวลานี้อัตราผลตอบแทนของการฝากเงินในสถาบันการเงินของกลุ่มประเทศยูโรโซน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ต่างให้อัตราผลตอบแทนเกือบจะเป็นศูนย์ ดังนั้นการถือครองเงินสดโดยหวังว่าจะได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยนั้น ในระยะยาวคงจะให้ผลตอบแทนที่..แทบจะไม่ได้อะไรเลย
ในช่วงเหตุการณ์ล่มสลายของบริษัทเลห์แมน บราเดอร์ส วาณิชธนกิจชั้นนำของโลกเมื่อเดือนกันยายนปี 2551 บัฟเฟตต์ได้ออกมาพูดถึงกลยุทธ์การลงทุนของเขาว่า “การลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินสดอย่างมากในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่การถือเงินสดของนักลงทุนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็อาจสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพวกเขาโยกเงินสดกลับไปลงทุนในเวลาที่เหมาะสม” ประโยคดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า บัฟเฟตต์พร้อมที่จะ “ใช้เงินสดทันที..เมื่อโอกาสมาถึง”
สอง เปลี่ยนจาก “การถือ..เงินสด” เป็น “กลยุทธ์การลงทุนด้วย..เงินสด”
ตามที่รู้กันว่า บัฟเฟตต์ไม่ได้ถือเงินสดเพราะว่า เขาต้องการผลตอบแทนจากดอกเบี้ย แต่บัฟเฟตต์ถือว่าการถือเงินสดเป็น..กลยุทธ์การลงทุนอย่างหนึ่ง เขามักจะเฝ้ารอเวลาที่ “ตลาดหุ้นถล่ม” ด้วยความอดทนอย่างสูง จากนั้นจึงนำเงินสดที่บริษัทตนถือครอง เข้าไปกวาดซื้อของถูกๆ..ที่อยู่เต็มไปหมดทั่วตลาดหุ้น
อลิซ โชรเดอร์ (Alice Schroeder) ผู้แต่งหนังสือเรื่อง “The Snowball: Warren Buffett and the Business of Life.” ได้พูดถึงกลยุทธ์ดังกล่าวของบัฟเฟตต์ไว้ว่า “เขามองการถือเงินสดต่างจากนักลงทุนทั่วๆไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ดิฉันได้เรียนรู้จากบัฟเตต์ก็คือ โอกาสของการถือเงินสด เขาจะมองว่า การถือเงินสดก็คือ อนุพันธ์ประเภทหนึ่ง ที่ไม่มีวันหมดอายุ และสามารถเปลี่ยนไปสินทรัพย์ได้ทุกชนิดได้อย่างรวดเร็ว”
สาม ต้อง “ถือเงินสด” มากขนาดไหน?
หากดูงบดุลของบริษัทเบิร์กไชร์ ฮาทาเวย์ ย้อนหลังไปซัก 3 ปีคือปี 2552 2553 และ 2554 จะพบว่า เงินสดต่อการลงทุนระยะยาว มีอัตราส่วนดังนี้ 30.5:126.3, 38.2:177.4 และ 37.2:125.1 (หน่วยเป็นพันล้านดอลลาร์) สรุปง่ายๆก็คือ จำนวนเงินสดต่อการลงทุนระยะยาว จะมีค่าประมาณ 19-23 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บัฟเฟตต์พร้อมที่จะนำ “เงินสด” ที่เตรียมไว้เข้าไปลงทุนอยู่ตลอดเวลา และเมื่อใดที่เกิดเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจขึ้น เมื่อนั้นตลาดหุ้นและอีกหลายตลาดก็จะต้องพบกับมรสุมทางเศรษฐกิจอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เวลานั้นก็จะเป็นโอกาสของบัฟเฟตต์ที่จะเข้าไปซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์ดีๆเข้ามานั่นเอง
จากข้อมูลที่ได้จากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาพบว่า บริษัทเบิร์กไชร์ของบัฟเฟตต์ในสิ้นไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ 2555 มีเงินสดรวมกันทั้งสิ้นสูงถึง 40.7 พันล้านดอลลาร์ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 7.7 เปอร์เซ็นต์เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งแสดงว่าบัฟเฟตต์กำลังเก็บสะสมกระสุนเงินสดอีกครั้งหนึ่งแล้ว
สี่ เงินสดคือ สินทรัพย์ที่ “ปลอดภัยที่สุด”
ในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2551 พบว่า นักลงทุนทั่วโลกพากันหนีตายออกจากตลาดหุ้น โดยการเปลี่ยนสินทรัพย์ของตนให้กลายไปเป็น “เงินสด” ทั้งๆที่พวกเขาก็รู้ว่าการถือเงินสดโดยการฝากไว้ในสถาบันการเงินจะให้ผลตอบแทนเกือบเท่ากับ “ศูนย์” นอกจากนั้นหากนำอัตราเงินเฟ้อเข้ามาคำนวณด้วยแล้ว ผลตอบแทนที่ได้ก็คงออกมา “ติดลบ” อย่างแน่นอน
นอกจากนั้นยังพบว่า บรรดากองทุนต่างๆที่ได้ขายหน่วยลงทุนออกมาอย่างมากมายก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่หน่วยลงทุนเหล่านี้มักจะมีราคาพาร์หรือราคาต้นทุนต่อหุ้นอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ และบรรดาผู้จัดการกองทุนก็มักจะภาคภูมิใจในหน่วยลงทุนของตนและออกมาพูดอวดว่า หุ้นของตนไม่มีทางที่ราคาจะต่ำกว่า 1 ดอลลาร์อย่างแน่นอน ในที่สุดหุ้นของกองทุนเหล่านี้ก็หลีกหนีชาตะกรรมไปไม่พ้น โดยพบว่าราคาหุ้นของกองทุนเหล่านี้ตกลงอย่างไม่มีหูรูดจนราคาลงไปต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ต่อหุ้น เนื่องจากภาวะขาดสภาพคล่องอย่างหนัก และการขาดทุนจากการที่เลห์แมนล้มละลาย ภายหลังพบว่า ระหว่างปี 2550-2554 มีกองทุนที่ต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินสูงถึง 21 กองทุน เพราะหากไม่ได้รับความช่วยเหลือดังกล่าว ก็จะเกิดผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่ และอาจเกิดวิกฤตสภาพคล่องแพร่ระบาดไปทั่วโลกได้
“เงินสด” จึงมีความสำคัญต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก ทำให้นึกถึงคำพูดของแดนนี บอยล์ (Danny Boyle) ผู้กำกับชาวอังกฤษซึ่งกำกับภาพยนตร์ที่โด่งดังไปทั่วโลกเรื่อง “Slumdog Millionaire”
เขาได้พูดถึงเงินสดไว้ว่า “There’s lots of things that can be solved with cash.” แปลตามความได้ว่า “มันมีปัญหาตั้งมากมาย ที่สามารถจะแก้ไขได้ด้วย..เงินสด” ดังนั้นเราจึงควรที่จะเก็บเงินสดไว้บ้าง เพราะ “เงินสด” สามารถแก้ไขปัญหาได้เกือบทุกปัญหานะครับ
Cr. ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
Monday, August 24, 2015
อารมณ์ของนักลงทุน / ดร.นิเวศน์
สิ่งที่นักลงทุนจะต้องคิดและจัดการนั้น นอกจากการศึกษาหาข้อมูลและวิเคราะห์กิจการและตัวหุ้นแล้วก็คือ “อารมณ์และความรู้สึก” ของตัวเองเวลาลงทุน เพราะเรื่องนี้มีผลต่อความสำเร็จ อาจจะไม่น้อยไปกว่าความสามารถในการเลือกหุ้น ลองมาดูกันว่ามีอารมณ์ที่สำคัญอะไรบ้างที่เราจะต้อง “ควบคุมดูแล” หรือจัดการให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมเพื่อที่จะได้ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
ความโลภ นี่เป็นอารมณ์ที่สำคัญมากที่มักจะมีผลกระทบต่อการลงทุนอย่างแรง สุภาษิตโบราณของไทยบอกว่า “โลภมากมักลาภหาย” แต่ในการลงทุนนั้น นอกจากลาภจะหายแล้ว เราก็อาจจะ “หมดตัว” ได้ด้วย ความโลภในเรื่องของการลงทุนนั้นก็คือ เราไม่ได้ต้องการเพียงผลตอบแทนที่ “เหมาะสม” จากการลงทุนซึ่งมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่เหมาะสมด้วย แต่เรา “โลภมาก” อยากได้ผลตอบแทนที่สูงลิ่วเกินกว่าที่ตัวกิจการหรือหุ้นจะให้ได้ ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงใช้ “เครื่องมือขยายผล” ที่จะเพิ่มผลตอบแทน เช่น การเล่นหุ้นด้วยมาร์จินซึ่งก็คือการกู้เงินมาลงทุน หรือแทนที่จะลงทุนในหุ้นปกติก็ไปเล่นวอแร้นต์ของหุ้นที่มักมีราคาต่ำและราคาขึ้นลงบางทีเป็นหลายเท่าของหุ้นตัวแม่ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ความเสี่ยงของการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก และมีโอกาสที่เราจะ “หมดตัว” นั่นก็คือ ถ้าหุ้นตกหนักถึงจุดหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง เงินลงทุนของเราอาจจะกลายเป็นศูนย์ได้ ดังนั้น ถ้าไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนจริง ๆ แล้วละก็ เราก็อย่าไปโลภขนาดนั้น ถ้าหุ้นมันดีจริงเราก็กำไรดีมากอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไป “รีบรวย” เกินไป
ความโลภนั้น ยังทำให้เรา “ทุ่มซื้อหุ้น” ในยามที่ตลาดหุ้นร้อนแรงมากกว่าปกติเพราะเราเห็นว่าจะทำเงินได้มาก นี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดมานั่นก็คือ คนจำนวนมากนั้น ในช่วงที่ตลาดหุ้น “เหงา” พวกเขาก็มักจะลงทุนในหุ้นไม่มากนัก เงินส่วนใหญ่อาจจะถูกฝากไว้กับสถาบันการเงิน ต่อมาหุ้นคึกคักและราคาปรับตัวขึ้นพวกเขาก็เริ่มรู้สึกดี นักลงทุนรายใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดมากขึ้นและราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ จนทำให้หุ้นคึกคักถึง “ขีดสุด” ในระหว่างนั้น เม็ดเงินหรือพอร์ตการลงทุนในหุ้นของเราก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราก็ยังไม่พอใจ เราคิดว่าถ้าเรานำเงินมาลงทุนซื้อหุ้นเพิ่ม เราก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้นไปอีก เราเริ่มขอเงินหรือขอยืมเงินพ่อแม่ คู่ครอง หรือนำเงินจากแหล่งอื่นที่พอจะหาได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นเพิ่ม เราไม่คิด “ถอนเงิน” ที่ได้กำไรมาแล้วในช่วงที่หุ้นกำลังปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ เรานำเงินใหม่เข้าไปลงทุนทั้ง ๆ ที่หุ้นนั้นมีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ และถ้ามองในฐานะนักลงทุนระยะยาวแล้ว ราคาที่แพงหรือสูงขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนในอนาคตของการลงทุนลดลง มันอาจจะไม่ใช่เวลาที่เราจะลงทุน มันคือความเสี่ยงที่จะทำให้เราเสียหายหนักได้และบ่อยครั้งมันก็เป็นอย่างนั้น
