ก่อนที่จะอธิบายถึงรายละเอียดของหุ้นที่มีลักษณะแบบ VI ตามแนวคิดของ ดร.นิเวศน์ จะขอเริ่มต้นอธิบายจากสไตล์การลงทุน ซึ่งมีลักษณะการลงทุนแบบ VI ก่อนจะเจาะเข้าไปถึงเคล็ดลับการค้นหาหุ้นแบบ VI ตามสไตน์ของ ดร.นิเวศน์
สไตล์ คือ แบบแผนของการกระทำ ซึ่งถ้าทำซ้ำๆ กันหรือกล่าวได้ว่าชอบมีพฤติกรรมแบบนี้ เราอาจเรียกว่า "สไตล์" ซึ่งในการลงทุนนั้น นักลงทุนที่มีประสบการณ์น้อยหรือเรียนรู้หลักการลงทุนมาน้อย มักจะลงทุนโดยไม่มีวิธีการที่ชัดเจน เช่น เล่นเก็งกำไรตามข่าวลือ ลงทุนเพราะตลาดกำลังบูม เป็นต้น อย่างนี้อาจกล่าวได้ว่า ลงทุนแบบไม่มีสไตล์ หรือเล่นหุ้นแบบมวยวัด
แต่นักลงทุนที่มีประสบการณ์มากๆ มักจะคุ้นเคยหรือชื่นชอบวิธีการบางอย่างเป็นพิเศษ เพราะคิดว่าเป็นวิธีการลงทุนที่ได้ผล ได้กำไรเป็นประจำ หรือไม่ก็ดีกว่าวิธีการอื่นที่เคยใช้มา อย่างนี้เรียกว่า เริ่มมีสไตล์การลงทุน
โดย ดร.นิเวศน์ สรุปสไตล์การลงทุนออกเป็น 3 แนวทางใหญ่ๆ ดังนี้
ลงทุนในหุ้นโตเร็ว (Growth Investment)
เป็นสไตล์ที่ลงทุนซื้อหุ้นคุณภาพสูง ไม่ค่อยเกี่ยงราคา นักลงทุนกลุ่มนี้มีความคิดว่าหุ้นคุณภาพสูงมักจะให้ผลตอบแทนคุ้มราคา แม้ราคาที่ลงทุนจะสูงแต่กำไรของบริษัทจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น คอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าไฮเทคทั้งหลาย บริษัทเหล่านี้จะมียอดขายและกำไรเติบโตเร็วมาก โดยเฉพาะในยามเศรษฐกิจดี ทำให้คนแย่งกันซื้อ จนทำให้หุ้นโตเร็วมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนสไตล์อื่น แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำหุ้นกลุ่มนี้ก็จะมีราคาตกลงเร็วกว่ากลุ่มอื่น ที่จริงในทุกวันนี้นักลงทุนที่ชอบหุ้นกลุ่มนี้ก็คงมีอยู่จำนวนไม่น้อย
ลงทุนในหุ้นแบกับดิน (Value Investment)
ผมคิดว่าสไตล์การลงทุนของ ดร.นิเวศน์ คือแบบนี้ คำว่าหุ้นแบกับดินไม่ได้หมายความว่า หุ้นไม่ดีถึงขนาดว่าต้องเอามาวางแบกับดิน แต่หมายถึง หุ้นที่ดี (หรือมีโอกาสจะดี) แต่มีราคาตกต่ำลงมามากจนแทบไม่มีค่า อาจเนื่องจากไม่มีใครมองเห็น หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็น "หุ้นที่ดี แต่ราคาถูก" การซื้อได้ในราคาถูกทำให้เรามีภูมิคุ้มกันแม้ในอนาคตราคาขึ้นไปแล้วลงกลับมา เนื่องจากเรามีต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งเรียกเป็นภาษาการลงทุนว่า เรามี "ส่วนเผื่อความปลอดภัย" (Margin of Safety) อยู่ในระดับสูง
วิธีค้นหาหุ้นแบกับดินที่มี Margin of Safety สูง ดร.นิเวศน์ แนะนำสูตรอย่างง่ายของ เบนจามิน เกรแฮม ปรมาจารย์การลงทุนแบบ VI ดังนี้
ราคาหุ้น < 2 ใน 3 ของ (สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินทั้งหมด) ของบริษัท
ดร.นิเวศน์ อธิบายว่า ถ้านำสินทรัพย์หมุนเวียนซึ่งคล่องตัวอยู่แล้วไปเปลี่ยนเป็นเงินสดและนำไปชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว ยังเหลือเงินสดเหลืออยู่มากเกินกว่าราคาหุ้นที่เราซื้อ โดยที่ยังไม่ได้รวมถึงสินทรัพย์ถาวรอื่นๆ เลย ถ้าเป็นเช่นนี้ถือว่าหุ้นตัวนั้นราคาถูกและคุ้มค่าที่จะซื้อ เพราะโอกาสที่จะขาดทุนน้อยมากมีความปลอดภัยสูง
นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว ผมคิดว่าเราอาจพิจารณาวิธีประเมินมูลค่าแบบอื่นที่มุ่งหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น โดยดูจากความสามารถของกิจการในการสร้างกระแสเงินสดในอนาคต แล้วคิดส่วนลดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน ถ้ามูลค่าที่แท้จริงอยู่สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบันของหุ้นมาก ก็ควรเข้าไป "ซื้อ" อย่างไรก็ตามการประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตอาจทำได้ไม่ง่ายนักสำหรัรบนักลงทุนมือใหม่ เราอาจดูจากรายงานวิเคราะห์หุ้นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ประกอบก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการพยากรณ์และสร้างแบบจำลองเพื่อคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเอาไว้
