ประเด็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนแบบ VI
นักลงทุนแบบ VI ต้องมี EQ หรืออารมณ์ที่มั่นคง ข้อนี้สำคัญมากคือนักลงทุนแบบ VI จะต้องมีสติ ใจเย็นไม่ถูกชักนำ โดยจิตวิทยาสังคมหรือสภาวะของตลาดหลักทรัพย์ และมีข้อคิดว่า "เราต้องกล้าในยามที่คนส่วนใหญ่ในตลาดกำลังกลัว และกลัวในยามที่นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังฮึกเหิม" นักลงทุน VI ควรมองว่าตลาดหุ้นเป็นเสมือนคนที่มีอารมณ์แปรปรวน และทำการซื้อขายหุ้นในราคาที่บ่อยครั้งมีลักณะไม่มีเหตุผล ตอนอารมณ์ดีก็เสนอขายราคาสูงลิ่วเกินกว่าพื้นฐานไปมาก ตอนอารมณ์ไม่ดี อารมณ์หดหู่ก็เสนอราคาต่ำติดดินทั้งที่เป็นกิจการเดียวกัน เราต้องไม่ไปตามตลาดแต่คอยดูว่าตอนไหนที่เราจะเอาเปรียบตลาดได้ เช่น ซื้อตอนราคาต่ำๆ ขายตอนราคาสูงๆ หลักน่าจะมีแค่นี้ จะมีอารมณ์มั่นคงไม่หวั่นไหวไปตามตลาด จึงเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญของนักลงทุนแบบ VI
นักลงทุน VI ต้องรู้หลักในการควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ความเสี่ยงสำหรับ VI ไม่ใช่ความผันผวนของราคาหุ้นในพอร์ต แต่เป็นเรื่องความเสี่ยงของราคาหุ้นที่ซื้อเอาไว้จะ "ลดลงอย่างถาวร" หรือไม่ ถ้าซื้อไปแล้วราคาหุ้นลดลงระยะสั้น อย่างนี้ไม่ใช่ความเสี่ยง ถ้าเราวิเคราะห์แล้วพบว่ามูลค่าพื้นฐานยังอยู่เหมือนเดิม กลับต้องคิดว่าเป็นโอกาสที่จะซื้อเพิ่มขึ้น เพราะความเสี่ยงที่จะซื้อหุ้นนั้นกลับลดลง เพราะราคาหุ้นที่ลดทำให้ Margin of safety สูงขึ้น
หลักในการควบคุมความเสี่ยงของ VI สรุปได้ดังนี้
- รู้จักธุรกิจที่ลงทุนเป็นอย่างดี แน่ใจว่าได้หุ้นของกิจการที่มีคุณภาพดี
- ลงทุนในสิ่งที่มี Margin of Safety สูง "ของดี ราคาถูก"
- หลีกเลี่ยงการเก็งกำไร
- กระจายความเสี่ยงของการถือครองทรัพย์สินอย่างเหมาะสม สำหรับหุ้นควรกระจายการถือครอง 5-6 ตัวขึ้นไป ในหลายอุตสาหกรรม
บัญญัติ 10 ประการของการเล่นหุ้นแบบ VI
หัวข้อนี้ผมชอบมากครับ เพราะสรุปแก่นแท้กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นแบบ VI ซึ่ง ดร.นิเวศน์ สรุปไว้แบบคั้นหัวกระทิเอาไว้ให้นักลงทุน VI ทุกคน
- ศึกษาข้อมูลหุ้นให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น เน้นว่าอย่าซื้อโดยใช้อารมณ์อย่าโลภ อย่ารีบด่วนตัดสินใจซื้อเพราะหุ้นกำลังวิ่ง เพราะเราไม่ใช่นักเล่นหุ้นรายวัน เราต้องรอจังหวะเวลาที่พบแล้วว่า ราคาอยู่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก ๆ เท่านั้น
- อย่าสนใจข่าลือหรือ "หุ้นเด็ด" ข่าวลือ ถ้าเราได้ยิน คนอื่นก็คงได้ยิน ข่าวแบบนี้ไม่มีความหมายอะไร มีแต่ทำให้เสียเงิน
- ให้ความสำคัญกับตัวกิจการหรือตัวหุ้นมากกว่าสภาพตลาดหรือเศรษฐกิจโดยทั่วไป เพราะแม้สภาวะเศรษฐกิจไม่ดี แต่ตัวกิจการของบริษัทอาจจะดีก้ได้ หรือแม้กิจการอาจมีสภาวะไม่ดีนัก แต่ราคาหุ้นก้ยังต่ำกว่าพื้นฐานมากก็ยังลงทุนได้ อย่าให้ภาพของสภาวะตลาดมาหันเหการตัดสินใจซื้อหุ้นของเรา
- หุ้นนั้นมักจะดูแย่กว่าที่คิดเวลาที่ตลาดตกต่ำมากที่สุดของตลาดหมีและมักจะดูดีกว่าที่คิดในช่วงตลาดขาขึ้นสูงสุดของตลาดกระทิง นักลงทุน VI ควรยึดหลักที่ว่า "มีความกล้าหาญที่จะซื้อเมื่อทุกอย่างดูเลวร้ายและขายเมื่อทุกอย่างดูดีจนไม่น่าเชื่อ"
- จงจำไว้ว่า มันเป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถซื้อหุ้นในราคาพื้นฐานและขายหุ้นได้ที่จุดสูงสุด ในช่วงตลาดตกต่ำ ราคาหุ้นอาจลงไปต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานได้มาก และในยามที่ตลาดมีความรุ่งเรือง ราคาหุ้นก็อาจสูงเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานได้ ซึ่งภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงได้ตลอดดังนั้น ต้องไม่คาดหวังว่าเมื่อซื้อหุ้นแล้วราคาต้องขึ้นทันที แม้เราจะมั่นใจกับการวิเคราะห์มูลค่าพื้นฐานของเรา ไม่ควรฝากความหวังไว้กับภาวะตลาด แต่ควรดูว่าในระยะยาวพื้นฐานที่ดีและดีเพิ่มขึ้นของกิจการจะเป็นตัวดึงให้ราคาหุ้นสูงขึ้นตามพื้นฐาน