ความกลัว นี่เป็นอารมณ์ที่อยู่ตรงข้ามกับความโลภ เรากลัวการขาดทุนจากการลงทุนในหุ้น สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ เรากลัวการขาดทุน “หลังจากที่เราขาดทุนไปแล้ว” ทางตัวเลข ก่อนที่หุ้นจะตกและเราขาดทุนนั้น เราไม่ได้กลัวขาดทุน เพราะถ้าเรากลัวเราก็คงจะไม่ซื้อตั้งแต่แรก ตอนเราซื้อนั้น เราไม่กลัวว่าจะขาดทุน ตรงกันข้าม เราคิดว่าเราจะได้กำไรเราไม่ได้คิดถึงการขาดทุน พอหุ้นตกถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึก “เจ็บ” เช่น หุ้นตกไป 20% เราจะเริ่มรู้สึกกลัว กลัวว่ามันจะตกลงไปอีกและเราจะเสียหายหนัก ดังนั้น เราก็อาจจะตัดสินใจขายหุ้นทิ้งทั้ง ๆ ที่กิจการของบริษัทอาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ราคาหุ้นผันผวนด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้แต่เราตัดสินใจขายด้วยอารมณ์ของความกลัว
ความกลัวตลาดหุ้นตกหนัก กลัววิกฤติตลาดหุ้น กลัวว่าเมื่อตลาดหุ้นตกหนักหุ้นทุกตัวก็จะตกลงมาตาม ดังนั้น เมื่อตลาดหุ้นตกลงมาแรง เราก็มักจะขายหุ้นทุกตัวที่ถืออยู่ทันทีเพราะเรากลัวว่าถ้าไม่รีบขายมันจะตกลงไปอีกในนาที ชั่วโมงหรือวันต่อ ๆ ไป ความกลัวในเรื่องของดัชนีตลาดนั้น ทำให้เราต้องซื้อขายหุ้นบ่อยมาก และทำให้เรากลายเป็นคน “เล่นดัชนี” โดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เป็นคนลงทุนในหุ้นเป็นรายตัวอย่างที่ควรจะเป็น ผลก็คือ เราไม่ได้กำไรอะไรเลยในระยะยาวเพราะค่าคอมมิชชั่นและส่วนต่างราคาซื้อ-ขายของหุ้นนั้น กินผลตอบแทนที่จะได้หมด
ถ้าเราจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น สิ่งสำคัญก็คือทำอย่างที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ บอก นั่นก็คือ “จงพยายามกลัวเมื่อคนอื่นกำลังกล้า และพยายามกล้าเมื่อคนอื่นกำลังกลัว” ดูว่าตนเองซื้อหุ้นน้อยลงไหมเวลาคนกำลังเล่นหุ้น ซื้อขายหุ้นในปริมาณที่มาก และเราเข้าไปซื้อหุ้นอย่างคึกคักเวลาคนอื่นชะลอหรือหยุดเล่นหุ้นกันแล้วหรือไม่ ถ้าใช่ก็แปลว่าเราเริ่มสามารถควบคุมตัวเองในด้านของความโลภและความกลัวได้ดีขึ้น
อารมณ์ดีใจ-เสียใจ เวลาหุ้นขึ้น-หุ้นตก นี่ก็เป็นความรู้สึกธรรมดาของนักลงทุน แต่คนที่มีประสบการณ์หรือระดับ EQ ในการลงทุนสูงก็จะสามารถควบคุมตนเองได้ดีกว่า นั่นก็คือ เวลากำไรก็จะไม่ดีใจจนเกินไป เช่นเดียวกัน เวลาขาดทุนก็จะไม่ “ฟูมฟาย” หรือเศร้าเสียใจมากนัก พวกเขาจะดูว่ามันมีเรื่องของความ “ผันผวน” อยู่ในราคาหุ้นอยู่มากโดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังนั้น หุ้นขึ้นหรือหุ้นลงวันต่อวันหรือเดือนต่อเดือนนั้น อาจจะไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เราคิดถูกต้อง ในระยะเวลาสั้น ๆ นั้น ราคาหุ้นอาจจะขึ้นหรือลงได้โดยที่ไม่ได้อิงอยู่กับผลประกอบการหรือความเข้มแข็งหรือความสามารถในการแข่งขันของบริษัทก็ได้ ไม่ต้องดีใจหรือเสียใจมากจนเกินไป รอดูไปจนถึงสิ้นปีแล้วค่อยประเมินดูว่าเราควรจะดีใจหรือเสียใจโดยดูว่าหุ้นขึ้นหรือหุ้นลงไปเท่าใด นอกจากนั้น เราก็ควรจะต้องประเมินด้วยว่าหุ้นที่ขึ้นหรือลงนั้นสอดคล้องกับตัวกิจการหรือบริษัทหรือไม่
ถ้าหุ้นขึ้นและบริษัทดีขึ้น นี่คือสิ่งที่เราควรจะยินดี ถ้าหุ้นขึ้นแต่ที่จริงบริษัทไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลง เราก็ควรจะ “ดีใจ” ที่เรา “โชคดี” แต่ถ้าหุ้นลงและบริษัทก็แย่ลงแบบนี้เราก็ควรจะเสียใจที่เราคาดการณ์ผิด และในกรณีสุดท้าย ถ้าหุ้นตกลงมาแต่กิจการของบริษัทกลับดีขึ้น แบบนี้เราก็ไม่ควรที่จะเสียใจ เพราะไม่ช้าก็เร็วหุ้นก็น่าจะปรับตัวขึ้นได้ พูดโดยสรุปก็คือ หุ้นขึ้นลงในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น ไม่ต้องดีใจหรือเสียใจอะไรมากมายเพราะมันอาจจะเปลี่ยนไปได้อีกมากระหว่างที่ยังไม่ “สิ้นปี” หรือยาวพอ การ “วางเฉย” ต่ออารมณ์ดีใจหรือเสียใจนั้น จะช่วยให้เราไม่ตัดสินใจอะไรอย่างรวดเร็วและไม่รอบคอบ การตัดสินใจเวลาเราดีใจหรือเวลาเราเสียใจนั้น ผมคิดว่าจะทำให้เรามีความลำเอียงและอาจไม่เป็นเหตุเป็นผลที่ดี เช่น ทำให้เราซื้อหรือขายหุ้น “ผิดเวลา”
ความรู้สึกเหมือนถูก “ทรมาน” นั้น นักลงทุนก็มักจะพบเจออยู่บ่อย ๆ บางครั้งบางช่วงเวลานั้น ตลาดหุ้นขึ้นเอา ๆ แต่หุ้นที่เราถืออยู่กลับนิ่งหรือตกลงมาอีกต่างหาก เราได้แต่มองและรู้สึก “ทรมานใจ” จนในบางครั้งเราอาจจะตัดสินใจขายหุ้นทิ้งเพื่อที่จะไปซื้อหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะ ความ “อดทน” ของเราอาจจะมีจำกัด นี่ก็อาจจะเป็นเรื่องของจิตวิทยาที่เรียกว่า “สนามหญ้าของเพื่อนบ้านเขียวกว่าเสมอ” นักลงทุนที่ “ทนทรมาน” ได้น้อยก็จะมีแนวโน้มที่จะรอหุ้นให้ขึ้นตามพื้นฐานไม่ไหวและขายหุ้นเร็วเกินไปอยู่เรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน บางช่วงเวลา อาจจะเป็นปี ๆ ตลาดหุ้นเอาแต่ปรับตัวลงอยู่เรื่อย ๆ พอร์ตหุ้นที่เราถืออยู่โดยรวมก็ไม่ไปไหนหรือปรับตัวลดลงเป็นระยะ ๆ เรารู้สึก “ทรมานใจ” และถ้าทนไม่ไหว เราก็อาจจะตัดสินใจทำอะไรที่ไม่เหมาะสม เช่น ขายหุ้นที่ดีมีคุณค่าทิ้ง เป็นต้น
ความรู้สึก “กังวล” นอนไม่หลับ กลัวว่าบางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นแล้วกระทบกับการลงทุนของเราอย่างแรง เช่นกลัวว่าตลาดหุ้นจะเกิดวิกฤติหรือกลัวว่าหุ้นที่เราถืออยู่นั้นอาจจะถูกผลกระทบที่รุนแรงที่เรา “กลัว” อยู่ นี่ทำให้เรากังวลทั้ง ๆ ที่โอกาสจะเกิดขึ้นอาจจะน้อย ในกรณีแบบนี้เราก็ต้องพิจารณาวิเคราะห์ “Scenario” หรือภาพที่อาจจะเกิดขึ้นหลาย ๆ ภาพแล้วดูว่าผลจะเป็นอย่างไรโดยเฉพาะในกรณีที่เกิดภาพเลวร้ายที่สุด เสร็จแล้วก็ตัดสินใจทำสิ่งที่จะช่วยลดความกังวลนั้นให้เหลือน้อยลงจนยอมรับได้ หลังจากนั้นก็ “เลิกกังวล” เพราะเราจะไม่มีวัน “เจ๊ง” จากการลงทุนอย่างแน่นอนถ้าเราวิเคราะห์ “ความเสี่ยง” อย่างดีแล้ว
Sunday, August 16, 2015
บทเรียนหุ้นขาลง /ดร.นิเวศน์
ถ้าดูโดยภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้วเราก็จะพบว่าดัชนีหรือราคาตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2558 นั้น ไม่ได้มีการปรับตัวลงมามากนัก ดัชนีตลาดลดลงมาเพียง 94 จุดหรือเป็นการปรับลงมาประมาณ 6.3% และถ้าคิดรวมปันผลที่ได้ประมาณ 3% นักลงทุนระยะยาวโดยเฉลี่ยก็น่าจะขาดทุนประมาณ 3.3% ถือว่าน้อยมาก แต่ถ้าคุยกับนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากก็จะพบว่าตลาดปรับตัว “รอบนี้” ค่อนข้าง “หนัก” หลายคน “ร้องไห้หนักมาก” เพราะเพิ่งเข้ามาเล่นหุ้นในตลาด ไม่เคยได้กำไรแต่ขาดทุนหนักมากเนื่องจากหุ้นที่เข้าไปเล่นนั้นเป็นหุ้นตัวเล็กที่มีความผันผวนสูง จำนวนมากจดทะเบียนในตลาดหุ้น MAI อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านักลงทุนส่วนบุคคลส่วนใหญ่ก็ยังไม่ถอนใจออกจากตลาด ความหวังที่จะ “เอาคืน” หรือทำกำไรจากตลาดหุ้นยังมีอยู่ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขาอาจจะคิดว่าหุ้นก็ลงมามากแล้ว คงไม่ลงไปอีกมากนักแต่น่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ เขาอาจจะเชื่อว่าการเล่นหุ้นนั้น “ต้องกล้าในยามที่คนอื่นกลัว”
ลองวิเคราะห์ดูข้อมูลตั้งแต่สิ้นปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันก็พบว่า ตลาดของหุ้นขนาดใหญ่หรือ SET นั้น ราคาหุ้นตกลงมาไม่มากนักเพียงแค่ 6.3% วัดจากดัชนี ส่วนค่าความถูกความแพงวัดจากค่า PE ก็ปรากฏว่าเมื่อสิ้นปีที่แล้วค่า PE ของ SET เองอยู่ที่ 17.81 เท่าเทียบกับ 18.49 เท่าในปัจจุบัน ซึ่งเท่ากับว่าหุ้นขนาดใหญ่นั้น คนยังคงให้ “คุณค่า” เท่าเดิม นั่นก็คือ ถ้าคุณลงทุนในตลาดหุ้นวันนี้ แต่ละปีก็จะได้ผลตอบแทนประมาณ 5-6% หาได้จากการกลับเศษเป็นส่วนของค่า PE คือค่า EP ที่เท่ากับ 1 หารด้วย 18 โดยประมาณ) ซึ่งก็เป็นอัตราที่ดีพอใช้เมื่อเทียบกับการฝากเงินหรือซื้อพันธบัตร การที่ราคาหุ้นตกลงมานั้น เกิดจากผลประกอบการหรือกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลงเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา นี่ก็เป็นเรื่องตรงไปตรงมาในแง่ที่ว่าราคาหุ้นนั้น “ขึ้นอยู่กับพื้นฐานหรือผลประกอบการ” ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนับจากต้นปี