ลงทุนแบบเหวี่ยงแห (Passive Investment)
การลงทุนแบบนี้เกิดจากแนวคิดที่ว่า ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพ นักลงทุนทุกคนรู้ข้อมูลค่อนข้างเท่าเทียมกัน ถ้าหุ้น A มีข้อมูลทางบวก ราคาหุ้น A ก็จะขึ้น ถ้าข้อมูลส่วนใหญ่เป็นลบ ราคาหุ้น A ก็จะตกลงมา ดังนั้น ราคาหุ้น A ก็จะสะท้อนข้อมูลที่เข้ามากระทบอยู่เสมอ ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ราคาหุ้น A ได้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะไปนั่งวิเคราะห์ให้เสียเวลาว่า หุ้น A ราคาต่ำหรือสูงกว่าที่ควรจะเป็น วิธีการลงทุนที่ดีที่สุดก็คือ ซื้อหุ้นกระจายไปหลายๆ อุตสาหกรรม หรือ ถ่วงน้ำหนักให้เหมือนตลาด ทำให้ผลตอบแทนขึ้นลงตามดัชนีหลักทรัพย์ เป็นต้น
ในทางปฏิบัติเราไม่จำเป็นต้องหาว่าวิธีไหนดีกว่ากัน แต่ต้องหาว่า วิธีไหนหรือสไตน์ไหนเหมาะกับเรามากกว่ากัน เพราะแต่ละสไตล์มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ในช่วงเศรษฐกิจดี หุ้นโตเร็วมักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ในขณะที่หุ้นแบบแบกับดินมักจะทำได้ดีกว่าในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ดร.นิเวศน์ เสนอแนะว่า เราควรเลือกสไตน์ที่เข้ากับตัวเรา ไม่ควรเลือก 2 อย่างที่อาจขัดแย้งกันในตัว สำหรับ ดร.นิเวศน์ ท่านเลือกสไตล์การลงทุนในหุ้นแบบแบกับดิน ( แบบ VI ) พยายามค้นหาหุ้นแบบนี้ และค้นหาวิธีบริหารพอร์ตหุ้นแบบนี้ให้เกิดความมั่งคั่งเพื่อบรรลุเป้าหมายในระยะยาว
เทคนิคการค้นหาหุ้น VI ของ ดร.นิเวศน์
การค้นหาหุ้น VI ของ ดร.นิเวศน์ ไม่ได้เริ่มที่กระดานหุ้น บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ งบการเงินของบริษัท แต่เริ่มจากวิธีเรียบง่าย โดยการสังเกตจากสินค้าและบริการที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งประเภทของกิจการที่น่าลงทุนตามหลัก VI คือ กิจการของสินค้าที่เป็นผู้นำในตลาด คนจำเป็นต้องซื้อ ยี่ห้อเป็นที่นิยมติดตลาด หรือเป็นสินค้าเจ้าเดียวในตลาด คนอื่นเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดได้ยาก ดร.นิเวศน์ ให้ความสำคัญกับตัวสินค้าบริการ และฐานะทางการตลาดของบริษัทก่อนผลกำไรหรือฐานะการเงิน เมื่อได้พบสินค้าและบริการถูกใจ และเป็นของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จึงค่อยหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านคุณภาพและปัจจัยทางด้านราคา
หัวข้อสำคัญของปัจจัยทางด้านคุณภาพ เช่น ดูจาก
- รูปแบบการทำธุรกิจ (Business Model)
- ความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยังยืน (Durable Competitive Advantage)
- ผลการดำเนินงาน หรือกำไรของบริษัท
- ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE)
- ฐานะการเงินหรือหนี้สิน
- ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด
- ผู้บริหาร
- ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio)
- ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/B Ratio)
- อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield)
- มูลค่าตลาดของหุ้น (Market Capitalization)