- อย่าขายเพียงเพราะว่าราคาหุ้นอาจจะดูว่าสูงเกินไปหรือปุ้นวิ่งขึ้นมาเร็วเกินไปหรือชั่วคราว เพราะถ้าพลาด อาจไม่สามารถซื้อกลับมาทำให้พลาดโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมมากกว่าในอนาคต
- อย่า "หลงรักหุ้น" จนตาบอด ถ้าหุ้นดี ก็ขอให้วิเคราะห์และมองอย่างเป็นกลาง รักได้แต่อย่างหลง เพราะต้องประเมินและตรวจสอบความคุ้มค่าตลอดเวลา ซึ่งถ้าไม่ไหวก็ต้อง "ตัดรัก" เป็นหุ้น VI ของวันก่อน มาถึงวันนี้อาจจะเปลี่ยนคุณสมบัติไปแล้วก็ได้
- อย่าสนใจว่าหุ้นเคยอยู่ที่จุดไหนมาก่อน จงสนใจว่าหุ้นจะไปอยู่ที่จุดไหน กิจการอาจเคยมีผลประกอบการดี ราคาหุ้นก็สูงตามไปด้วย แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปกำไรลดลง ราคาหุ้นตกและวิเคราะห์แล้วว่าผลการดำเนินงานลดลงแบบหวนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ยาก อย่างนี้ต้องลืมตัวเลขเก่า ตัวเลขใหม่คือของจริง ต้องมองไปข้างหน้าว่ามูลค่าหุ้นจริงๆ เป็นเท่าใดกันแน่ ราคาอาจตกลงไปกว่าเดิมอีกก็เป็นได้
- เน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูง การลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรหวือหวา โดยไม่สนใจว่าคุณภาพของหุ้นจะเป็นอย่างไรในบางครั้งอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีและเร็ว ทำให้นักลงทุนเกิดความตื่นเต้นแต่โอกาสที่จะประสบผลสำเร็จในระยะยาวจะเป็นไปได้ยาก และทำบ่อยเข้าก็จะติดเป็นนิสัย ซึ่งเป็นคนละขั้วกับนักลงทุน VI ที่เลือกเฉพาะหุ้นคุณภาพดีเท่านั้น พอร์ตของหุ้นที่มีคุณภาพดีนั้นจะทำให้เรารวยได้อย่างยั่งยืนและด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่ามาก
- ใช้เวลากับการลงทุน ตรวจสอบกิจการและหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หุ้น VI ที่เคยเข้มแข็งเมื่ออ่อนแอลงเราก็ต้องตัดออกจากพอร์ต และหาซื้อตัวใหม่ใส่เข้าไป แต่การเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของกิจการมักไม่ได้เกิดขึ้นแบบรายวันต้องใช้ระยะเวลา ถ้าเราซื้อหุ้นแต่อยู่ไม่ถึงปี คำถามคือ กิจการได้แสดงความสามารถในการทำธุรกิจให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนแล้วหรือยัง? คุุณภาพที่สูงขึ้นของหุ้นต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งเราต้องทำหน้าที่วิเคราะห์และตรวจสอบกิจการอยู่เป็นระยะๆ
แถมท้ายอีกนิดหนึ่ง เรื่องการกู้เงินมาลงทุนหรือเรียกว่า "การใช้มาร์จิ้น" ดร.นิเวศน์ เห็นว่า VI มักจะไม่กู้เงินมาลงทุน แม้ว่าถ้าหุ้นขึ้น โอกาสได้กำไรมีมากและเร็ว แต่ถ้าพลาดก็อาจเสียหายรุนแรงได้ อย่างไรก้ตาม หากเราพบว่ามีหุ้น VI ที่ดีและราคาต่ำลง หรือถูกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เราไม่มีเงินสดเลย ประกอบกับไม่อยากขายหุ้นตัวอื่นจากพอร์ต ซึ่งเป็นของดีและขณะนั้นหุ้นในพอร์ตก็มีราคาต่ำไปเหมือนกัน ดร.นิเวศน์ ให้หลักการกู้เงินซื้อหุ้นไว้ดังนี้
- ยอดเงินที่กู้ไม่ควรเกิน 10-20% ของมูลค่าพอร์ต (ไม่ใช่กู้เท่าไหร่ก็ได้)
- หุ้นที่จะซื้อ นอกจากต้องเป็น VI แท้ๆ แล้ว ยังต้องมีสภาพคล่องสูงพอให้เราขายได้ทันที
- หุ้นที่จะซื้อต้องมีคาราต่ำมาก กำไรอยู่ในระดับที่ดีและจะดีขึ้นกว่านี้
- ต้องมี Exit Strategy หรือทางออกจากหนี้ เช่น นำเงินปันผลรับจากพอร์ตเดิมมาลดหนี้ หรือทยอยขายหุ้นที่ซื้อมาเพื่อนำเงินมาลดหนี้หรือล้างหนี้ให้เร็วที่สุด