ในส่วนของตลาดหุ้นขนาดเล็กที่วัดจากดัชนีหุ้น MAI นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดัชนี MAI ปรับตัวลดลงจากประมาณ 700 จุดเหลือเพียง 585 จุดในช่วงเวลาเดียวกันหรือลดลงประมาณ 16.4% และถ้าคิดรวมปันผลที่ประมาณ 0.9% ก็จะทำให้โดยเฉลี่ยแล้วหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบเฉลี่ยประมาณ 15.5% หรือนักเล่นหุ้นขาดทุนเป็นประมาณ 4.7 เท่าเมื่อเทียบกับตลาด SET และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนบุคคลรายย่อยจึงเสียหายค่อนข้างหนักทั้ง ๆ ที่ตลาดโดยรวมไม่ได้เลวร้ายมากนัก
หุ้น MAI ที่ตกลงมานั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง แต่ราคาหุ้นที่ลดลงนั้นน่าจะเกิดจากการที่การ “เก็งกำไร” ในหุ้นตัวเล็กนั้นลดลง ความหมายของผมก็คือ ราคาของหุ้นนั้น โดยปกติจะมาจากสองส่วนนั่นคือ ราคาที่เกิดจากพื้นฐานกับราคาที่เกิดจากการเก็งกำไร ราคาที่เกิดจากพื้นฐานนั้น คือราคาที่เกิดจากความสามารถในการทำกำไรปกติของบริษัทที่เกิดขึ้นและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ตัวเลขกำไรตัวนี้ถ้าคูณ 18 เท่าก็จะเป็นค่าของราคาหุ้นตามพื้นฐาน ส่วนราคาที่มาจากการเก็งกำไรนั้น จะเป็นราคาที่นักลงทุนให้กับหุ้นโดยดูจากการคาดการณ์กำไรในอนาคต หุ้นตัวไหนหรือกลุ่มไหนที่คนคาดหวังสูงมากว่าจะทำกำไรได้ดีมากในอนาคตก็จะได้ราคาสูงมาก เช่น ถ้านักลงทุนคาดว่าในอนาคตกำไรจะเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อหุ้น เขาอาจจะให้ราคาบริษัทเพิ่มขึ้น 50 เท่า เป็นต้น แต่ถ้าหุ้นตัวไหนไม่มีการ “เก็งกำไร” ราคาหุ้นก็จะมาจาก “พื้นฐาน” เพียงอย่างเดียว
ดูจากค่า PE ของตลาดหุ้น MAI นั้น เมื่อปลายปีที่แล้วค่า PE เท่ากับ 69.6 เท่า ก็น่าจะชัดเจนว่าไม่ใช่ราคาที่เกิดจากพื้นฐานเพียงอย่างเดียวแน่นอน เพราะถ้าคิดเป็นค่า EP ก็จะให้ผลตอบแทนคนลงทุนเพียงปีละไม่ถึง 1% ดังนั้น หุ้นตลาด MAI จึงมีมูลค่าที่เกิดจากราคาเก็งกำไรอยู่มาก ถ้าเราสมมุติว่าหุ้นในตลาด MAI มี “คุณค่า” เท่ากับหุ้นในตลาด SET คือควรมีค่า PE ประมาณ 18-19 เท่า เราก็จะคำนวณได้ว่าราคาหรือมูลค่าหุ้นที่เกิดจาก “การเก็งกำไร” นั้นเท่ากับการมีค่า PE เพิ่มขึ้นอีก 50 เท่า 69.6-19) เมื่อสิ้นปีที่แล้ว พูดง่าย ๆ หุ้นในตลาด MAI เมื่อสิ้นปีที่แล้วนั้น มีราคาตามพื้นฐานเพียง 18-19 เท่าของกำไรแต่มีราคาตามการเก็งกำไรถึง 50 เท่าของกำไรที่ “คาด” ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
ถึงวันนี้ ค่า PE ของตลาด MAI ลดลงมาเหลือ 59.8 หรือลดลงมาประมาณ 10 เท่าของกำไรและนี่ทำให้ดัชนีหุ้น MAI ลดลงมาประมาณ 16.4% การลดลงมานี้ผมคิดว่าไม่ได้เกี่ยวกับพื้นฐานอะไรนักเพราะกำไรของหุ้น MAI ก็ไม่ได้ลดลง ราคาหุ้นที่ลดลงนั้น ผมคิดว่าเกิดจากการเก็งกำไรที่ลดลง และการเก็งกำไรที่ลดลงนั้น ผมคิดว่าเกิดจากการที่ความคาดหวังที่บริษัทจะโตขึ้นลดลง และความคาดหวังที่ลดลงนั้นผมคิดว่าน่าจะเกิดจากสองประเด็นใหญ่ก็คือ หนึ่ง Story ของบริษัทหรือเรื่องราวที่สร้างความคาดหวังให้กับนักลงทุนนั้นเริ่ม “สั่นคลอน” เช่น ที่คาดว่าจะทำธุรกิจใหม่มีกำไรมหาศาล เมื่อเวลาผ่านไปก็ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นลดลง คาดว่าจะได้สัญญาขายไฟฟ้าทางเลือกก็ยังไม่ได้ อะไรทำนองนี้ เป็นต้น ข้อสอง กำไรที่เคยคาดการณ์หรือหวังว่าจะทำได้จากยอดขายสินค้าเดิมที่จะ “เพิ่มขึ้นมาก” นั้น อาจจะยังไม่มาหรือยอดขายอาจจะเพิ่มขึ้นแต่มาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายต่ำกว่าเดิมมาก เช่น เคยขาย 100 กำไร 20 ซึ่งเป็นกำไรที่ “มโหฬาร” นั้น เมื่อเวลาผ่านไปพบว่ากำไรแบบนั้นไม่สามารถทำต่อเนื่องได้ ในกรณีทั้งสองแบบนี้อาจจะเริ่มทำให้คนที่ซื้อหุ้นไว้เริ่มกลัวและขายหุ้นทิ้งก่อนที่ “ความจริงจะปรากฏ” มากขึ้นเรื่อย ๆ ราคาหุ้นตลาด MAI และหุ้นตัวเล็กหลาย ๆ ตัว จึงปรับตัวลงมาอย่างมีนัยสำคัญ
คำถามสำคัญก็คือ การปรับตัวลงของหุ้น MAI นั้น ลดลงมาพอหรือยัง? คำตอบก็คือ ไม่มีใครรู้! แต่ถ้าดูจากค่า PE ที่ประมาณ 60 เท่าในวันนี้และสมมุติว่าค่า PE ที่เหมาะสมตาม พื้นฐานควรจะประมาณไม่เกิน 20 เท่า ราคาที่เกิดจากการเก็งกำไรก็ยังสูงถึง 40 เท่าของกำไร หรือพูดง่าย ๆ ถ้ากำไรของบริษัทจดทะเบียนเท่ากับ 1 บาทต่อหุ้น ราคาปัจจุบันก็จะเท่ากับ 60 บาทต่อหุ้น โดยเป็นราคาพื้นฐานแค่ 20 บาทและราคา “เก็งกำไร” อีก 40 บาท ก็หมายความว่าหุ้นตัวนี้หรือหุ้นกลุ่มนี้ก็มีโอกาสที่จะตกลงมา 40 บาทเหลือเพียง 20 บาทต่อหุ้นหรือเป็นการลดลงประมาณ 66% ถ้า “การเก็งกำไรหมดไป”
คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วการเก็งกำไรจะหมดไปได้อย่างไร? คำตอบของผมก็คือ ไม่รู้! แต่ปัจจัยสำคัญของการเก็งกำไรก็คือ ภาวะตลาดหุ้นที่ร้อนแรงนั้นส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรสูง แต่บางทีตลาดหุ้นที่ “ไม่เลวร้าย” ก็ไม่ทำลายการเก็งกำไรเท่าไรนัก บางทีถ้าหุ้นตัวใหญ่ไม่ดี คนก็ยังอาจจะหันมาเล่นเก็งกำไรในหุ้นตัวเล็กได้ แต่ในกรณีที่ตลาดหุ้นเกิด “แพนิก” หุ้นตกลงมาแรงและกลายเป็นตลาดหมี แบบนี้ก็อาจจะทำให้การเก็งกำไรหายไปได้
บ่อยครั้ง การเก็งกำไรในหุ้นรายตัวก็อาจจะหายไปได้เมื่อเวลาผ่านไปและ Story ไม่เป็นไปตามที่คาด หุ้นตัวนั้นอาจจะมีค่า PE 100 เท่าแต่เป็นราคาพื้นฐานเพียง 20% อีก 80% เป็นการเก็งกำไร ดังนั้น เมื่อ “ฝันสลาย” ราคาหุ้นก็อาจจะตกลงมา 80% ได้
บ่อยครั้งการเก็งกำไรนั้นมาจากการที่มี “จ้าวมือ” ซึ่งเป็นรายใหญ่ซื้อและถือหุ้นจำนวนมากในบริษัททำให้ราคาหุ้นขึ้นไปมากและหุ้น Free Float หรือหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดมีน้อย ลักษณะนี้ราคาหุ้นก็อาจจะไม่ลงมาง่าย ๆ แม้ว่า Story หรือกำไรที่คาดหวังยังไม่เกิด “ภาพ” ที่ถูกส่งออกมาก็คือให้นักเก็งกำไร “รอต่อไป เดี๋ยวก็มา” ราคาหุ้นก็อาจจะไม่ลงมากนัก
หุ้นตัวเล็กที่ “ล่มสลาย” จริง ๆ นั้น มักจะเกิดจาก “ความเชื่อมั่นหมดไป” ด้วยเหตุอะไรก็ตามและมักรวมถึงการที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เป็น “จ้าวมือ” ทิ้งหุ้นหมดสิ้น ในวันนั้นก็จะกลายเป็น “หายนะ” ของหุ้นที่ราคาหรือมูลค่าลดลงมา บางที 90% หรือมากกว่านั้น ประวัติศาสตร์สอนเราว่า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดาโลกและก็อย่าได้คิดว่ามันจะไม่เกิดกับเราถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันเป็นนิจสิน
ลองวิเคราะห์ดูข้อมูลตั้งแต่สิ้นปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันก็พบว่า ตลาดของหุ้นขนาดใหญ่หรือ SET นั้น ราคาหุ้นตกลงมาไม่มากนักเพียงแค่ 6.3% วัดจากดัชนี ส่วนค่าความถูกความแพงวัดจากค่า PE ก็ปรากฏว่าเมื่อสิ้นปีที่แล้วค่า PE ของ SET เองอยู่ที่ 17.81 เท่าเทียบกับ 18.49 เท่าในปัจจุบัน ซึ่งเท่ากับว่าหุ้นขนาดใหญ่นั้น คนยังคงให้ “คุณค่า” เท่าเดิม นั่นก็คือ ถ้าคุณลงทุนในตลาดหุ้นวันนี้ แต่ละปีก็จะได้ผลตอบแทนประมาณ 5-6% หาได้จากการกลับเศษเป็นส่วนของค่า PE คือค่า EP ที่เท่ากับ 1 หารด้วย 18 โดยประมาณ) ซึ่งก็เป็นอัตราที่ดีพอใช้เมื่อเทียบกับการฝากเงินหรือซื้อพันธบัตร การที่ราคาหุ้นตกลงมานั้น เกิดจากผลประกอบการหรือกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลงเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา นี่ก็เป็นเรื่องตรงไปตรงมาในแง่ที่ว่าราคาหุ้นนั้น “ขึ้นอยู่กับพื้นฐานหรือผลประกอบการ” ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนับจากต้นปี
ในส่วนของตลาดหุ้นขนาดเล็กที่วัดจากดัชนีหุ้น MAI นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดัชนี MAI ปรับตัวลดลงจากประมาณ 700 จุดเหลือเพียง 585 จุดในช่วงเวลาเดียวกันหรือลดลงประมาณ 16.4% และถ้าคิดรวมปันผลที่ประมาณ 0.9% ก็จะทำให้โดยเฉลี่ยแล้วหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบเฉลี่ยประมาณ 15.5% หรือนักเล่นหุ้นขาดทุนเป็นประมาณ 4.7 เท่าเมื่อเทียบกับตลาด SET และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนบุคคลรายย่อยจึงเสียหายค่อนข้างหนักทั้ง ๆ ที่ตลาดโดยรวมไม่ได้เลวร้ายมากนัก
หุ้น MAI ที่ตกลงมานั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง แต่ราคาหุ้นที่ลดลงนั้นน่าจะเกิดจากการที่การ “เก็งกำไร” ในหุ้นตัวเล็กนั้นลดลง ความหมายของผมก็คือ ราคาของหุ้นนั้น โดยปกติจะมาจากสองส่วนนั่นคือ ราคาที่เกิดจากพื้นฐานกับราคาที่เกิดจากการเก็งกำไร ราคาที่เกิดจากพื้นฐานนั้น คือราคาที่เกิดจากความสามารถในการทำกำไรปกติของบริษัทที่เกิดขึ้นและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ตัวเลขกำไรตัวนี้ถ้าคูณ 18 เท่าก็จะเป็นค่าของราคาหุ้นตามพื้นฐาน ส่วนราคาที่มาจากการเก็งกำไรนั้น จะเป็นราคาที่นักลงทุนให้กับหุ้นโดยดูจากการคาดการณ์กำไรในอนาคต หุ้นตัวไหนหรือกลุ่มไหนที่คนคาดหวังสูงมากว่าจะทำกำไรได้ดีมากในอนาคตก็จะได้ราคาสูงมาก เช่น ถ้านักลงทุนคาดว่าในอนาคตกำไรจะเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อหุ้น เขาอาจจะให้ราคาบริษัทเพิ่มขึ้น 50 เท่า เป็นต้น แต่ถ้าหุ้นตัวไหนไม่มีการ “เก็งกำไร” ราคาหุ้นก็จะมาจาก “พื้นฐาน” เพียงอย่างเดียว
ดูจากค่า PE ของตลาดหุ้น MAI นั้น เมื่อปลายปีที่แล้วค่า PE เท่ากับ 69.6 เท่า ก็น่าจะชัดเจนว่าไม่ใช่ราคาที่เกิดจากพื้นฐานเพียงอย่างเดียวแน่นอน เพราะถ้าคิดเป็นค่า EP ก็จะให้ผลตอบแทนคนลงทุนเพียงปีละไม่ถึง 1% ดังนั้น หุ้นตลาด MAI จึงมีมูลค่าที่เกิดจากราคาเก็งกำไรอยู่มาก ถ้าเราสมมุติว่าหุ้นในตลาด MAI มี “คุณค่า” เท่ากับหุ้นในตลาด SET คือควรมีค่า PE ประมาณ 18-19 เท่า เราก็จะคำนวณได้ว่าราคาหรือมูลค่าหุ้นที่เกิดจาก “การเก็งกำไร” นั้นเท่ากับการมีค่า PE เพิ่มขึ้นอีก 50 เท่า 69.6-19) เมื่อสิ้นปีที่แล้ว พูดง่าย ๆ หุ้นในตลาด MAI เมื่อสิ้นปีที่แล้วนั้น มีราคาตามพื้นฐานเพียง 18-19 เท่าของกำไรแต่มีราคาตามการเก็งกำไรถึง 50 เท่าของกำไรที่ “คาด” ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
ถึงวันนี้ ค่า PE ของตลาด MAI ลดลงมาเหลือ 59.8 หรือลดลงมาประมาณ 10 เท่าของกำไรและนี่ทำให้ดัชนีหุ้น MAI ลดลงมาประมาณ 16.4% การลดลงมานี้ผมคิดว่าไม่ได้เกี่ยวกับพื้นฐานอะไรนักเพราะกำไรของหุ้น MAI ก็ไม่ได้ลดลง ราคาหุ้นที่ลดลงนั้น ผมคิดว่าเกิดจากการเก็งกำไรที่ลดลง และการเก็งกำไรที่ลดลงนั้น ผมคิดว่าเกิดจากการที่ความคาดหวังที่บริษัทจะโตขึ้นลดลง และความคาดหวังที่ลดลงนั้นผมคิดว่าน่าจะเกิดจากสองประเด็นใหญ่ก็คือ หนึ่ง Story ของบริษัทหรือเรื่องราวที่สร้างความคาดหวังให้กับนักลงทุนนั้นเริ่ม “สั่นคลอน” เช่น ที่คาดว่าจะทำธุรกิจใหม่มีกำไรมหาศาล เมื่อเวลาผ่านไปก็ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นลดลง คาดว่าจะได้สัญญาขายไฟฟ้าทางเลือกก็ยังไม่ได้ อะไรทำนองนี้ เป็นต้น ข้อสอง กำไรที่เคยคาดการณ์หรือหวังว่าจะทำได้จากยอดขายสินค้าเดิมที่จะ “เพิ่มขึ้นมาก” นั้น อาจจะยังไม่มาหรือยอดขายอาจจะเพิ่มขึ้นแต่มาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายต่ำกว่าเดิมมาก เช่น เคยขาย 100 กำไร 20 ซึ่งเป็นกำไรที่ “มโหฬาร” นั้น เมื่อเวลาผ่านไปพบว่ากำไรแบบนั้นไม่สามารถทำต่อเนื่องได้ ในกรณีทั้งสองแบบนี้อาจจะเริ่มทำให้คนที่ซื้อหุ้นไว้เริ่มกลัวและขายหุ้นทิ้งก่อนที่ “ความจริงจะปรากฏ” มากขึ้นเรื่อย ๆ ราคาหุ้นตลาด MAI และหุ้นตัวเล็กหลาย ๆ ตัว จึงปรับตัวลงมาอย่างมีนัยสำคัญ
คำถามสำคัญก็คือ การปรับตัวลงของหุ้น MAI นั้น ลดลงมาพอหรือยัง? คำตอบก็คือ ไม่มีใครรู้! แต่ถ้าดูจากค่า PE ที่ประมาณ 60 เท่าในวันนี้และสมมุติว่าค่า PE ที่เหมาะสมตาม พื้นฐานควรจะประมาณไม่เกิน 20 เท่า ราคาที่เกิดจากการเก็งกำไรก็ยังสูงถึง 40 เท่าของกำไร หรือพูดง่าย ๆ ถ้ากำไรของบริษัทจดทะเบียนเท่ากับ 1 บาทต่อหุ้น ราคาปัจจุบันก็จะเท่ากับ 60 บาทต่อหุ้น โดยเป็นราคาพื้นฐานแค่ 20 บาทและราคา “เก็งกำไร” อีก 40 บาท ก็หมายความว่าหุ้นตัวนี้หรือหุ้นกลุ่มนี้ก็มีโอกาสที่จะตกลงมา 40 บาทเหลือเพียง 20 บาทต่อหุ้นหรือเป็นการลดลงประมาณ 66% ถ้า “การเก็งกำไรหมดไป”
คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วการเก็งกำไรจะหมดไปได้อย่างไร? คำตอบของผมก็คือ ไม่รู้! แต่ปัจจัยสำคัญของการเก็งกำไรก็คือ ภาวะตลาดหุ้นที่ร้อนแรงนั้นส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรสูง แต่บางทีตลาดหุ้นที่ “ไม่เลวร้าย” ก็ไม่ทำลายการเก็งกำไรเท่าไรนัก บางทีถ้าหุ้นตัวใหญ่ไม่ดี คนก็ยังอาจจะหันมาเล่นเก็งกำไรในหุ้นตัวเล็กได้ แต่ในกรณีที่ตลาดหุ้นเกิด “แพนิก” หุ้นตกลงมาแรงและกลายเป็นตลาดหมี แบบนี้ก็อาจจะทำให้การเก็งกำไรหายไปได้
บ่อยครั้ง การเก็งกำไรในหุ้นรายตัวก็อาจจะหายไปได้เมื่อเวลาผ่านไปและ Story ไม่เป็นไปตามที่คาด หุ้นตัวนั้นอาจจะมีค่า PE 100 เท่าแต่เป็นราคาพื้นฐานเพียง 20% อีก 80% เป็นการเก็งกำไร ดังนั้น เมื่อ “ฝันสลาย” ราคาหุ้นก็อาจจะตกลงมา 80% ได้
บ่อยครั้งการเก็งกำไรนั้นมาจากการที่มี “จ้าวมือ” ซึ่งเป็นรายใหญ่ซื้อและถือหุ้นจำนวนมากในบริษัททำให้ราคาหุ้นขึ้นไปมากและหุ้น Free Float หรือหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดมีน้อย ลักษณะนี้ราคาหุ้นก็อาจจะไม่ลงมาง่าย ๆ แม้ว่า Story หรือกำไรที่คาดหวังยังไม่เกิด “ภาพ” ที่ถูกส่งออกมาก็คือให้นักเก็งกำไร “รอต่อไป เดี๋ยวก็มา” ราคาหุ้นก็อาจจะไม่ลงมากนัก
หุ้นตัวเล็กที่ “ล่มสลาย” จริง ๆ นั้น มักจะเกิดจาก “ความเชื่อมั่นหมดไป” ด้วยเหตุอะไรก็ตามและมักรวมถึงการที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เป็น “จ้าวมือ” ทิ้งหุ้นหมดสิ้น ในวันนั้นก็จะกลายเป็น “หายนะ” ของหุ้นที่ราคาหรือมูลค่าลดลงมา บางที 90% หรือมากกว่านั้น ประวัติศาสตร์สอนเราว่า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดาโลกและก็อย่าได้คิดว่ามันจะไม่เกิดกับเราถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันเป็นนิจสิน
Friday, August 14, 2015
ลงทุนเองหรือผ่านกองทุนรวม / วีระพงษ์ ธัม
คำถามที่ว่าเราควร “ลงทุนเอง” หรือ “ซื้อกองทุน” เป็นคำถามแรก ๆ ที่สำคัญสำหรับการเริ่มต้นลงทุน แต่กลับเป็นคำถามที่ผมได้ยินไม่บ่อยนัก บ่อยครั้งจะเป็นว่า “เราจะเริ่มต้นเล่นหุ้นยังไงดี” หรือ “เราควรลงทุนแนว VI หรือแนวเทคนิคดี” ซึ่งคำถามเหล่านี้ ควรจะเป็นคำถามที่สองหลังจากที่เราสามารถตอบ “วิธี” การลงทุนตัวเองได้ชัดเจนที่สุดก่อน และที่สำคัญกว่านั้น คำถามนี้ไม่ควร “มีคำตอบเดียว” เพราะแม้ว่าเราเป็นนักลงทุนที่ลงทุนมายาวนานแล้ว ก็ยังต้องกลับไปคิดทบทวนกับคำถามนี้ตลอดเวลา อันที่จริงนักธุรกิจนักลงทุนระดับโลกหลาย ๆ คนก็ “หยุด” ลงทุนเองเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งของชีวิต หรือถ้าเราลงทุนผ่านกองทุนมายาวนานก็ไม่ควร “ปิดโอกาส” การเลือกหุ้นลงทุนเองเช่นกัน
ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนสองแบบนี้ มีการถกกันพอสมควร แต่ผมอยากจะยกตัวอย่างที่จะเป็นความเข้าใจที่ค่อนข้างผิด เรื่องแรกคือ ถ้าจะลงทุนเอง คุณต้องมีเวลาติดตามมาก ที่จริงแล้ว การลงทุนเองอาจจะต้องใช้เวลาจำนวนมากแค่ช่วงแรก ๆ แต่พออยู่ตัวแล้ว คุณแค่ใช้เวลาชั่วโมงสองชั่วโมง หรือแม้กระทั่งผูกเข้ากับวิถีชีวิตตัวเองได้โดยไม่ยากนัก ส่วนตัวผมตอนนี้ก็ใช้เวลาในการลงทุนแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน และหลายครั้งอาจจะไม่ได้ติดตามเป็นเวลาหลาย ๆ สัปดาห์
ในทางกลับกัน การลงทุนผ่านกองทุนรวมก็ไม่ใช่ว่าเราจะทิ้งไปได้เฉย ๆ หรือไม่มีความรู้ เราควรจะทบทวนการลงทุนของกองทุน ไม่ต่างจากที่เราทบทวนหุ้นในพอร์ตตัวเอง ต่างกันแค่ความถี่ในการติดตาม หรือเราไม่ต้องเลือกหุ้นเองเท่านั้น แต่ส่วนมากคนลงทุนในกองทุน “แทบไม่รู้” ว่ากองทุนนี้ทำอะไรบ้าง ดังนั้นสิ่งที่ผิดมาก ๆ เรื่องที่สองของคนลงทุนกองทุนคือ “เราไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องการลงทุน” แค่ฝากผู้จัดการกองทุนดูแลให้เรา เพราะถ้าคุณไม่สบายใจที่จะวางกระเป๋าตังค์ไว้กับพื้นและฝากคนแปลกหน้าดูแลให้ คุณก็ควรจะเอาเงินที่คุณหามาอย่างยากลำบาก ไปฝากให้ผู้จัดการกองทุนดูแลให้โดยเราไม่มีความรู้ ดังนั้น แม้ว่าคุณจะการลงทุนผ่านกองทุนรวมก็จำเป็นต้องมีความรู้ในการลงทุนพอสมควร และต้องอ่านหนังสือลงทุนบ้างถึงจะสามารถได้ผลตอบแทนที่ดีได้ เพราะมันจะช่วยให้คุณไม่ขายกองทุนในเวลาที่ตลาดย่ำแย่ซึ่งเป็นเวลาที่ควรจะซื้อมากที่สุด
เรื่องที่สาม นอกจากเรื่องเวลา การลงทุนเองหรือผ่านกองทุน จะมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบอะไรบ้าง กองทุนอาจเข้าถึงข้อมูลได้ดีและเร็วกว่า แต่การลงทุนเองแบบระยะยาว ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลเร็วขนาดนั้น และมีวิธีเข้าถึงข้อมูลการลงทุนมากมายโดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีนามบัตรเป็น “ผู้จัดการกองทุน” ยุคนี้การลงทุนเองสะดวกกว่าเดิมมาก นอกจากนั้นจะมีคำพูดที่ว่ากองทุนมีค่าธรรมเนียมที่แพง แต่ที่จริงมัน “ไม่แพง” ถ้าเทียบกับการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าลงทุนแล้วแพ้ตลาดติดต่อกัน 3 ปี คุณควรจะพิจารณาเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การลงทุนทั้งสองแบบต่าง “เปลี่ยนชีวิต” คุณได้แน่นอน ถ้าคุณมี “ความรู้การลงทุน” และทำมันอย่างถูกต้องและยาวนานพอ
เรื่องสุดท้ายคือ เราชอบแบ่งการลงทุนสองอย่างนี้ออกเป็น “สองขั้ว” อย่างเด็ดขาด เช่นถ้าคนลงทุนเอง อาจจะไม่ลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือคนลงทุนในกองทุน อาจจะไม่ลงทุนในหุ้นเอง ซึ่งผมคิดว่าสองส่วนนี้ไม่ได้ “อยู่คนละขั้ว” แต่กลับ “ส่งเสริม” ซึ่งกันและกัน คนที่ลงทุนผ่านกองทุนรวม แต่เห็นโอกาสในหุ้นหรือกิจการบางอย่าง ซึ่งมีอนาคตไกลมาก ก็อาจจะเอาเงินมาทะยอยซื้อหุ้นตัวนี้ได้ ซึ่งมันจะช่วย “เพิ่มผลตอบแทน” รวมของพอร์ตด้วยความเข้าใจในหุ้นตัวนั้น ๆ และการที่มีกองทุนรวมที่กระจายความเสี่ยงอยู่แล้วพอร์ต ดังนั้นในกรณีนี้ ซื้อหุ้นตัวสองตัว แทบจะไม่เสี่ยง
ในอีกมุมมองหนึ่ง ถ้าเราลงทุนหุ้นเองอยู่แล้ว เราก็ยังมีโอกาสลงทุนผ่านกองทุนรวมได้เช่นกัน เพราะมันจะทำให้เราได้ “กระจายความเสี่ยง” โดยที่ใช้ “แรงและเวลา” น้อยมาก ส่วนตัวผมกระจายไปซื้อกองทุนจีนไปตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้ว รวมถึงกองทุนในตลาดอเมริกาช่วงหลังจาก Subprime ซื้อทุก ๆ เดือนมาโดยตลอด ผลตอบแทนก็สูงกว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาเดียวกัน แทนที่ผมจะต้องใช้เวลามากมายไปศึกษาหุ้นรายตัวต่างประเทศซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่จุดแข็งเรา แต่ใช้ความรู้ “พื้นฐาน” สร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมได้ไม่ยากนัก เหมือน John Templeton ว่าถ้าคุณจะสร้างพอร์ตหุ้นที่ดี ให้มองมากกว่าหนึ่งอุตสาหกรรม และมองมากกว่าหนึ่งประเทศ
ผมเชื่อว่ากลยุทธ์กระจายพอร์ตไปสองขาแบบนี้ จะค่อย ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นในอนาคต การลงทุนจะไม่ได้ถูกแบ่งแยกเป็น “ผ่านกองทุนอย่างเดียว” หรือ “ลงทุนเองอย่างเดียว” และจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับโลกการลงทุนที่โอกาสเปิดกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ ครับ
Monday, August 10, 2015
เวลาขายหุ้นซุปเปอร์สต็อก/ดร.นิเวศน์
นักลงทุนแนว VI “พันธุ์แท้” ที่ชื่นชมและศรัทธา วอเร็น บัฟเฟตต์ หลายคนมักชอบที่จะอ้างคำพูดที่ “คลาสสิก” ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ว่า “หุ้นนั้นไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน สิ่งที่คุณต้องทำทั้งหมดก็คือ ซื้อหุ้นในธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ บริหารโดยผู้จัดการที่มีความสามารถและความซื่อสัตย์สูงสุด ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงของมัน เสร็จแล้วคุณก็ถือหุ้นนั้นไว้ตลอดกาล”
ผมเองก็ยึดถือแนวทางส่วนใหญ่ของบัฟเฟตต์ในการลงทุนมานาน อย่างไรก็ตาม “ดีกรี” หรือความเข้มข้นในการที่จะปฏิบัติตามหลักการของบัฟเฟตต์นั้น ก็ยังคงไม่เท่าสิ่งที่บัฟเฟตต์ทำ เหตุผลไม่ใช่เพราะผมไม่เชื่อเขา แต่เป็นเพราะสถานการณ์และตัวบริษัทหรือหุ้นที่อยู่ในประเทศไทยนั้น ด้อยกว่าในตลาดหุ้นสหรัฐมาก ประการแรกก็คือ บริษัทที่ “ยิ่งใหญ่” ในตลาดหุ้นไทยนั้น ยังห่างชั้นจากตลาดหุ้นสหรัฐมาก เราเป็นได้เพียงบริษัทที่ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยในขณะที่บริษัทในสหรัฐที่ยิ่งใหญ่นั้น ยิ่งใหญ่ในระดับโลกทั้งนั้น ประการที่สองก็คือเรื่องของความรู้ความสามารถและความซื่อสัตย์ของผู้บริหารเองนั้น เราก็ต้องยอมรับว่า ในสังคมไทยที่ยังพัฒนาน้อยกว่า บางทีเราก็ต้องยอมลดมาตรฐานลงมาบ้าง และในประการสุดท้ายก็คือ เรื่องของการถือหุ้นไว้ “ตลอดกาล” นี่ก็เป็นเรื่องที่ยาก เนื่องจากความ “ยิ่งใหญ่” ของหุ้นไทยนั้น อาจจะไม่พอหรือไม่สามารถดำรงไว้ได้นานเหมือนกับหุ้นของสหรัฐ ว่าที่จริง แม้แต่หุ้นที่ยิ่งใหญ่หลายบริษัทของสหรัฐเองนั้น เมื่อเวลาผ่านไปนานพอ มันก็ตกต่ำลงมาเหมือนกันเพราะ ไม่มีอะไรจะอยู่ “ค้ำฟ้า” ได้
คำถามสำคัญสำหรับ VI ที่เน้นลงทุนในแบบ “ซุปเปอร์สต็อก” ก็คือ เราจะขายหุ้นเมื่อไร? คำตอบนั้นผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเวลาที่เป็นเดือนหรือปี ผมเองลงทุนซุปเปอร์สต็อกมานาน วันที่ผมซื้อหุ้นนั้น ผมไม่เคยคิดว่าจะขายในอีกกี่เดือนหรือกี่ปีข้างหน้า ผมไม่เคยคิดว่าราคาเท่าไรจะขาย พูดง่าย ๆ ไม่มีเป้าหมายว่าจะขาย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะถือตลอดกาล ถ้าจะต้องตอบก็คือ ผมจะถือไปเรื่อย ๆ จนกว่าสถานการณ์มันจะบอกว่าเราควรจะขายแล้ว และต่อไปนี้คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าผมควรที่จะพิจารณาขายหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ถืออยู่
เรื่องแรกก็คือ ตลาดของสินค้าของบริษัทเริ่ม “อิ่มตัว” นี่น่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญมากที่สุดข้อหนึ่ง เพราะในความหมายของซุปเปอร์สต็อกนั้น มันมักจะเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่กำลังเติบโตและบริษัทเป็น “ผู้ชนะ” ที่ครอง Market Share หรือส่วนแบ่งตลาดที่สูงสุดและเหนือคู่แข่งมาก ดังนั้น การที่ยอดขายจะเติบโตได้เร็วต้องหมายความว่าตัวอุตสาหกรรมหรือธุรกิจจะต้องโตต่อไป แต่ถ้าคนเกือบ “ทั้งประเทศ” ที่มีเงินและต้องการใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทต่างก็ได้ใช้แล้ว โอกาสที่บริษัทจะโตเร็วแบบเดิมก็จะยาก และเมื่อถึงจุดนั้น บริษัทก็จะสูญเสียสถานะของการเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ค่า PE ที่สูงของหุ้นก็จะค่อย ๆ ลดลง บริษัทจะกลายเป็นหุ้น “แข็งแกร่ง” ที่ยังใหญ่โต มีกำไรที่ดี แต่ไม่โตหรือโตช้า ผลก็คือ ราคาหุ้นอาจจะไม่ไปไหนหรือลดลงด้วยซ้ำ ดังนั้น ถ้าเราคิดว่าตลาดเริ่มอิ่มตัว เราก็อาจจะพิจารณาขายหุ้นทิ้งก่อนที่ “ภาพ” ของบริษัทจะเปลี่ยนไป
ข้อที่ต้องระวังมากสำหรับเรื่องของการ “อิ่มตัว” ของตลาดก็คือ เราอาจจะเข้าใจผิดหรือสับสนระหว่างการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ยอดขายของบริษัทโตช้าลง กับการอิ่มตัวของตลาด วิธีที่จะดูทางหนึ่งก็คือ ดูว่าอัตราการใช้สินค้าหรือบริการหรือยอดขายของอุตสาหกรรมเทียบกับ GDP ว่ามันสูงพอ ๆ กับอัตราของประเทศอื่นที่มีระดับการพัฒนาพอ ๆ กันหรือสูงกว่าหรือยัง ถ้ายังห่างมาก นี่อาจจะเป็นสัญญาณว่าการชะลอตัวของยอดขายน่าจะเป็นเรื่องของการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากกว่า เป็นต้น
ประเด็นที่สองที่ทำให้เราต้องพิจารณาขายหุ้นซุปเปอร์สต็อกก็คือเรื่องของ “การแข่งขัน” นี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการที่ตลาดสินค้าอิ่มตัว จริงอยู่ที่ว่าซุปเปอร์สต็อกนั้นมักจะเป็น “ผู้ชนะ” ในการแข่งขันที่ค่อนข้าง “เด็ดขาด” อย่างไรก็ตาม นั่นมักจะเป็นการชนะที่เกิดจาก Model หรือรูปแบบทางธุรกิจที่ใช้อยู่ แต่ประเด็นสำคัญที่อาจจะเกิดขึ้นในยุคนี้ก็คือ มี Model ทางธุรกิจใหม่เกิดขึ้นค่อนข้างเร็วและมากซึ่งเป็นอานิสงค์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถนำมาใช้และทำให้ได้เปรียบธุรกิจที่ใช้ Model เดิม ตัวอย่างเช่น บริษัทวอลมาร์ทที่เป็นซุปเปอร์สต็อกในด้านของการค้าปลีกสินค้าของใช้ประจำวันนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ดูเหมือนว่ากำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทอะเมซอนที่ขายสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ในกรณีแบบนี้ เราอาจจะมองว่าวอลมาร์ทกำลัง “แพ้” อะเมซอนในการแข่งขันและราคาหุ้นก็สะท้อนออกมาโดยการที่หุ้นอะเมซอนในขณะนี้มีมูลค่าสูงกว่าหุ้นวอลมาร์ทแล้ว
ในตลาดไทยเองนั้น เราก็ได้เห็นหุ้นค้าปลีกหรือหุ้นบันเทิงบางตัวสูญเสีย “ความสามารถในการแข่งขัน” ให้กับ “เทคโนโลยีไอที” ที่เปลี่ยน “แผนภูมิ” ในการแข่งขันไปอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น กิจการเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ทั้งหลายที่เสีย “ลูกค้า” ให้กับสื่ออิเลคโทรนิกที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาถูกมาก หรือตลาดเทปเพลงหรือภาพยนตร์ที่กลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยในยุคที่ทุกอย่างสามารถ “ดาวน์โหลด” จากอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
เรื่องที่สามก็คือ บางครั้งเราอาจจะต้องพิจารณาขายซุปเปอร์สต็อกเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านของกฎหมาย กฎเกณฑ์ และระเบียบใหม่ในการทำธุรกิจของหน่วยงานรัฐ ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่สำคัญในแง่ที่ว่ามันเป็น “อำนาจที่ยิ่งใหญ่” ที่สามารถ “Overrule” หรือ “ลบล้าง” ทุกเรื่องรวมถึงความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยปกติ บริษัทที่ยิ่งใหญ่นั้นมักจะไม่ได้อาศัย “รัฐ” ในการแข่งขัน แต่ในทางตรงกันข้าม กฎเกณฑ์ที่ออกใหม่สามารถ “ทำลาย” หรือลดความสามารถในการทำกำไรของซุปเปอร์สต็อกได้มาก ผมเองเวลาที่ถือหุ้นซุปเปอร์สต็อกไว้ ผมจะไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกฎระเบียบอะไรทั้งสิ้นในอุตสาหกรรม เพราะซุปเปอร์สต็อกนั้น โดยปกติไม่มีคู่แข่งที่จะทำลายมันได้อยู่แล้วยกเว้น “อำนาจรัฐ”
ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงในกฎเกณฑ์ในเร็ว ๆ นี้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านของธุรกิจทีวี การเปลี่ยนแปลงในแง่ของการการให้ใบอนุญาตคลื่นความถี่โทรคมนาคม และที่เราอาจจะไม่ได้คิดหรือตระหนักถึงก็คือ การเปลี่ยนแปลงที่มาจากหน่วยงาน “เหนือรัฐ” จากนอกประเทศ เช่น เรื่องของการบิน การประมง และอื่น ๆ อีกมาก ทั้งหมดนั้นเราต้องคอยติดตามและวิเคราะห์ว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรกับซุปเปอร์สต็อกของเรา
เรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดก็คือ ราคาหรือมูลค่าหุ้นซุปเปอร์สต็อก นี่เป็นประเด็นที่ผมจะไม่ค่อยสนใจมากนักยกเว้นแต่ว่าราคามัน “เวอร์” ไปจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ก็คือ หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่แท้จริงนั้น แม้ว่าบางครั้งราคาจะขึ้นไปสูงมากวัดจากค่า PE เช่นสูงเป็น 30-40 เท่า มันก็ไม่ใช่ราคาที่ Overvalue หรือราคาสูงเกินพื้นฐานโดยเฉพาะถ้าวัดจาก Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งบริษัท เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นซุปเปอร์สต็อกนั้นมักจะมีศักยภาพสูงมาก มันจะโตไปเรื่อย ๆ ไปอีกนานจนมีขนาดใหญ่มาก ดังนั้น แม้ว่าในบางช่วงที่ดูเหมือนว่าจะแพงเกินไป เราก็มักจะไม่จำเป็นต้องขาย อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นมีมูลค่าสูงมากแล้ว และตลาดหุ้นกำลังเป็น “ฟองสบู่” แบบนี้ เราก็อาจจะพิจารณาขายทิ้งเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดได้
ผมเองก็ยึดถือแนวทางส่วนใหญ่ของบัฟเฟตต์ในการลงทุนมานาน อย่างไรก็ตาม “ดีกรี” หรือความเข้มข้นในการที่จะปฏิบัติตามหลักการของบัฟเฟตต์นั้น ก็ยังคงไม่เท่าสิ่งที่บัฟเฟตต์ทำ เหตุผลไม่ใช่เพราะผมไม่เชื่อเขา แต่เป็นเพราะสถานการณ์และตัวบริษัทหรือหุ้นที่อยู่ในประเทศไทยนั้น ด้อยกว่าในตลาดหุ้นสหรัฐมาก ประการแรกก็คือ บริษัทที่ “ยิ่งใหญ่” ในตลาดหุ้นไทยนั้น ยังห่างชั้นจากตลาดหุ้นสหรัฐมาก เราเป็นได้เพียงบริษัทที่ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยในขณะที่บริษัทในสหรัฐที่ยิ่งใหญ่นั้น ยิ่งใหญ่ในระดับโลกทั้งนั้น ประการที่สองก็คือเรื่องของความรู้ความสามารถและความซื่อสัตย์ของผู้บริหารเองนั้น เราก็ต้องยอมรับว่า ในสังคมไทยที่ยังพัฒนาน้อยกว่า บางทีเราก็ต้องยอมลดมาตรฐานลงมาบ้าง และในประการสุดท้ายก็คือ เรื่องของการถือหุ้นไว้ “ตลอดกาล” นี่ก็เป็นเรื่องที่ยาก เนื่องจากความ “ยิ่งใหญ่” ของหุ้นไทยนั้น อาจจะไม่พอหรือไม่สามารถดำรงไว้ได้นานเหมือนกับหุ้นของสหรัฐ ว่าที่จริง แม้แต่หุ้นที่ยิ่งใหญ่หลายบริษัทของสหรัฐเองนั้น เมื่อเวลาผ่านไปนานพอ มันก็ตกต่ำลงมาเหมือนกันเพราะ ไม่มีอะไรจะอยู่ “ค้ำฟ้า” ได้
คำถามสำคัญสำหรับ VI ที่เน้นลงทุนในแบบ “ซุปเปอร์สต็อก” ก็คือ เราจะขายหุ้นเมื่อไร? คำตอบนั้นผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเวลาที่เป็นเดือนหรือปี ผมเองลงทุนซุปเปอร์สต็อกมานาน วันที่ผมซื้อหุ้นนั้น ผมไม่เคยคิดว่าจะขายในอีกกี่เดือนหรือกี่ปีข้างหน้า ผมไม่เคยคิดว่าราคาเท่าไรจะขาย พูดง่าย ๆ ไม่มีเป้าหมายว่าจะขาย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะถือตลอดกาล ถ้าจะต้องตอบก็คือ ผมจะถือไปเรื่อย ๆ จนกว่าสถานการณ์มันจะบอกว่าเราควรจะขายแล้ว และต่อไปนี้คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าผมควรที่จะพิจารณาขายหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ถืออยู่
เรื่องแรกก็คือ ตลาดของสินค้าของบริษัทเริ่ม “อิ่มตัว” นี่น่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญมากที่สุดข้อหนึ่ง เพราะในความหมายของซุปเปอร์สต็อกนั้น มันมักจะเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่กำลังเติบโตและบริษัทเป็น “ผู้ชนะ” ที่ครอง Market Share หรือส่วนแบ่งตลาดที่สูงสุดและเหนือคู่แข่งมาก ดังนั้น การที่ยอดขายจะเติบโตได้เร็วต้องหมายความว่าตัวอุตสาหกรรมหรือธุรกิจจะต้องโตต่อไป แต่ถ้าคนเกือบ “ทั้งประเทศ” ที่มีเงินและต้องการใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทต่างก็ได้ใช้แล้ว โอกาสที่บริษัทจะโตเร็วแบบเดิมก็จะยาก และเมื่อถึงจุดนั้น บริษัทก็จะสูญเสียสถานะของการเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ค่า PE ที่สูงของหุ้นก็จะค่อย ๆ ลดลง บริษัทจะกลายเป็นหุ้น “แข็งแกร่ง” ที่ยังใหญ่โต มีกำไรที่ดี แต่ไม่โตหรือโตช้า ผลก็คือ ราคาหุ้นอาจจะไม่ไปไหนหรือลดลงด้วยซ้ำ ดังนั้น ถ้าเราคิดว่าตลาดเริ่มอิ่มตัว เราก็อาจจะพิจารณาขายหุ้นทิ้งก่อนที่ “ภาพ” ของบริษัทจะเปลี่ยนไป
ข้อที่ต้องระวังมากสำหรับเรื่องของการ “อิ่มตัว” ของตลาดก็คือ เราอาจจะเข้าใจผิดหรือสับสนระหว่างการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ยอดขายของบริษัทโตช้าลง กับการอิ่มตัวของตลาด วิธีที่จะดูทางหนึ่งก็คือ ดูว่าอัตราการใช้สินค้าหรือบริการหรือยอดขายของอุตสาหกรรมเทียบกับ GDP ว่ามันสูงพอ ๆ กับอัตราของประเทศอื่นที่มีระดับการพัฒนาพอ ๆ กันหรือสูงกว่าหรือยัง ถ้ายังห่างมาก นี่อาจจะเป็นสัญญาณว่าการชะลอตัวของยอดขายน่าจะเป็นเรื่องของการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากกว่า เป็นต้น
ประเด็นที่สองที่ทำให้เราต้องพิจารณาขายหุ้นซุปเปอร์สต็อกก็คือเรื่องของ “การแข่งขัน” นี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการที่ตลาดสินค้าอิ่มตัว จริงอยู่ที่ว่าซุปเปอร์สต็อกนั้นมักจะเป็น “ผู้ชนะ” ในการแข่งขันที่ค่อนข้าง “เด็ดขาด” อย่างไรก็ตาม นั่นมักจะเป็นการชนะที่เกิดจาก Model หรือรูปแบบทางธุรกิจที่ใช้อยู่ แต่ประเด็นสำคัญที่อาจจะเกิดขึ้นในยุคนี้ก็คือ มี Model ทางธุรกิจใหม่เกิดขึ้นค่อนข้างเร็วและมากซึ่งเป็นอานิสงค์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถนำมาใช้และทำให้ได้เปรียบธุรกิจที่ใช้ Model เดิม ตัวอย่างเช่น บริษัทวอลมาร์ทที่เป็นซุปเปอร์สต็อกในด้านของการค้าปลีกสินค้าของใช้ประจำวันนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ดูเหมือนว่ากำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทอะเมซอนที่ขายสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ในกรณีแบบนี้ เราอาจจะมองว่าวอลมาร์ทกำลัง “แพ้” อะเมซอนในการแข่งขันและราคาหุ้นก็สะท้อนออกมาโดยการที่หุ้นอะเมซอนในขณะนี้มีมูลค่าสูงกว่าหุ้นวอลมาร์ทแล้ว
ในตลาดไทยเองนั้น เราก็ได้เห็นหุ้นค้าปลีกหรือหุ้นบันเทิงบางตัวสูญเสีย “ความสามารถในการแข่งขัน” ให้กับ “เทคโนโลยีไอที” ที่เปลี่ยน “แผนภูมิ” ในการแข่งขันไปอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น กิจการเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ทั้งหลายที่เสีย “ลูกค้า” ให้กับสื่ออิเลคโทรนิกที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาถูกมาก หรือตลาดเทปเพลงหรือภาพยนตร์ที่กลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยในยุคที่ทุกอย่างสามารถ “ดาวน์โหลด” จากอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
เรื่องที่สามก็คือ บางครั้งเราอาจจะต้องพิจารณาขายซุปเปอร์สต็อกเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านของกฎหมาย กฎเกณฑ์ และระเบียบใหม่ในการทำธุรกิจของหน่วยงานรัฐ ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่สำคัญในแง่ที่ว่ามันเป็น “อำนาจที่ยิ่งใหญ่” ที่สามารถ “Overrule” หรือ “ลบล้าง” ทุกเรื่องรวมถึงความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยปกติ บริษัทที่ยิ่งใหญ่นั้นมักจะไม่ได้อาศัย “รัฐ” ในการแข่งขัน แต่ในทางตรงกันข้าม กฎเกณฑ์ที่ออกใหม่สามารถ “ทำลาย” หรือลดความสามารถในการทำกำไรของซุปเปอร์สต็อกได้มาก ผมเองเวลาที่ถือหุ้นซุปเปอร์สต็อกไว้ ผมจะไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกฎระเบียบอะไรทั้งสิ้นในอุตสาหกรรม เพราะซุปเปอร์สต็อกนั้น โดยปกติไม่มีคู่แข่งที่จะทำลายมันได้อยู่แล้วยกเว้น “อำนาจรัฐ”
ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงในกฎเกณฑ์ในเร็ว ๆ นี้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านของธุรกิจทีวี การเปลี่ยนแปลงในแง่ของการการให้ใบอนุญาตคลื่นความถี่โทรคมนาคม และที่เราอาจจะไม่ได้คิดหรือตระหนักถึงก็คือ การเปลี่ยนแปลงที่มาจากหน่วยงาน “เหนือรัฐ” จากนอกประเทศ เช่น เรื่องของการบิน การประมง และอื่น ๆ อีกมาก ทั้งหมดนั้นเราต้องคอยติดตามและวิเคราะห์ว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรกับซุปเปอร์สต็อกของเรา
เรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดก็คือ ราคาหรือมูลค่าหุ้นซุปเปอร์สต็อก นี่เป็นประเด็นที่ผมจะไม่ค่อยสนใจมากนักยกเว้นแต่ว่าราคามัน “เวอร์” ไปจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ก็คือ หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่แท้จริงนั้น แม้ว่าบางครั้งราคาจะขึ้นไปสูงมากวัดจากค่า PE เช่นสูงเป็น 30-40 เท่า มันก็ไม่ใช่ราคาที่ Overvalue หรือราคาสูงเกินพื้นฐานโดยเฉพาะถ้าวัดจาก Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งบริษัท เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นซุปเปอร์สต็อกนั้นมักจะมีศักยภาพสูงมาก มันจะโตไปเรื่อย ๆ ไปอีกนานจนมีขนาดใหญ่มาก ดังนั้น แม้ว่าในบางช่วงที่ดูเหมือนว่าจะแพงเกินไป เราก็มักจะไม่จำเป็นต้องขาย อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นมีมูลค่าสูงมากแล้ว และตลาดหุ้นกำลังเป็น “ฟองสบู่” แบบนี้ เราก็อาจจะพิจารณาขายทิ้งเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดได้
Friday, August 7, 2015
Warrant=Worry / ดร.นิเวศน์
ถ้าจะถามว่ามีหลักทรัพย์อะไรที่ผมไม่ชอบและไม่อยากเกี่ยวข้องหรือลงทุนถ้าไม่มีเหตุผลพิเศษจริง ๆ แล้วละก็ มันก็คือ Warrant หรือ “สิทธิที่จะซื้อหุ้นออกใหม่ของบริษัท” โดยธรรมชาติแล้ว หลักทรัพย์ที่มีการคิดค้นขึ้นมาและมีการนำออกมาใช้อย่างแพร่หลายในโลกทุกประเภทนั้น มันก็จะต้องมีประโยชน์ต่อบริษัทหรือหน่วยธุรกิจที่ออกมัน และก็แน่นอน มันก็ต้องมีประโยชน์ต่อการดำรงอยู่หรือการเติบโตของธุรกิจและต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวม อย่างไรก็ตาม ในกรณีของวอแรนต์ที่มีการนำออกมาใช้กันมากมายในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมเห็นว่าจำนวนมากเป็นการออกมาด้วยวัตถุประสงค์ที่ผิดจากที่ควรเป็นเพื่อผลประโยชน์ของคนบางคนหรือบางกลุ่มมากกว่าที่จะเป็นผลดีต่อตัวบริษัทหรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ต่อมูลค่าของบริษัท ซึ่งก็คือไม่เป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้นโดยรวม และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ มันอาจจะเป็น “ยาพิษ” ต่อนักลงทุนที่เข้าไปซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทในราคาสูงเพราะคิดว่าวอแรนต์เป็นสิ่งที่ดีและจะทำให้บริษัทเติบโตหรือมีคุณค่ามากขึ้น
เหตุผลหลักของผมก็คือ วอแรนต์นั้น มีโอกาสที่จะถูกใช้สิทธิหรือแปลงเป็นหุ้นได้ในราคาที่กำหนดไว้ตายตัวซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดของหุ้นในอนาคต บางทีต่ำกว่ามาก และนี่จะทำให้“สัดส่วน” ของผู้ถือหุ้นเดิมลดลง ยิ่งมีการออกวอแรนต์จำนวนมากและราคาแปลงสภาพหรือราคาใช้สิทธิต่ำ ผู้ถือหุ้นเดิมก็จะถูก “Dilute” หรือถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทมากเท่านั้น และในกรณีของตลาดหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่าเรามีบริษัทที่ออกวอแรนต์จำนวนมากเมื่อเทียบกับหุ้นทั้งหมดของบริษัทในราคาใช้สิทธิค่อนข้างต่ำ ซึ่งนี่ก็จะทำให้หุ้นของบริษัทเหล่านั้นมีความน่าสนใจลดลง ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาวที่ ลงทุนในหุ้นที่เราคิดว่าจะมีกำไรต่อหุ้นโตขึ้นเรื่อย ๆ ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า แต่พอถึงเวลานั้นกลับมีหุ้นใหม่ที่ถูกใช้สิทธิจากวอแรนต์เข้ามาเพิ่มทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง ผลก็คือ กำไรต่อหุ้นไม่โตและดังนั้นราคาหุ้นก็จะไม่ไปไหน หุ้นแบบนี้เราจึงไม่ค่อยสนใจ มันเหมือน “ตาลยอดด้วน” คือต้นตาลที่ถูกตัดยอดเสียแล้ว โอกาสที่จะโตไปมาก ๆ ก็ไม่มี ดังนั้น สำหรับผมแล้ว หุ้นที่มีวอแรนต์ออกมานั้น จะเป็นหุ้นที่ทำให้ผมกังวล และหุ้นทุกตัวนั้น ก่อนที่จะซื้อ ผมจะต้องตรวจสอบดูว่ามันมีวอแรนต์ไหม
เป็นที่น่าตกใจว่า มีบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากออกวอแรนต์มากมายเหมือนกับไม่สนใจว่าในอนาคตบริษัทอาจจะมีหุ้นเพิ่มขึ้นมากและทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง ดูคร่าว ๆ วอแรนต์ในตลาดหุ้นหลักหรือ SET มีกว่า 100 หลักทรัพย์จากหุ้นทั้งหมด 500 กว่าบริษัท หรือประมาณ 20% แต่ในตลาดหุ้นขนาดเล็กหรือ MAI นั้น เรามีวอแรนต์ถึงประมาณ 50 หลักทรัพย์จากหุ้นเพียงร้อยกว่าตัว คิดแล้วเรามีวอแรนต์ถึงประมาณ 40% ของหุ้น จริงอยู่ว่าบางบริษัทนั้นมีวอแรนต์หลายตัวที่ออกมาขาย แต่ผมคิดว่าจำนวนบริษัทที่ออกวอแรนต์นั้นมีมากเกินไป และเหตุผลที่บริษัทออกวอแรนต์นั้น ผมคิดว่าเกิดจากแรงจูงใจที่จะ “ขับดันราคาและ/หรือมูลค่าหุ้น” มากกว่าเหตุผลทางการเงินของบริษัท
ประเด็นที่สองที่ผมคิดว่าน่ากังวลยิ่งกว่าก็คือเรื่องของการประเมินมูลค่าหุ้นของเหล่านักวิเคราะห์หรือนักลงทุน เท่าที่ผมเห็นนั้นดูเหมือนว่าคนจะไม่สนใจเรื่องของ Dilution ในอนาคต ในทางบัญชีเองนั้น ผมก็ไม่เห็นว่าปริมาณหุ้นที่จะมาจากวอแรนต์ในอนาคตจะถูกนำมาคิดในงบบัญชีปัจจุบัน ดังนั้น บริษัทที่ออกวอแรนต์มากมาย คิดเป็นปริมาณหุ้นก็อาจจะหลาย ๆ สิบเปอร์เซ็นต์ของหุ้นทั้งหมดนั้น จึงไม่ถูกกระทบอะไรเลยทั้ง ๆ ที่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอาจจะ “มหาศาล” กำไรต่อหุ้นอาจจะหายไปครึ่งหนึ่งก็ได้ นักบัญชีหรือนักวิเคราะห์อาจจะเถียงว่าวอแรนต์นั้นอาจจะไม่ถูกใช้สิทธิในอนาคต ดังนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องนำมาลงบัญชีในวันนี้ แต่ข้อถกเถียงของผมก็คือ มันก็อาจจะถูกใช้สิทธิได้ ดังนั้น ถ้าเราจะ “อนุรักษ์นิยม” ซึ่งก็เป็นหลักการของนักบัญชี เราก็ควรจะ “สำรอง” ไว้ก่อนไหม เหมือน ๆ กับที่เราสำรองค่าเผื่อ “หนี้สูญ” หรือ “ทรัพย์สินเสื่อมค่า” ทั้ง ๆ ที่หนี้หรือทรัพย์สินนั้นอาจจะยังไม่เสียแต่มีโอกาสเกิดขึ้นพอสมควร พูดง่าย ๆ ข้อเสนอผมก็คือ บริษัทไหนออกวอแรนต์ก็จะต้องคิดจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเลยเวลาคิดกำไรต่อหุ้น หรือไม่ก็ต้องคิดเป็น “ต้นทุน” ของการออกวอแรนต์เพื่อเอาไปหักจากรายได้หรือกำไรประจำปีของบริษัท นี่ก็จะทำให้บริษัทต้องคิดก่อนว่าคุ้มไหมที่จะออกวอแรนต์แต่ละครั้ง
ผมเองไม่ใช่นักบัญชีและก็ไม่แน่ใจว่าข้อเสนอดังกล่าวนั้นถูกต้องเป็นไปได้แค่ไหน แต่ถ้ามองตาม Common Sense หรือสามัญสำนึกแล้ว มันน่าจะเป็นอย่างนั้น ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรายอมให้ออกวอแรนต์ได้อย่างไม่จำกัดและไม่มีผลอะไรต่อบัญชีในวันนี้ โดยผมสมมุติว่าบริษัท W นั้น ตั้งขึ้นมาเพื่อ “ขายวอแรนต์” โดยไม่ทำอย่างอื่น สิ่งที่บริษัททำก็คือออกวอแรนต์ราคาใช้สิทธิต่ำมากขายแก่บุคคลทั่วไปที่เป็น “ลูกค้า” ราคาวอแรนต์ที่ขายหน่วยละ 1 บาท จำนวน 100 ล้านหุ้น บริษัทก็ได้เงินปีละ 100 ล้านบาท ต้นทุนสินค้าก็มีแค่ของใช้และค่าเช่าสำนักงาน ค่าแรงพนักงานขายและธุรการเล็กน้อย สิ้นปีบริษัทอาจจะทำกำไรได้ปีละ 90 ล้านบาท ดังนั้นถ้าเราให้ค่า PE แค่ 20 เท่า เท่ากับ PE ตลาด หุ้นก็มีมูลค่าถึง 1800 ล้านบาทเข้าไปแล้ว กลายเป็นหุ้นที่คนอยากเล่นกันมากและก็น่าจะวิ่งขึ้นไปอีกเพราะว่าอีกซักระยะหนึ่งก็จะมีวอแรนต์ชุดสองตามมาในราคาใช้สิทธิที่น่าสนใจยิ่งกว่า “วอร์ 1” โดยที่ “วอร์ 2” เองนั้น ก็“ไม่มีต้นทุน” กำไรที่ได้ก็ “มโหฬาร”
บางคนอาจจะเถียงว่าในชีวิตจริงใครจะทำ การขายวอแรนต์แล้วเอามาเป็นรายได้ทำไม่ได้ในทางบัญชี เรื่องนี้ถ้าเป็นปัญหาผมก็สามารถสมมุติเรื่องใหม่ แปลงเป็นว่าบริษัท G นั้นทำธุรกิจปกติขายสินค้าแฟชั่นที่ต้องมีการโฆษณามหาศาล ต้นทุนโฆษณาปีละ 100 ล้านบาท แต่ผลประกอบการของบริษัทนั้นไม่มีกำไร วันหนึ่งบริษัทก็คิด “ลดต้นทุน” โดยการออกวอแรนต์ให้กับบริษัทโฆษณาแทนการจ่ายเป็นเงินซึ่งบริษัทโฆษณาก็ยินดี ดังนั้น พอสิ้นปีบริษัท G ก็มีกำไร 100 ล้านบาท หุ้นก็วิ่ง เช่นเดียวกับวอแรนต์ที่วิ่งขึ้นไปยิ่งกว่า และนั่นก็เป็นเหตุผลที่บริษัทโฆษณายินดีรับวอแรนต์แทนเงิน ทุกฝ่ายต่างก็มีความสุข รวมถึงคนที่เล่นหุ้น G ในตลาดหุ้นที่เห็นว่าบริษัทกำลัง “Turnaround” หรือฟื้นตัวจากภาวะย่ำแย่
เรื่องราวที่ผมสมมุติขึ้นมานี้ แม้ว่าจะยังไม่เห็นหรือไม่ชัดเจนว่ามีใครทำบ้าง แต่ผมคิดว่าในตลาดหุ้นทุกวันนี้ วอแรนต์ถูกนำมาใช้ในวิธีการต่าง ๆ เสมือนหนึ่งว่ามัน “ไม่มีต้นทุน” และมันสามารถขับดันราคาหรือมูลค่าหุ้นได้โดยเฉพาะในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม “ความจริงที่แท้จริง” ของหลักทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ก็คือ มูลค่าของบริษัทหรือหุ้นนั้น จะต้องเกิดจากการกระทำที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่การพิมพ์ตัวอักษรและตัวเลขง่าย ๆ ไม่กี่ตัว ดังนั้น แม้ว่าในระยะสั้น ๆ คนจะ “ถูกลวง” ว่าวอแรนต์นั้นสามารถเพิ่มมูลค่าได้ แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นในตลาดก็จะต้องกลับมาสู่มูลค่าที่แท้จริงตามตัวธุรกิจที่แท้จริง ผลที่เราจะคาดได้ก็คือ คนที่เข้าไปเล่นหุ้นที่มีการนำวอแรนต์มา “เล่น” และราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปหรือมูลค่าหุ้นรวมวอแรนต์ปรับตัวขึ้นไปมากเกินความเป็นจริง ก็จะขาดทุนอย่างหนัก ความเสียหายของคนเล่นวอแรนต์อาจจะเป็น “หายนะ”
สิ่งที่เราในฐานะ VI จะทำได้นั้นก็คงเป็นเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ คือเรา “เฉย” เสียกับหุ้นที่มีวอแรนต์พ่วงเต็มไปหมด ไม่ต้องพูดว่าเราจะเล่นตัววอแรนต์เองเลย แต่ในฐานะคนที่อยู่ในแวดวงตลาดหุ้นมานาน ผมก็ได้แต่หวังว่าวันหนึ่ง ระบบการรายงานทางบัญชีของเราจะสามารถสะท้อนเรื่องของการออกวอแรนต์ของบริษัทจดทะเบียนอย่างที่มันควรจะเป็น และเช่นเดียวกัน ผมก็หวังด้วยว่าวันหนึ่งหน่วยงานกำกับหลักทรัพย์ของเราจะออกกฎเกณฑ์ที่จะควบคุมไม่ให้คนใช้วอแรนต์ในทางที่จะฉกฉวยประโยชน์จากสังคมของการลงทุนโดยรวม สำหรับผมแล้ว Warrant = Worry
การลงทุนของ Barack Obama / โดย คนขายของ
ประธานาธิบดีของสหรัฐได้ชื่อว่าเป็นผู้ซึ่งทรงอิทธิพลคนหนึ่งของโลก ซึ่งคงเป็นธรรมดาของคน ที่อยู่ในตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงที่ต้องมีเรื่องวุ่นๆเข้ามามากมาย แล้วประธานาธิปบดีสหรัฐ มีการวางแผนทางการเงินอย่างไร? เขาลงทุนในสินทรัพย์ชนิดไหนมากที่สุด? การลงทุนของ โอบามามีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหน? ผมเชื่อว่าการมองผ่านการวางแผนทางการเงินของ ประธานาธิบดีสหรัฐคงให้แนวความคิดเพื่อที่เราจะมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้บ้าง
เว็ปไซด์ therichest.com ได้รายงานว่าประธานาธิบดีโอบามามีรายได้จากเงินเดือนปีละ 400,000 เหรียญคิดเป็นเงินไทยก็ตกเดือนละประมาณ 1.16 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีรายได้ จากการเขียนหนังสือประมาณปีละเกือบ 10 ล้านบาท ท่านประธานาธิบดีมีบ้านหนึ่งหลัง ราคา ประมาณ 1.6 ล้านเหรียญอยู่ที่ชิคาโก้ ซึ่งยังคงติดจำนองอยู่ 1 ล้านเหรียญ และ ผ่อนด้วยอัตรา ดอกเบี้ย 5.625% นิตยสาร Forbes และ Casey Research บริษัททำงานวิจัยเรื่อง การเงินการลงทุนประเมินว่า โอบามามีความมั่งคั่งสุทธิ Net Worth) สูงถึงราวๆ 7 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 210 ล้านบาท
จากที่ผมได้รวบรวมข้อมูลจาก CNBC และ Casey Research พบว่าพอร์ตลงทุนของ ประธานาธิบดีโอบามาน่าจะอยู่ที่ราวๆ 6 ล้านเหรียญ มีการลงทุนในพันธบัตรระยะยาวในสัดส่วน สูงที่สุดถึง 83% ของพอร์ต ตามมาด้วย กองทุนที่ลงทุนในดัชนี Index Fund) บริหารโดย Vanguard สองกองทุนมูลค่ารวมคิดเป็น 10% ของพอร์ต อันดับสาม เป็นการลงทุนใน พันธบัตรระยะสั้น Bills) ราว 8% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือเป็น กองทุนเพื่อการออม สำหรับการเรียนต่อในระดับ college สำหรับลูกสาว เมื่อพิจารณาดอกเบี้ย และเงินปันผลรวม ของพอร์ตลงทุน คาดว่าน่าจะอยู่ที่ปีละประมาณ 5.25 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรา 2.5% ของเงินลงทุนทั้งหมด เมื่อรวมรายได้จากการลงทุน และรายได้จากลิขสิทธิ์หนังสือซึ่งเป็น รายได้ทางอ้อมเข้าด้วยกัน โอบามาจะสามารถมีเงินใช้ได้ประมาณปีละ 15 ล้านบาท แม้ว่าวาระ การเป็นประธานาธิบดีของเขาจะหมดลงในปี 2559
แต่กระนั้น ผู้เชี่ยวชาญทางการวางแผนทางการเงินในสหรัฐได้แสดงความเห็นไว้ว่า โอบามา น่าจะสามารถลดรายจ่ายในเรื่องดอกเบี้ยของการผ่อนบ้าน ซึ่งตอนนี้โอบามาจ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 5.526% โดยทำการรีไฟแนนซ์เป็นดอกเบี้ยที่ต่ำลง หรือเอาเงินที่ลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งได้ดอกเบี้ยต่ำกว่า 1% มาจ่ายคืนธนาคารเพื่อลดภาระจำนอง ส่วนเรื่องการลงทุนนั้น ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า ท่านประธานาธิบดีลงทุนในหุ้นน้อยไป ซึ่งในปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่แค่ 10% ซึ่งกองทุนที่โอบามาถืออยู่นั้น ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน อาจจะต้องเพิ่มการถือครองหุ้นขนาดกลาง และเล็กที่มีคุณภาพดี
เราจะเห็นได้ว่าโอบามาได้วางแผนการเงินไว้เป็นอย่างดี มีรายได้เข้ามาหลายทางทำให้ชีวิตไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเงินเดือนเพียงอย่างเดียว ในปัจจุบันนี้โอบามามีรายได้ถึง 3 ทางคือ หนึ่งเงินเดือน สอง ลิขสิทธ์หนังสือ และสามเงินลงทุน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชนชั้นกลางของประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่ ทำงานเป็นลูกจ้างรัฐ และเอกชนควรให้ความสนใจ การมีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว ยังไม่สามารถนับว่ามั่นคงจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน มีหลายบริษัทใช้นโยบายลดพนักงาน เพื่อลดค่าใช้จ่าย หากท่านถูกให้ออก ครอบครัวต้องสูญรายได้ที่มีทั้งหมดไป
ในขณะเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนหลายท่านที่ลงทุนในตลาดหุ้น และมีอิสระภาพทาง การเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ขอให้อย่าเพิ่งชะล่าใจไปในอิสระภาพทางการเงินที่ได้มา ตลาดหุ้นใน เวลาที่แย่มากๆ เช่นใน ช่วงปี คศ 1929-1932 ในสหรัฐ ตลาดลดลง 90% ในสี่ปี หรือตลาดหุ้น ไทยในช่วงปี พศ 2539 – 2541 ซึ่งลดลงมากกว่า 80% ภายในสามปี แม้โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า วิกฤตเศรษฐกิจของไทยในระดับนั้น คงไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้ แต่ก็ไม่มีใครการันตีได้ว่า เหตุการณ์อย่างนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก ดังนั้นการกระจายเงินลงทุนออกไปให้มีรายได้หลายทาง ถือเป็นการบริหารความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญทำให้นักลงทุนอยู่รอดในทุกสถานะการณ์ในโลกที่ ไม่มีอะไรแน่นอนใบนี้
Subscribe to:
Posts (Atom)